คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
ค่าเช่า

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 553 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8237/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การวางทรัพย์ชำระหนี้ค่าเช่าเมื่อมีข้อพิพาทเรื่องสิทธิของเจ้าหนี้ ทำให้ลูกหนี้หลุดพ้นจากหนี้ได้
แม้ในขณะแรกที่จำเลยเข้าครอบครองพื้นที่พิพาทจำเลยได้ทำสัญญาเช่าช่วงกับโจทก์มีความผูกพันกับโจทก์ตามสัญญาเช่าช่วงจำเลยย่อมมีหน้าที่ตามสัญญาที่จะต้องชำระเงินค่าเช่าให้โจทก์ในฐานะเป็นเจ้าหนี้ผู้มีสิทธิรับชำระหนี้เงินค่าเช่าซึ่งจำเลยก็ได้ชำระเงินค่าเช่าให้โจทก์ตลอดมาจนถึงเดือนมีนาคม2534ก็ตามแต่ต่อมาจำเลยได้รับแจ้งจากบริษัทอ.เจ้าของพื้นที่พิพาทแจ้งให้ทราบว่าส.ผู้เช่าพื้นที่พิพาทและโจทก์ทั้งสองหมดสิทธิในสัญญาเช่าที่ทำกับบริษัทอ.ดังกล่าวแล้วให้จำเลยไปทำสัญญาเช่ากับบริษัทอ. และชำระค่าเช่าแก่บริษัทอ.โดยตรงมิฉะนั้นก็ให้จำเลยขนย้ายทรัพย์สินออกไปจากพื้นที่พิพาทอีกทั้งภายหลังปรากฏว่าบริษัทอ.ได้ฟ้องขับไล่ส.กับได้เรียกให้พ.ผู้เช่าช่วงพื้นที่พิพาทจากส.เข้าไปเป็นจำเลยร่วมด้วยจำเลยจึงได้ไปทำสัญญาเช่าพื้นที่พิพาทจากบริษัทอ.มีผลการเช่าตั้งแต่วันที่1เมษายน2534ดังนี้จะเห็นได้ว่าบุคคลผู้ตกอยู่ในภาวะเช่นจำเลยซึ่งมีเจตนาจะเช่าพื้นที่พิพาทไม่สามารถจะหยั่งรู้ถึงสิทธิในการให้เช่าพื้นที่พิพาทได้แน่นอนว่าระหว่างโจทก์และบริษัทอ. ซึ่งต่างก็อ้างว่าเป็นผู้มีสิทธิให้เช่าพื้นที่พิพาทได้ทั้งสองฝ่ายว่าใครจะเป็นผู้มีสิทธิอันแท้จริงกันแน่จำเลยจึงได้นำเงินค่าเช่าตั้งแต่เดือนเมษายน2534ไปวางไว้ที่สำนักงานวางทรัพย์ตลอดมาจำนวนเงินค่าเช่าแต่ละเดือนที่จำเลยวางไว้เป็นเงินเดือนละ14,400บาทเท่ากับค่าเช่าที่ตกลงไว้กับโจทก์ซึ่งมากกว่าที่จำเลยตกลงไว้กับบริษัทอ.เจ้าของพื้นที่พิพาทการวางเงินค่าเช่าของจำเลยดังกล่าวก็โดยเจตนาจะชำระค่าเช่าเพื่อประโยชน์แก่โจทก์หรือบริษัทอ.เจ้าของพื้นที่พิพาทเจ้าหนี้ผู้มีสิทธิอันแท้จริงซึ่งจำเลยไม่อาจจะหยั่งรู้ได้แน่นอนนั่นเองมิได้วางเพียงเพื่อประโยชน์แก่บริษัทอ. เจ้าของพื้นที่พิพาทเท่านั้นเพราะมิฉะนั้นจำเลยคงไม่วางเงินค่าเช่าเป็นรายเดือนละ14,400บาทตามที่ตกลงกับโจทก์และการที่จำเลยวางเงื่อนไขในการรับเงินว่าต้องเป็นเจ้าหนี้ที่มีคำสั่งศาลถึงที่สุดมาแสดงซึ่งมีความหมายว่าศาลมีคำสั่งฟังได้ว่าเจ้าหนี้ผู้นั้นเป็นผู้มีสิทธิในการให้เช่านั่นเองจำเลยจำเป็นต้องวางเงื่อนไขดังกล่าวก็เนื่องมาจากความไม่สามารถจะหยั่งรู้ถึงสิทธิอันแน่นอนระหว่างโจทก์กับบริษัทเจ้าของพื้นที่ทั้งก็เป็นประโยชน์แก่เจ้าหนี้ทั้งสองฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งซึ่งมีสิทธิอันแท้จริงหากไม่วางเงื่อนไขดังกล่าวโจทก์หรือบริษัทอ.