พบผลลัพธ์ทั้งหมด 86 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 560/2556
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความน่าเชื่อถือของพยานหลักฐานในคดีค้าประเวณี หากมีเหตุให้สงสัยว่าจำเลยไม่ได้จัดหาผู้เสียหายโดยตรง
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเพื่อสนองความใคร่ของผู้อื่นเป็นธุระจัดหา ล่อไปหรือพาไปเพื่อการอนาจารซึ่ง ม. และเด็กหญิง จ.ภ. เพื่อให้กระทำการค้าประเวณี เมื่อข้อเท็จจริงมีเหตุให้สงสัยตามสมควรว่า ในวันเกิดเหตุตามที่โจทก์ฟ้องและนำสืบจำเลยอาจจะไม่ได้จัดส่ง ม. และเด็กหญิง จ.ภ. ไป แต่จัดส่ง จ.ร. ไป ซึ่งหากข้อเท็จจริงเป็นเช่นนั้น จำเลยก็ไม่ใช่ผู้กระทำความผิดในคดีนี้ ส่วนข้อเท็จจริงที่ว่าส่ง จ.ร. ไปค้าประเวณี ก็ไม่ใช่ข้อเท็จจริงที่โจทก์ฟ้องและประสงค์ให้ลงโทษเป็นคดีนี้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 21640-21641/2556
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สนับสนุนการค้ามนุษย์และค้าประเวณี: จำเลยสนับสนุนการกระทำผิดฐานค้ามนุษย์และค้าประเวณี ศาลฎีกาพิพากษาโทษ
จำเลยที่ 1 รู้อยู่แล้วว่า จำเลยที่ 3 จะพาผู้เสียหายที่ 1 อายุ 14 ปีเศษ กับผู้เสียหายที่ 3 อายุ 14 ปีเศษและผู้เสียหายที่ 5 อายุ 17 ปีเศษ จากประเทศไทยเพื่อไปค้าประเวณีที่ประเทศมาเลเซีย การที่จำเลยที่ 1 เป็นผู้ติดต่อช่วยทำเอกสารบัตรผ่านแดนและเป็นผู้ขับรถจักรยานยนต์พาผู้เสียหายทั้งสามผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองจากประเทศไทยไปประเทศมาเลเซีย จึงเป็นการสนับสนุนให้จำเลยที่ 3 กระทำความผิดหาใช่เป็นตัวการไม่ แต่ต้องระวางโทษเท่ากับตัวการตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการค้าประเวณี พ.ศ.2539 มาตรา 9 วรรคห้า และตาม ป.อ. มาตรา 282 วรรคสี่
การที่จำเลยที่ 1 และที่ 3 พาผู้เสียหายที่ 1 ที่ 3 และที่ 5 จากประเทศไทยเพื่อไปค้าประเวณีที่ประเทศมาเลเซียนั้น ถือได้ว่ามีเจตนาเป็นธุระจัดหา ล่อไป หรือชักพาไปเพื่อการค้าประเวณีเท่านั้น และมิใช่เป็นการรับตัวผู้เสียหายทั้งสามไว้โดยทุจริต จึงไม่มีความผิดตาม ป.อ. มาตรา 312 ตรี แม้ไม่มีฝ่ายใดฎีกาในปัญหานี้ก็ตาม แต่เป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 185, 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 215, 225
การที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาลงโทษจำเลยที่ 3 ในความผิดฐานร่วมกันหน่วงเหนี่ยวกักขังผู้เสียหายที่ 1 และที่ 3 โดยขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้ายเพื่อข่มขืนใจให้กระทำการค้าประเวณี ตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการค้าประเวณี พ.ศ.2539 มาตรา 12 วรรคหนึ่ง ว่าเป็นการกระทำที่เป็นกรรมเดียวนั้นไม่ถูกต้อง เพราะแม้เป็นการกระทำในคราวเดียวกันก็ตาม แต่ก็เป็นการกระทำต่อผู้เสียหายแต่ละคนโดยเฉพาะ จึงเป็นความผิดต่างกรรมต่างวาระกัน แต่เมื่อโจทก์ไม่ได้ฎีกาในปัญหานี้ จึงไม่อาจแก้ไขโทษได้ เพราะเป็นการเพิ่มเติมโทษจำเลยต้องห้ามตาม ป.วิ.อ. มาตรา 212 ประกอบมาตรา 225
