พบผลลัพธ์ทั้งหมด 557 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5048/2542
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ค่าธรรมเนียมอายัดเงินในสัญญาประนีประนอมยอมความ: หลักการชำระค่าธรรมเนียมโดยคู่ความผู้ดำเนินกระบวนพิจารณา
โจทก์จำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความกัน โดยตกลงให้ค่าฤชาธรรมเนียมเป็นพับ ค่าธรรมเนียม ในการอายัดเงินของจำเลยซึ่งบุคคลภายนอกนำมาวางต่อศาลชั้นต้นย่อมตกเป็นพับด้วย
ค่าธรรมเนียมการอายัดเงินจะเรียกเก็บต่อเมื่อมีการขอให้จ่ายเงินมิใช่เรียกเก็บในขณะที่มีการอายัด เมื่อโจทก์เป็นผู้ขอให้จ่ายเงินที่อายัดไว้ให้แก่โจทก์และจำเลยก็เป็นผู้ขอให้จ่ายเงินที่อายัดไว้ให้แก่จำเลย จึงต้องถือว่าต่างฝ่ายต่างเป็นคู่ความผู้ดำเนินกระบวนพิจารณาซึ่งมีหน้าที่ชำระค่าธรรมเนียมในส่วนของตนตาม ป.วิ.พ. มาตรา 149 วรรคหนึ่ง โจทก์ต้องเสียค่าธรรมเนียมการอายัดร้อยละ 3 ครึ่ง ส่วนจำเลยที่ 1 เสียค่าธรรมเนียมการอายัดร้อยละ 1 ทั้งนี้ ตาม ตาราง 5 ท้าย ป.วิ.พ. ข้อ 2 และข้อ 4
ค่าธรรมเนียมเจ้าพนักงานบังคับคดี ตามตาราง 5 ท้าย ป.วิ.พ. ข้อ 4 และข้อ 5 ประกอบ ป.วิ.พ. มาตรา 149 วรรคหนึ่ง มีหลักการสำคัญว่า คู่ความฝ่ายใดเป็นผู้ดำเนินกระบวนพิจารณาให้ศาลสั่งจ่ายเงินที่อายัดย่อมมีหน้าที่ชำระค่าธรรมเนียมนั้น เมื่อจำเลยที่ 1 เป็นผู้ขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดีจ่ายเงินที่อายัด จำเลยก็ต้องเสียค่าธรรมเนียม ในอัตราร้อยละ 1 ของจำนวนเงินที่อายัดตามตาราง 5 ข้อ 4 แม้จำเลยจะมิได้มีส่วนเกี่ยวข้องในการขออายัดเงินนั้น ก็ตาม
ค่าธรรมเนียมการอายัดเงินจะเรียกเก็บต่อเมื่อมีการขอให้จ่ายเงินมิใช่เรียกเก็บในขณะที่มีการอายัด เมื่อโจทก์เป็นผู้ขอให้จ่ายเงินที่อายัดไว้ให้แก่โจทก์และจำเลยก็เป็นผู้ขอให้จ่ายเงินที่อายัดไว้ให้แก่จำเลย จึงต้องถือว่าต่างฝ่ายต่างเป็นคู่ความผู้ดำเนินกระบวนพิจารณาซึ่งมีหน้าที่ชำระค่าธรรมเนียมในส่วนของตนตาม ป.วิ.พ. มาตรา 149 วรรคหนึ่ง โจทก์ต้องเสียค่าธรรมเนียมการอายัดร้อยละ 3 ครึ่ง ส่วนจำเลยที่ 1 เสียค่าธรรมเนียมการอายัดร้อยละ 1 ทั้งนี้ ตาม ตาราง 5 ท้าย ป.วิ.พ. ข้อ 2 และข้อ 4
ค่าธรรมเนียมเจ้าพนักงานบังคับคดี ตามตาราง 5 ท้าย ป.วิ.พ. ข้อ 4 และข้อ 5 ประกอบ ป.วิ.พ. มาตรา 149 วรรคหนึ่ง มีหลักการสำคัญว่า คู่ความฝ่ายใดเป็นผู้ดำเนินกระบวนพิจารณาให้ศาลสั่งจ่ายเงินที่อายัดย่อมมีหน้าที่ชำระค่าธรรมเนียมนั้น เมื่อจำเลยที่ 1 เป็นผู้ขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดีจ่ายเงินที่อายัด จำเลยก็ต้องเสียค่าธรรมเนียม ในอัตราร้อยละ 1 ของจำนวนเงินที่อายัดตามตาราง 5 ข้อ 4 แม้จำเลยจะมิได้มีส่วนเกี่ยวข้องในการขออายัดเงินนั้น ก็ตาม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4915/2542
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องคดีซ้ำหลังมีคำสั่งศาลแล้ว และการเป็นคู่ความโดยการรับโอนสิทธิในที่ดิน