เจ้าของพื้นที่พิพาทฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งอาจขอรับเงินที่จำเลยวางไว้โดยยังมิได้พิสูจน์สิทธิอันแท้จริงไปก็ได้ดังนั้นการวางเงินค่าเช่าของจำเลยดังกล่าวมีเหตุผลโดยชอบและมิใช่ความผิดของจำเลยจำเลยมีสิทธิที่จะวางทรัพย์ชำระเงินค่าเช่าได้อันเป็นผลให้จำเลยหลุดพ้นจากหนี้ค่าเช่าตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา331จำเลยจึงหาเป็นผู้ผิดนัดชำระค่าเช่าแก่โจทก์ไม่โจทก์ย่อมไม่มีสิทธิบอกเลิกสัญญาเช่าช่วงและฟ้องขับไล่เรียกค่าเสียหายจากจำเลยได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7518/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาต้องห้ามตามมาตรา 248 วรรคสอง กรณีค่าเช่าไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท และการโต้เถียงดุลพินิจการรับฟังพยาน
ที่จำเลยฎีกาว่าเอกสารที่จำเลยขอระบุพยานเพิ่มเติมเป็นพยานหลักฐานสำคัญที่ศาลจะอนุญาตและรับฟังและจำเลยไม่ผิดสัญญาเช่านั้นเป็นการโต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลที่เห็นว่าเอกสารที่จำเลยขอระบุพยานเพิ่มเติมเป็นสัญญาเช่าบ้านซึ่งไม่เกี่ยวกับที่ดินพิพาทไม่มีความจำเป็นจะต้องสืบเพราะไม่ทำให้ผลแห่งคดีเปลี่ยนไปเนื่องจากข้อเท็จจริงฟังยุติแล้วว่าจำเลยนำที่ดินพิพาทไปให้เช่าช่วงจำเลยจึงเป็นฝ่ายผิดสัญญาและโจทก์บอกเลิกสัญญาแล้วจำเลยไม่มีสิทธิอยู่ในที่ดินพิพาทต่อไปจึงเป็นฎีกาในข้อเท็จจริงเมื่อคดีนี้เป็นคดีฟ้องขับไล่จำเลยออกจากอสังหาริมทรัพย์ของโจทก์อันมีค่าเช่าในขณะยื่นคำฟ้องไม่เกินเดือนละหนึ่งหมื่นบาทจึงต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา248วรรคสอง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 716/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจประเมินค่ารายปีภาษีโรงเรือนและที่ดินเมื่อค่าเช่าไม่สมเหตุสมผล
ในการคำนวณหาค่ารายปี แม้ พ.ร.บ. ภาษีโรงเรือนและที่ดิน พ.ศ.2475 มาตรา 8 จะกำหนดให้ผู้รับประเมินชำระภาษีปีละครั้งตามค่ารายปีของทรัพย์สิน และในกรณีที่ทรัพย์สินนั้นให้เช่า ให้ถือว่าค่าเช่านั้นคือค่ารายปีก็ตาม แต่ถ้าพนักงานเจ้าหน้าที่เห็นว่าจำนวนค่าเช่ารายปีมิใช่จำนวนเงินอันสมควรที่จะให้เช่าได้ พนักงานเจ้าหน้าที่ก็มีอำนาจประเมินค่ารายปีสำหรับอาคารหรือโรงเรือน และที่ดินใหม่ได้โดยคำนึงถึงลักษณะของทรัพย์สิน ขนาดพื้นที่ ทำเลที่ตั้ง และบริการสาธารณะที่ทรัพย์สินนั้นได้รับประโยชน์ และตามหลักเกณฑ์การประเมินค่ารายปีของทรัพย์สิน ซึ่งกำหนดไว้ตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เมื่อพนักงานเจ้าหน้าที่ได้ประเมินโดยปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ดังกล่าวแล้ว การประเมินของพนักงานเจ้าหน้าที่จึงชอบด้วยกฎหมาย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 711/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาเช่าช่วงและหน้าที่ชำระค่าเช่า การกระทำของจำเลยไม่ถือเป็นการละเมิดต่อโจทก์