การที่จำเลยที่ 1 และที่ 3 พาผู้เสียหายที่ 1 ที่ 3 และที่ 5 จากประเทศไทยเพื่อไปค้าประเวณีที่ประเทศมาเลเซียนั้น ถือได้ว่ามีเจตนาเป็นธุระจัดหา ล่อไป หรือชักพาไปเพื่อการค้าประเวณีเท่านั้น และมิใช่เป็นการรับตัวผู้เสียหายทั้งสามไว้โดยทุจริต จึงไม่มีความผิดตาม ป.อ. มาตรา 312 ตรี แม้ไม่มีฝ่ายใดฎีกาในปัญหานี้ก็ตาม แต่เป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 185, 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 215, 225
การที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาลงโทษจำเลยที่ 3 ในความผิดฐานร่วมกันหน่วงเหนี่ยวกักขังผู้เสียหายที่ 1 และที่ 3 โดยขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้ายเพื่อข่มขืนใจให้กระทำการค้าประเวณี ตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการค้าประเวณี พ.ศ.2539 มาตรา 12 วรรคหนึ่ง ว่าเป็นการกระทำที่เป็นกรรมเดียวนั้นไม่ถูกต้อง เพราะแม้เป็นการกระทำในคราวเดียวกันก็ตาม แต่ก็เป็นการกระทำต่อผู้เสียหายแต่ละคนโดยเฉพาะ จึงเป็นความผิดต่างกรรมต่างวาระกัน แต่เมื่อโจทก์ไม่ได้ฎีกาในปัญหานี้ จึงไม่อาจแก้ไขโทษได้ เพราะเป็นการเพิ่มเติมโทษจำเลยต้องห้ามตาม ป.วิ.อ. มาตรา 212 ประกอบมาตรา 225
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 21251/2556
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การกระทำความผิดฐานเป็นธุระจัดหาเด็กเพื่อค้าประเวณี ไม่ต้องเจตนาค้าประเวณี
จำเลยพาเด็กหญิง ธ. นั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์เพื่อไปค้าประเวณีที่โรงแรม การกระทำของจำเลยจึงเป็นการเป็นธุระจัดหาและพาเด็กหญิง ธ. ให้ไปค้าประเวณี อันเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการค้าประเวณี มาตรา 9 แล้ว ไม่จำเป็นที่เด็กหญิง ธ. ต้องมีเจตนาค้าประเวณีด้วย เพราะบทบัญญัติดังกล่าว มิได้บัญญัติเจตนาของผู้ค้าประเวณีให้เป็นองค์ประกอบความผิดด้วย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1724/2556
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การค้าประเวณี: ผู้ดูแลสถานและผู้ควบคุมการค้าประเวณี มีความผิดตาม พ.ร.บ. ป้องกันและปราบปรามการค้าประเวณี
ขณะที่สิบตำรวจตรี ศ. กับพวกเข้าตรวจค้นร้านเกิดเหตุและจับกุมจำเลยทั้งสองนั้น ก็มีเพียงจำเลยทั้งสองและหญิงค้าประเวณีเท่านั้นที่อยู่ในร้านดังกล่าว โดยจำเลยที่ 1 จะเป็นผู้ดำเนินกิจการต่าง ๆ ในร้านเกิดเหตุทั้งหมดตั้งแต่เชียร์ลูกค้า เก็บเงินค่าบริการ ทำบัญชีรายรับ-รายจ่ายที่หญิงค้าประเวณีแต่ละคนขายบริการในแต่ละเดือนจนกระทั่งจ่ายเงินให้แก่หญิงค้าประเวณี ทั้งจำเลยที่ 1 จะเป็นผู้รวบรวมเงินรายได้ดังกล่าวมอบให้แก่นายทุน เมื่อเข้ามาที่ร้านเกิดเหตุ ตามพฤติการณ์ดังกล่าวของจำเลยที่ 1 แสดงให้เห็นว่าจำเลยที่ 1 