เดิมโจทก์ที่ 1 ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากที่ดินพิพาท ต่อมาโจทก์ที่ 1 กับจำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันว่าที่ดินพิพาทด้านทิศตะวันออกเนื้อที่ 6 ไร่ 2 งาน ให้เป็นของจำเลย ที่ดินส่วนที่เหลือให้เป็นของโจทก์ที่ 1 ศาลพิพากษาตามยอมคดีถึงที่สุดแล้ว หลังจากนั้นโจทก์ที่ 1 ยกที่ดินพิพาทส่วนของตนให้แก่โจทก์ที่ 2 ซึ่งเป็นบุตร ในคดีดังกล่าวเมื่อจำเลยนำเจ้าพนักงานบังคับคดีไปรังวัดแบ่งแยกที่ดินพิพาทให้จำเลยตามสัญญาประนีประนอมยอมความ โจทก์ที่ 1 ยื่นคำร้องขอให้เพิกถอนการบังคับคดี ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้องของโจทก์ที่ 1 โจทก์ทั้งสองจึงฟ้องคดีนี้ สำหรับโจทก์ที่ 1 หากไม่เห็นด้วยกับคำสั่งศาลชั้นต้นในคดีก่อนดังกล่าว โจทก์ที่ 1 ก็ชอบที่จะใช้สิทธิอุทธรณ์ฎีกาต่อไปในคดีเดิม เมื่อโจทก์ที่ 1 มาฟ้องคดีนี้อีก ย่อมเห็นได้ว่าประเด็นที่ต้องวินิจฉัยเป็นประเด็นข้อเดียวกันกับประเด็นในคดีเดิมที่ศาลชั้นต้นได้มีคำสั่งวินิจฉัยชี้ขาดไปแล้ว การฟ้องคดีนี้ของโจทก์ที่ 1 จึงเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำ ในส่วนของโจทก์ที่ 2 นั้น แม้จะมิได้เป็นคู่ความในคดีเดิมก็ตาม แต่โจทก์ที่ 2 ได้รับการยกให้ที่ดินพิพาทจากโจทก์ที่ 1 ซึ่งเป็นคู่ความในคดีเดิมภายหลังการทำสัญญาประนีประนอมยอมความ จึงเป็นผู้สืบสิทธิในที่ดินพิพาทมาจากโจทก์ที่ 1 ต้องถือว่าเป็นคู่ความในคดีเดิม และต้องผูกพันตามคำสั่งศาลในคดีเดิมด้วย การฟ้องคดีนี้ของโจทก์ที่ 2 ย่อมเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำเช่นเดียวกัน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4410/2542 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำร้องสอดเป็นคำฟ้อง: สิทธิอุทธรณ์คำสั่งไม่รับคำคู่ความ
ผู้ร้องสอดยื่นคำร้องเข้ามาเป็นคู่ความฝ่ายที่สามตาม ป.วิ.พ.มาตรา 57 (1) คำร้องดังกล่าวเป็นคำฟ้อง ซึ่งถือเป็นคำคู่ความ การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้อง มีผลเป็นการไม่รับคำร้องสอด คำสั่งศาลชั้นต้นจึงเป็นคำสั่งไม่รับคำคู่ความตาม มาตรา 227 และไม่ถือเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา ผู้ร้องสอดย่อมอุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวได้ภายในกำหนดหนึ่งเดือนนับแต่วันมีคำสั่งเป็นต้นไปตามมาตรา 229
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3739/2542
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ค่าทนายความในคดีแรงงาน: คู่ความได้รับการยกเว้นไม่ต้องชำระค่าทนายความตามกฎหมาย
ตามพระราชบัญญัติ จัดตั้งศาลแรงงานและ วิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 27 การยื่นคำฟ้อง ตลอดจนการดำเนินกระบวนพิจารณาใด ๆ ในศาลแรงงาน ให้ได้รับ การยกเว้นไม่ต้องชำระค่าฤชาธรรมเนียม และตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 161 วรรคสอง กำหนดให้ค่าฤชาธรรมเนียมรวมถึงค่าทนายความด้วย ฉะนั้นในคดีที่ศาลแรงงานพิจารณาพิพากษา คู่ความจึงได้รับการยกเว้นไม่ต้องชำระค่าทนายความให้แก่คู่ความอีกฝ่าย การที่ศาลแรงงานพิพากษาให้โจทก์ใช้ค่าทนายความให้จำเลยจึงไม่ถูกต้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7626/2541