หลังจากส. ทำสัญญาเช่าสถานที่ของโจทก์กับจำเลยแล้วส. ได้ทำสัญญาเช่ากับโจทก์อีกฉบับหนึ่งส.กับโจทก์ย่อมผูกพันที่จะต้องปฏิบัติต่อกันตามสัญญาเช่าซึ่งในส่วนการชำระค่าเช่าระบุไว้ว่าจะชำระค่าเช่าณสำนักงานของผู้ให้เช่าส. จึงมีหน้าที่ต้องชำระค่าเช่าให้แก่โจทก์ที่สำนักงานของโจทก์การที่ส. นำค่าเช่าไปวางที่สำนักงานวางทรัพย์และโจทก์ไม่ได้รับค่าเช่าไม่เกี่ยวกับเรื่องที่จำเลยเอาสถานที่ของโจทก์ไปให้ส. เช่าส่วนที่ส. นำค่าเช่าไปวางที่สำนักงานวางทรัพย์ภายใต้เงื่อนไขว่าเพื่อจ่ายให้แก่เจ้าหนี้ที่แท้จริงตามคำพิพากษาถึงที่สุดเพราะหลังจากที่ส. ทำสัญญากับโจทก์แล้วจำเลยเรียกร้องให้ส. ชำระค่าเช่าให้จำเลยอีกทำให้ส. สับสนไม่แน่ใจว่าระหว่างโจทก์กับจำเลยผู้ใดเป็นผู้มีสิทธิที่จะให้เช่าสถานที่เช่าที่แท้จริงก็เป็นเรื่องของส. ไม่เกี่ยวกับโจทก์โจทก์จะนำมาเป็นข้ออ้างว่าจำเลยทำละเมิดต่อโจทก์หาได้ไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6928/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การสืบสิทธิสัญญาเช่าและขอบเขตการอุทธรณ์ค่าเช่า
โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากอสังหาริมทรัพย์ตามสัญญาเช่าและเรียกค่าเสียหาย แม้โจทก์จะกล่าวมาในฟ้องว่า หากโจทก์นำไปให้ผู้อื่นเช่าจะได้ค่าเช่าเดือนละ 10,000 บาท และโจทก์ใช้เป็นเกณฑ์คำนวณในการเรียกร้องค่าเสียหายตามอัตรานั้นเดือนละ 10,000 บาท ก็ตาม ก็ยังถือไม่ได้ว่าเป็นค่าเช่าของที่ดินพิพาทในขณะยื่นคำฟ้อง เพราะเป็นแต่อาจให้เช่าได้ในอัตราดังกล่าวเท่านั้น
ข้อเท็จจริงตามที่โจทก์จำเลยแถลงรับกันได้ความว่าสัญญาเช่าที่ดินพิพาทระหว่างโจทก์และ ค.ผู้เช่าเดิมตกลงอัตราค่าเช่าปีละ 10,000 บาทและศาลชั้นต้นได้วินิจฉัยว่า จำเลยเป็นทายาทผู้รับมรดกตามพินัยกรรมของ ค.สัญญาเช่ามีข้อตกลงให้ผูกพันถึงทายาทผู้รับมรดกตามพินัยกรรม และสัญญาเช่าระหว่างโจทก์และ ค.เป็นสัญญาต่างตอบแทนยิ่งกว่าสัญญาเช่าธรรมดาจึงเป็นสิทธิในทรัพย์สินย่อมตกเป็นมรดกแก่จำเลยในฐานะผู้รับมรดกตามพินัยกรรมของ ค. ดังนี้ ถือว่าจำเลยเป็นผู้สืบสิทธิการเช่าจาก ค. และต้องฟังว่าที่ดินพิพาทมีค่าเช่าในขณะยื่นคำฟ้องปีละ 10,000 บาท จึงไม่เกินเดือนละ 4,000 บาท ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในข้อเท็จจริง ตาม ป.วิ.พ.มาตรา 224 วรรคสอง