เป็นผู้มีอำนาจบริหารงานและจัดระเบียบในการค้าประเวณีของหญิงค้าประเวณีในร้านเกิดเหตุและให้คุณให้โทษแก่หญิงที่ค้าประเวณีดังกล่าวได้ จำเลยที่ 1 เป็นผู้ดูแลหรือผู้จัดการกิจการการค้าประเวณีร้านเกิดเหตุ โดยผู้ค้าประเวณีทุกคนต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ที่ทางร้านกำหนดไว้ จำเลยที่ 1 จึงมีความผิดฐานเป็นผู้ดูแลสถานการค้าประเวณีและเป็นผู้ควบคุมผู้กระทำการค้าประเวณีในสถานการค้าประเวณี ส่วนจำเลยที่ 2 เป็นเพียงแม่บ้านและช่วยแนะนำลูกค้าเกี่ยวกับหญิงที่ค้าประเวณีเท่านั้น โดยไม่ได้ดูแลกิจการของร้านเกิดเหตุทั้งหมด และไม่มีอำนาจสั่งการหรือกำหนดกฎเกณฑ์ให้หญิงค้าประเวณีปฏิบัติเพื่อกิจการค้าประเวณี จำเลยที่ 2 จึงไม่มีความผิดฐานดังกล่าว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 11195/2556
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดฐานค้ามนุษย์, พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการค้าประเวณี, และช่วยเหลือคนต่างด้าวเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย
มาตรา 7 วรรคสอง ของ พ.ร.บ.มาตรการป้องกันและปราบปรามการค้าหญิงและเด็ก พ.ศ.2540 ของกฎหมายเดิมบัญญัติว่า ถ้าผู้กระทำความผิดตามวรรคหนึ่ง คนหนึ่งคนใดได้ลงมือกระทำความผิดตามที่สมคบกันไปแล้ว ผู้ร่วมสมคบด้วยกันทุกคนต้องระวางโทษตามที่บัญญัติไว้สำหรับความผิดนั้นอีกกระทงหนึ่งด้วยนั้น เป็นเพียงบทบัญญัติประกอบการลงโทษบุคคลที่ร่วมสมคบกันกระทำความผิดตามวรรคหนึ่งแล้ว มิใช่ฐานความผิดหรือบทกำหนดความผิดและกำหนดโทษในตัวเองที่จะใช้ลงโทษแก่ผู้กระทำความผิดโดยตรง และการที่มาตรา 7 วรรคสอง กำหนดให้ลงโทษผู้ร่วมสมคบตามวรรคหนึ่งทุกคนตามฐานความผิดที่มีการกระทำลงอีกกระทงหนึ่งด้วย แสดงอยู่ว่ากฎหมายมีเจตนารมณ์ให้ลงโทษฐานสมคบกันกระทำความผิดเกี่ยวกับการค้าหญิงและเด็กตามมาตรา 7 วรรคหนึ่ง กับความผิดฐานที่ได้มีการกระทำลงแยกต่างหากจากกันเป็นคนละกระทงกัน จึงเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน มิใช่ความผิดกรรมเดียวกัน
ความผิดฐานเป็นเจ้าของ ผู้ดูแลหรือผู้จัดการสถานการค้าประเวณี กับฐานเป็นธุระจัดหา ล่อไปหรือชักพาไปซึ่งบุคคลใดเพื่อให้บุคคลนั้นกระทำการค้าประเวณีตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการค้าประเวณี พ.ศ.2539 มาตรา 9 วรรคสอง และมาตรา 11 วรรคสอง เป็นความผิดที่อาศัยเจตนาต่างกันและมีองค์ประกอบความผิดต่างกัน จึงเป็นความผิดต่างกรรม แต่โจทก์บรรยายฟ้องเกี่ยวกับความผิดดังกล่าวร่วมกันมาในข้อเดียว ย่อมเห็นได้ว่าโจทก์ประสงค์ให้ลงโทษจำเลยทั้งสามในทุกฐานความผิดดังกล่าวเพียงกรรมเดียว หาได้มุ่งประสงค์ให้ลงโทษจำเลยทั้งสามเป็นความผิดหลายกรรมต่างกันตาม ป.อ. มาตรา 91 จึงลงโทษจำเลยทั้งสามสำหรับความผิดในฟ้องข้อนี้ได้เพียงกรรมเดียว