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาประนีประนอมยอมความผูกพันคู่ความ แม้มิได้อุทธรณ์คัดค้านคำพิพากษา
ตามคำฟ้องของโจทก์เป็นเรื่องที่โจทก์อ้างว่าทนายความของโจทก์ซึ่งเป็นตัวแทนกระทำการนอกเหนือขอบอำนาจของการเป็น ตัวแทน แต่การที่โจทก์ซึ่งเป็นตัวการได้รับความเสียหาย เป็นประการใดก็ชอบที่โจทก์จะต้องไปว่ากล่าวเอาแก่ทนายความของโจทก์ตามกฎหมาย เมื่อคดีดังกล่าวโจทก์เป็นคู่ความและโจทก์จำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันในศาลและศาลพิพากษาตามยอมแล้วเช่นนี้ คำพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความย่อมผูกพันโจทก์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145หากโจทก์เห็นว่าไม่ถูกต้องก็อาจจะอุทธรณ์คัดค้าน คำพิพากษาดังกล่าวได้ หากเข้ากรณีตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 138แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง เมื่อโจทก์ไม่อุทธรณ์และคดี ถึงที่สุดไปแล้ว โจทก์จะมาฟ้องร้องขอให้เพิกถอนคำพิพากษา ตามสัญญาประนีประนอมยอมความหาได้ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7488/2541 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การร้องสอดเพื่อต่อสู้คดีกับตัวแทน: ความไม่ชอบและการขาดประโยชน์
คดีนี้โจทก์ฟ้องในฐานะผู้จัดการมรดกของ ส.เจ้ามรดก อ้างว่าที่ดินพิพาทซึ่งศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยที่ 1 โดยการครอบครองปรปักษ์ ยังเป็นกรรมสิทธิ์และเป็นทรัพย์มรดกของ ส. ขอให้เจ้าพนักงานที่ดินระงับการจดทะเบียนกรรมสิทธิ์ที่ดินดังกล่าวแก่จำเลยที่ 1 ดังนี้ การที่ผู้ร้องสอดได้ร้องสอดเข้ามาโดยอ้างว่าเป็นทายาทของ ส. ขอแบ่งมรดกเป็นคู่ความฝ่ายที่สามตาม ป.วิ.พ.มาตรา 57 (1) เช่นนี้ โจทก์ในฐานะผู้จัดการมรดกจะต้องรับผิดชอบต่อทายาทของเจ้ามรดกทุกคนเสมือนเป็นตัวแทนตาม ป.พ.พ.มาตรา 809 ถึง 812, 819, 823และ 831 ประกอบด้วยมาตรา 1720 ฉะนั้น ผู้ร้องสอดจะใช้สิทธิร้องสอดเข้ามาเป็นคู่ความฝ่ายที่สามเพื่อเป็นการต่อสู้คดีกับตัวแทนของตนเอง ตาม ป.วิ.พ.มาตรา 58วรรคหนึ่ง ในขณะที่ตัวแทนหรือโจทก์ในฐานะผู้จัดการมรดกกำลังฟ้องเรียกทรัพย์มรดกจากบุคคลภายนอกหรือจำเลยทั้งสองอยู่ จึงเป็นการไม่ชอบ อีกทั้งหากศาลฟังว่าที่ดินพิพาทมิได้เป็นทรัพย์มรดก คำร้องของผู้ร้องสอด ก็ไม่มีประโยชน์ที่จะได้รับการวินิจฉัยพฤติการณ์จึงยังไม่เป็นการจำเป็นเพื่อให้ได้รับความรับรองคุ้มครองหรือบังคับตามสิทธิของตนที่อาจมีอยู่ในชั้นนี้ ศาลชั้นต้นชอบที่จะยกคำร้องของผู้ร้องสอดเสีย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7339/2541 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ผลคดีถึงที่สุดผูกพันคู่ความเดิม การฟ้องขับไล่ของผู้ไม่มีกรรมสิทธิ์