การที่ศาลอุทธรณ์รับวินิจฉัยอุทธรณ์ข้อเท็จจริงของโจทก์ที่ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์เป็นการไม่ชอบด้วยกระบวนพิจารณา ถือไม่ได้ว่าเป็นข้อที่ได้ว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลอุทธรณ์ คำพิพากษาศาลอุทธรณ์หามีผลบังคับแก่คดีไม่ การที่ฎีกาจำเลยฎีกาต่อมาในข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยมาว่าสัญญาเช่าระหว่างโจทก์และ ค.เป็นสัญญาต่างตอบแทนยิ่งกว่าสัญญาเช่าธรรมดาหรือไม่ จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาโดยชอบในศาลอุทธรณ์ ศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัย และพิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์โดยให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นและยกฎีกาจำเลย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6452/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คดีขับไล่ผู้เช่า: ค่าเช่าไม่เกิน 2,000 บาท ห้ามอุทธรณ์ข้อเท็จจริง และเจ้าของรวมมีอำนาจฟ้อง
การพิจารณาว่าคดีฟ้องขับไล่ผู้เช่าออกจากอสังหาริมทรัพย์จะอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงได้หรือไม่ ต้องถือตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224 วรรคสอง กล่าวคือหากมีค่าเช่าในขณะยื่นฟ้องไม่เกินเดือนละสองพันบาท ก็ต้องห้ามอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง โดยถือเอาค่าเช่าจริง ๆ ที่ตกลงกันไว้ในสัญญา ส่วนที่จะฟังว่าอาจให้เช่าได้ไม่เกินเดือนละสองพันบาทนั้น เป็นเรื่องการฟ้องผู้อาศัยหรือบุคคลอื่นซึ่งมิได้กำหนดค่าเช่ากันไว้ คดีนี้โจทก์ทั้งสองฟ้องขับไล่จำเลยซึ่งเป็นผู้เช่าให้ออกจากตึกแถวพิพาท และตามสัญญาเช่ากำหนดค่าเช่าไว้ในอัตราเดือนละ 100 บาท ซึ่งไม่เกินเดือนละสองพันบาท จึงต้องห้ามคู่ความอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงตามบทบัญญัติดังกล่าว ส่วนที่โจทก์ฟ้องว่าหากนำตึกแถวและที่ดินไปปรับปรุงแล้วนำออกให้เช่าจะได้ค่าเช่าไม่ต่ำกว่าวันละ 1,000 บาท และศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าจะได้ค่าเช่าประมาณอัตราเดือนละ 4,000 บาท นั้น เป็นการกำหนดค่าเสียหายในอนาคตอันเป็นส่วนหนึ่งของการฟ้องขับไล่จำเลยออกจากตึกแถวพิพาทเท่านั้น จะนำมาเป็นเกณฑ์พิจารณาคดีต้องห้ามอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224 วรรคสองไม่ได้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1359 เมื่อมีบุคคลภายนอกมายุ่งเกี่ยวกับทรัพย์สินโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย เจ้าของรวมคนใดคนหนึ่งอาจฟ้องร้องว่ากล่าวหรือต่อสู้คดีโดยลำพังได้ดังนั้น