ความผิดฐานเป็นเจ้าของ ผู้ดูแลหรือผู้จัดการสถานการค้าประเวณี กับฐานเป็นธุระจัดหา ล่อไปหรือชักพาไปซึ่งบุคคลใดเพื่อให้บุคคลนั้นกระทำการค้าประเวณีตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการค้าประเวณี พ.ศ.2539 มาตรา 9 วรรคสอง และมาตรา 11 วรรคสอง เป็นความผิดที่อาศัยเจตนาต่างกันและมีองค์ประกอบความผิดต่างกัน จึงเป็นความผิดต่างกรรม แต่โจทก์บรรยายฟ้องเกี่ยวกับความผิดดังกล่าวร่วมกันมาในข้อเดียว ย่อมเห็นได้ว่าโจทก์ประสงค์ให้ลงโทษจำเลยทั้งสามในทุกฐานความผิดดังกล่าวเพียงกรรมเดียว หาได้มุ่งประสงค์ให้ลงโทษจำเลยทั้งสามเป็นความผิดหลายกรรมต่างกันตาม ป.อ. มาตรา 91 จึงลงโทษจำเลยทั้งสามสำหรับความผิดในฟ้องข้อนี้ได้เพียงกรรมเดียว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5729/2555
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
พยานหลักฐานไม่เพียงพอ ฟ้องค้าประเวณี-ค้ามนุษย์ จำเลยยกฟ้อง
พยานหลักฐานของโจทก์คงมีเพียงคำให้การในชั้นสอบสวนของผู้เสียหายที่ 1 และแถบบันทึกภาพ (วิดีโอ) การสอบสวนผู้เสียหายที่ 1 แม้ศาลมีอำนาจรับฟังพยานหลักฐานดังกล่าวเสมือนหนึ่งเป็นคำเบิกความของผู้เสียหายที่ 1 ในชั้นพิจารณาของศาลได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 172 ตรี วรรคสี่ แต่โจทก์ไม่มีพยานหลักฐานอื่นมาสืบประกอบให้รับฟังได้ว่า คำให้การชั้นสอบสวนของผู้เสียหายที่ 1 และแถบบันทึกภาพ (วิดีโอ) การสอบสวนผู้เสียหายที่ 1 ดังกล่าวน่าเชื่อถือ พยานหลักฐานของโจทก์จึงไม่มีน้ำหนักให้รับฟังลงโทษจำเลยได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4901/2555
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ค้าประเวณีในต่างประเทศกับการลงโทษซ้ำในไทย: ข้อหาต่างกันลงโทษได้
ศาลในต่างประเทศพิพากษาให้ลงโทษจำเลยข้อหาค้าประเวณี แต่คดีนี้จำเลยกระทำความผิดข้อหาเป็นธุระจัดหาซึ่งบุคคลใดเพื่อการอนาจาร และเพื่อให้บุคคลนั้นกระทำการค้าประเวณีเป็นคนละข้อหากันและการกระทำต่างกัน การห้ามมิให้ลงโทษจำเลยในราชอาณาจักรตาม ป.อ. มาตรา 10 ต้องเป็นการลงโทษเพราะการกระทำเดียวกัน คือ เมื่อลงโทษข้อหาใดในต่างประเทศแล้วจะลงโทษข้อหาเดียวกันซ้ำในราชอาณาจักรอีกไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7509/2554
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ธุระจัดหาการค้าประเวณี: การตีความคำขอท้ายฟ้องและการลงโทษตามกฎหมายที่ถูกต้อง
โจทก์บรรยายฟ้องถึงการกระทำของจำเลยฐานเป็นธุระจัดหาให้ผู้อื่นกระทำการค้าประเวณี ครบองค์ประกอบความผิดตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการค้าประเวณี พ.ศ.2539 มาตรา 9 วรรคหนึ่ง ส่วนคำขอท้ายฟ้องแม้จะอ้างพระราชบัญญัติปรามการค้าประเวณี แต่ความผิดฐานเป็นธุระจัดหาให้ผู้อื่นกระทำการค้าประเวณีตามที่โจทก์บรรยายมาในฟ้อง มีบัญญัติเป็นความผิดอยู่ในมาตรา 9 แห่ง พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการค้าประเวณี พ.ศ.2539 ส่วนตาม พ.ร.บ.ปรามการค้าประเวณี พ.