คู่ความท้ากันว่า ให้ถือเอาผลคดีถึงที่สุดในคดีแพ่งเป็นข้อแพ้ชนะโดยหากผลในคดีดังกล่าวศาลพิพากษายกฟ้องโจทก์ ถือว่าจำเลยคดีนั้นยอมรับข้อเท็จจริงเป็นดังที่โจทก์ฟ้อง จำเลยยอมแพ้ หากศาลพิพากษาว่าโจทก์ในคดีดังกล่าวได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์ ถือว่าโจทก์คดีนี้ยอมรับข้อเท็จจริงตามคำให้การของจำเลยโจทก์ยอมแพ้ คู่ความไม่ติดใจสืบพยานอีกต่อไป ศาลฎีกาได้มีคำวินิจฉัยชี้ขาดคดีดังกล่าวคดีถึงที่สุดแล้วว่าจำเลยคดีนี้เป็นผู้ซื้อที่ดินพิพาทและว่าจ้างให้ปลูกสร้างบ้านบนที่ดินพิพาทโดยโจทก์คดีนี้ได้ช่วยออกเงินบางส่วนให้จำเลยโดยมีเงื่อนไขให้โอนที่ดินพิพาทใส่ชื่อโจทก์เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ และเมื่อจำเลยชำระหนี้คืนให้โจทก์ครบถ้วนแล้วโจทก์จะโอนที่ดินพิพาทคืนให้จำเลย ซึ่งมีผลเท่ากับโจทก์คดีนี้มิใช่ผู้ถือกรรมสิทธิ์ที่แท้จริง โจทก์เพียงลงชื่อเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์แทนเท่านั้น เมื่อคำวินิจฉัยของศาลฎีกาไม่ตรงกับคำท้า เพราะศาลฎีกามิได้พิพากษาว่าโจทก์ได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์หรือไม่ และที่ศาลฎีกาพิพากษายกฟ้องโจทก์โดยไม่ตัดสิทธิที่จะนำคดีมาฟ้องใหม่เพราะเหตุที่โจทก์ในคดีนี้มิใช่ผู้ถือกรรมสิทธิ์ที่แท้จริง จึงไม่ได้ผลชี้ขาดตามคำท้า ข้อที่ท้ากันย่อมตกไปศาลจะต้องดำเนินการพิจารณาพิพากษาคดีนี้ตามประเด็นในคดีต่อไป
คู่ความในคดีนี้เป็นคู่ความเดียวกันกับคู่ความที่ศาลฎีกาพิพากษาในคดีก่อน ผลแห่งคำพิพากษาศาลฎีกาในคดีดังกล่าวจึงผูกพันคู่ความในคดีนี้ตาม ป.วิ.พ.มาตรา 145 และเมื่อข้อเท็จจริงในคดีก่อนปรากฏว่าโจทก์มิใช่เจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทที่แท้จริง โจทก์ย่อมไม่มีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยเป็นคดีนี้ การที่ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์โดยไม่ได้สืบพยานจึงเป็นการชอบแล้ว
คู่ความในคดีนี้เป็นคู่ความเดียวกันกับคู่ความที่ศาลฎีกาพิพากษาในคดีก่อน ผลแห่งคำพิพากษาศาลฎีกาในคดีดังกล่าวจึงผูกพันคู่ความในคดีนี้ตาม ป.วิ.พ.มาตรา 145 และเมื่อข้อเท็จจริงในคดีก่อนปรากฏว่าโจทก์มิใช่เจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทที่แท้จริง โจทก์ย่อมไม่มีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยเป็นคดีนี้ การที่ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์โดยไม่ได้สืบพยานจึงเป็นการชอบแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7137/2541 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิการขอพิจารณาคดีใหม่: คุณสมบัติคู่ความและเหตุขาดนัด
ผู้ที่จะมีสิทธิยื่นคำขอให้พิจารณาคดีใหม่ตาม ป.วิ.พ.มาตรา 207ได้นั้น จะต้องเป็นคู่ความและเป็นคู่ความฝ่ายที่ถูกศาลแสดงว่าขาดนัดพิจารณา และการขาดนัดพิจารณาเป็นเหตุให้ศาลได้มีคำพิพากษาหรือคำสั่งให้ฝ่ายที่ขาดนัดนั้นแพ้คดีในประเด็นข้อพิพาทด้วย
คดีนี้ศาลชั้นต้นได้ทำการไต่สวนเป็นคดีไม่มีข้อพิพาท และมีคำสั่งให้ผู้ร้องทั้งสองได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินที่ครอบครองตาม ป.พ.พ.มาตรา 1382 ไปแล้ว คดีจึงไม่มีประเด็นข้อพิพาท ผู้คัดค้านไม่ได้เป็นผู้ยื่นคำฟ้องหรือถูกฟ้องต่อศาล ผู้คัดค้านจึงไม่ใช่บุคคลที่เป็นคู่ความในคดีนี้ตาม ป.วิ.พ.มาตรา 1 (11) และผู้คัดค้านไม่ได้ถูกศาลแสดงว่าขาดนัดพิจารณาและมีคำพิพากษาหรือคำสั่งให้ผู้คัดค้านแพ้คดีในประเด็นที่พิพาทผู้คัดค้านจึงไม่มีสิทธิขอให้พิจารณาคดีใหม่