เมื่อโจทก์ที่ 1 ซึ่งเป็นเจ้าของรวมในตึกแถวพิพาทที่ให้จำเลยเช่าไม่ประสงค์จะให้จำเลยเช่าต่อไป โจทก์ที่ 1 ก็มีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยได้ แม้จำเลยจะไม่ได้ทำสัญญาเช่าตึกแถวพิพาทจากโจทก์ที่ 1ก็ตาม แต่จำเลยซึ่งเป็นผู้เช่าช่วงตึกแถวพิพาทจากโจทก์ที่ 2ย่อมต้องรับผิดต่อผู้ให้เช่าเดิมคือโจทก์ที่ 1 โดยตรง ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 545 ดังนั้น เมื่อสัญญาเช่าครบกำหนดและโจทก์ทั้งสองบอกกล่าวให้จำเลยออกไปจากตึกแถวพิพาทแล้วจำเลยก็มีหน้าที่ต้องส่งคืนตึกแถวพิพาทให้แก่โจทก์ทั้งสองการที่จำเลยยังคงครอบครองตึกแถวพิพาทต่อไปอีกย่อมเป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ทั้งสอง ทำให้โจทก์ที่ 1 ซึ่งเป็นเจ้าของตึกแถวพิพาทไม่อาจใช้ประโยชน์จากตึกแถวพิพาทได้และโจทก์ที่ 2ซึ่งเป็นคู่สัญญากับจำเลยไม่สามารถส่งคืนตึกแถวพิพาทให้แก่โจทก์ที่ 1 ได้ ฟ้องโจทก์ได้แสดงให้เห็นอยู่ในตัวแล้วว่าโจทก์ทั้งสองได้รับความเสียหายอย่างไร เป็นฟ้องที่ได้แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหา คำขอบังคับและข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 172 วรรคสองแล้ว ฟ้องโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 641/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อายุความฟ้องบังคับสัญญาเช่า: การเรียกร้องให้บังคับในตัวทรัพย์ต่างจากเรียกร้องค่าเช่า
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยไปจดทะเบียนการเช่าให้แก่บุคคลภายนอกผู้จองเช่าเป็นการเรียกร้องให้บังคับในตัวทรัพย์ตามข้อผูกพันอันมีอายุความ2ปีแห่งสัญญาต่างตอบแทนหาได้เรียกร้องให้จำเลยชำระเงินค่าจองเช่าซึ่งเป็นค่าแห่งตัวทรัพย์ตามป.พ.พ.มาตรา193/34(1)ไม่ฟ้องโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5371/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฟ้องขับไล่: ศาลวินิจฉัยตามประเด็นที่กำหนดได้ แม้ค่าเช่าอสังหาริมทรัพย์ต่ำกว่าเกณฑ์อุทธรณ์
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่พิพาท จำเลยเข้าไปปลูกบ้านในที่พิพาทโดยไม่ชอบ ขอให้ขับไล่จำเลยออกจากที่พิพาท จำเลยให้การต่อสู้ว่า โจทก์รับโอนที่พิพาทมาโดยไม่สุจริต ภรรยาจำเลยเป็นผู้เช่าที่พิพาท สิทธิการเช่าไม่ระงับไปเพราะโจทก์ผู้รับโอนต้องรับไปซึ่งสิทธิและหน้าที่ของผู้โอน จำเลยไม่ได้เกี่ยวข้องกับที่พิพาท ถือว่าจำเลยมิได้กล่าวแก้เป็นข้อพิพาทด้วยกรรมสิทธิ์ จึงเป็นคดีฟ้องขับไล่จำเลยออกจากอสังหาริมทรัพย์ เมื่ออสังหาริมทรัพย์ดังกล่าวอาจให้เช่าได้ในขณะยื่นฟ้องไม่เกินเดือนละ 4,000 บาท จึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.พ.มาตรา 224 วรรคสอง