คดีนี้ศาลชั้นต้นได้ทำการไต่สวนเป็นคดีไม่มีข้อพิพาท และมีคำสั่งให้ผู้ร้องทั้งสองได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินที่ครอบครองตาม ป.พ.พ.มาตรา 1382 ไปแล้ว คดีจึงไม่มีประเด็นข้อพิพาท ผู้คัดค้านไม่ได้เป็นผู้ยื่นคำฟ้องหรือถูกฟ้องต่อศาล ผู้คัดค้านจึงไม่ใช่บุคคลที่เป็นคู่ความในคดีนี้ตาม ป.วิ.พ.มาตรา 1 (11) และผู้คัดค้านไม่ได้ถูกศาลแสดงว่าขาดนัดพิจารณาและมีคำพิพากษาหรือคำสั่งให้ผู้คัดค้านแพ้คดีในประเด็นที่พิพาทผู้คัดค้านจึงไม่มีสิทธิขอให้พิจารณาคดีใหม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7137/2541
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิในการขอพิจารณาคดีใหม่ต้องเป็นคู่ความที่ถูกศาลแสดงว่าขาดนัดและมีคำพิพากษาถึงที่สุด
ผู้ที่จะมีสิทธิยื่นคำขอให้พิจารณาคดีใหม่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 207 ได้นั้นจะต้องเป็นคู่ความและเป็นคู่ความฝ่ายที่ถูกศาลแสดงว่าขาดนัดพิจารณา และการขาดนัดพิจารณาเป็นเหตุให้ศาลได้มีคำพิพากษาหรือคำสั่งให้ฝ่ายที่ขาดนัดนั้นแพ้คดีในประเด็นข้อพิพาทด้วย คดีนี้ศาลชั้นต้นได้ทำการไต่สวนเป็นคดีไม่มีข้อพิพาทและมีคำสั่งให้ผู้ร้องทั้งสองได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินที่ครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382ไปแล้ว คดีจึงไม่มีประเด็นข้อพิพาท ผู้คัดค้านไม่ได้เป็นผู้ยื่นคำฟ้องหรือถูกฟ้องต่อศาล ผู้คัดค้านจึงไม่ใช่บุคคลที่เป็นคู่ความในคดีนี้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 1(11) และผู้คัดค้านไม่ได้ถูกศาลแสดงว่าขาดนัดพิจารณาและมีคำพิพากษาหรือคำสั่งให้ผู้คัดค้านแพ้คดีในประเด็นที่พิพาทผู้คัดค้านจึงไม่มีสิทธิขอให้พิจารณาคดีใหม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6702/2541 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบังคับคดีตามสัญญาประนีประนอมยอมความ: บริวารจำเลย แม้ไม่ได้เป็นคู่ความ
โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากบ้านพิพาทและขอให้บังคับจำเลยกับบริวารออกไปจากบ้านพิพาท ต่อมาโจทก์จำเลยตกลงกันได้ โดยโจทก์ยอมขายที่ดินและบ้านพิพาทให้แก่จำเลย หากจำเลยผิดนัดให้ถือว่าจำเลยไม่ติดใจซื้อที่ดินและบ้านพิพาทจากโจทก์ และยอมขนย้ายบริวารและทรัพย์สินออกจากที่ดินและบ้านพิพาทภายในกำหนดระยะเวลาที่ตกลงกัน และศาลชั้นต้นได้พิพากษาไปตามสัญญาประนีประนอมยอมความ ต่อมาจำเลยผิดนัดไม่ปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความโจทก์จึงขอให้บังคับคดีและเจ้าพนักงานบังคับคดีได้ปิดประกาศกำหนดเวลาให้ผู้ที่อ้างว่าไม่ใช่บริวารจำเลยแสดงอำนาจพิเศษต่อศาลภายใน 8 วัน มิฉะนั้นจะถือว่าเป็นบริวารของจำเลย ดังนี้ เมื่อครบกำหนดเวลาดังกล่าว การที่ผู้ร้องยังอาศัยอยู่ในบ้านพิพาทจึงถือว่าผู้ร้องอยู่ในฐานะบริวารของจำเลยแม้ผู้ร้องไม่ได้ถูกฟ้องและเป็นคู่ความในคดีนี้ด้วยก็ตาม โจทก์ย่อมขอบังคับคดีแก่ผู้ร้องได้ ทั้งนี้ ตาม ป.วิ.พ.มาตรา 296 จัตวา