ศาลชั้นต้นได้กำหนดประเด็นข้อพิพาทไว้แล้วว่าโจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่พิพาทหรือไม่ และจำเลยปลูกบ้านพิพาทรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของโจทก์หรือไม่ ดังนั้น เมื่อศาลชั้นต้นวินิจฉัยข้อเท็จจริงว่าโจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่พิพาทและจำเลยปลูกบ้านพิพาทรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของโจทก์ก็ย่อมพิพากษาให้ขับไล่จำเลยและให้รื้อถอนบ้านพิพาทออกไปจากที่ดินของโจทก์ตามคำขอท้ายฟ้องได้เพราะเป็นการวินิจฉัยเพื่อจะนำไปสู่ประเด็นข้อพิพาทที่ได้กำหนดไว้ ถือไม่ได้ว่าเป็นการกำหนดประเด็นเพิ่มในคำพิพากษา

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3785-3789/2538 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้องสัญญาเช่า: การที่โจทก์ไม่ได้รับค่าเช่าจากผู้เช่าที่วางทรัพย์มีเงื่อนไข ไม่ใช่ความผิดจำเลย
โจทก์ได้ยกข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาว่าผู้เช่าทั้งห้ารายนำเงินค่าเช่าไปวางที่สำนักงานวางทรัพย์กลาง กรมบังคับคดีทำให้โจทก์ไม่สามารถรับเงินค่าเช่าที่วางไว้ได้ ข้ออ้างของโจทก์ดังกล่าวเกิดจากการที่ผู้เช่าทั้งห้ารายทำสัญญาเช่ากับโจทก์แล้วไม่ชำระค่าเช่ากลับนำเงินค่าเช่าไปวาง ณ สำนักงานวางทรัพย์กลางโดยกำหนดเงื่อนไขเพื่อจ่ายให้แก่เจ้าหนี้ที่แท้จริงตามคำพิพากษาถึงที่สุด ซึ่งเป็นการกระทำของผู้เช่าทั้งห้ารายไม่ใช่การกระทำของจำเลย การที่โจทก์ไม่สามารถรับเงินค่าเช่าได้เพราะมีเงื่อนไขดังกล่าวที่ผู้เช่าทั้งห้ารายกำหนดไว้ มิใช่เพราะจำเลยไปคัดค้านการขอรับเงินค่าเช่าของโจทก์แต่อย่างใด ทั้งจำเลยได้ทำสัญญาเช่ากับผู้เช่าทั้งห้ารายมาก่อนการวางทรัพย์ จำเลยไม่ได้กระทำละเมิดหรือโต้แย้งสิทธิโจทก์ อันเป็นเหตุให้โจทก์รับเงินค่าเช่าจากสำนักงานวางทรัพย์กลางไม่ได้ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3520/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การชำระหนี้ค่าเช่า: การปฏิบัติตามสัญญาโดยชอบ แม้ไม่ตรงตามวิธีการที่ตกลงกัน
ศาลพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความโดยคู่ความตกลงกันให้จำเลยชำระค่าเช่าโดยนำเงินค่าเช่าเข้าบัญชีเงินฝากประจำของ ว. สามีโจทก์ที่ธนาคารซึ่งเป็นวิธีการชำระหนี้เพื่อความสะดวกของโจทก์และจำเลยเมื่อจำเลยนำค่าเช่าไปขอชำระให้โจทก์ที่บ้านของโจทก์โดยตรงภายในเวลาที่กำหนดไว้ ถือว่าจำเลยได้ขอปฏิบัติการชำระหนี้โดยชอบแล้ว โจทก์จะปฏิเสธไม่ยอมรับชำระหนี้หาได้ไม่ถือไม่ได้ว่าจำเลยตกเป็นผู้ผิดนัดโจทก์ไม่อาจขอบังคับคดีแก่จำเลย
of 56