ศ.2503 บัญญัติเป็นความผิดอยู่ในมาตรา 8 มิใช่มาตรา 9 ดังนี้ การที่ระบุขอให้ลงโทษตามมาตรา 9 ย่อมแปลได้ว่าเป็นเรื่องที่โจทก์ประสงค์ขอให้ลงโทษตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการค้าประเวณี พ.ศ.2539 นั่นเอง มิใช่ประสงค์ขอให้ลงโทษตาม พ.ร.บ.ปรามการค้าประเวณี พ.ศ.2503 แต่อย่างใด จึงหาใช่เป็นเรื่องที่โจทก์อ้างกฎหมายที่ถูกยกเลิกแล้วมาขอให้ลงโทษจำเลย อันจะมีผลเท่ากับโจทก์มิได้อ้างมาตราในกฎหมายซึ่งบัญญัติว่าการกระทำเช่นนั้นเป็นความผิดตาม ป.วิ.อ. มาตรา 158 (6) ไม่ ศาลล่างทั้งสองลงโทษจำเลยตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการค้าประเวณี พ.ศ.2539 มาตรา 9 วรรคหนึ่ง ชอบแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7004/2554
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดสนับสนุนการค้าประเวณี: การแยกพิจารณาความผิดต่อผู้เสียหายแต่ละคนเป็นกรรมต่างกัน
ความผิดฐานผู้ใดเพื่อสนองความใคร่ของผู้อื่นเป็นธุระจัดหา ล่อไปหรือพาไปเพื่อการอนาจารตามมาตรา 282 วรรคสองและวรรคสาม มีองค์ประกอบความผิดในส่วนอายุของบุคคลที่ถูกระทำแตกต่างกันจึงเป็นการกระทำโดยเจตนาให้เกิดผลต่อบุคคลที่ถูกกระทำแยกต่างหากจากกันได้ แม้ผู้เสียหายทั้งสองจะถูกกระทำความผิดในคราวเดียวกัน แต่เป็นการกระทำต่อผู้เสียหายแต่ละคนโดยเฉพาะจึงเป็นความผิดต่างกรรมต่างวาระ ฉะนั้น ที่ศาลล่างทั้งสองฟังว่าการกระทำของจำเลยเป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิดต่อผู้เสียหายทั้งสอง ก็ต้องฟังว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกันด้วย มิใช่เป็นความผิดกรรมเดียว ปัญหาดังกล่าวเป็นปัญหาที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นแก้ไขให้ถูกต้องได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225 แต่เนื่องจากโจทก์มิได้อุทธรณ์และฎีกาให้ลงโทษจำเลยหลายกรรม ศาลฎีกาไม่อาจแก้ไขเรื่องโทษได้เพราะเป็นการพิพากษาเพิ่มเติมโทษจำเลย ศาลล่างทั้งสองฟังว่าจำเลยเป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิด แต่มิได้ปรับบทตาม ป.อ. มาตรา 86 ด้วย จึงไม่ถูกต้อง ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขเสียด้วย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 10632/2554
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การล่อซื้อบริการค้าประเวณีเพื่อจับกุมผู้กระทำผิด และความผิดฐานจัดหาเด็กเพื่อค้าประเวณี
การใช้เจ้าพนักงานตำรวจไปล่อซื้อบริการค้าประเวณีเป็นเพียงการกระทำเท่าที่จำเป็นและสมควรในการแสวงหาหลักฐานในการกระทำความผิดของจำเลยตามอำนาจใน ป.วิ.อ. มาตรา 2 (10) ชอบที่เจ้าพนักงานตำรวจจะกระทำได้เพื่อให้ได้โอกาสจับกุมจำเลยพร้อมด้วยพยานหลักฐาน ดังนั้นการใช้เจ้าพนักงานตำรวจไปล่อซื้อบริการค้าประเวณีจากจำเลยจึงเป็นเพียงวิธีพิสูจน์ความผิดของจำเลย ไม่เป็นการแสวงหาหลักฐานโดยมิชอบ จึงมิใช่เป็นการก่อหรือใช้ให้จำเลยกระทำความผิด
การที่จำเลยเป็นธุระจัดหาเด็กหญิง ก. ซึ่งอายุยังไม่เกินสิบห้าปี เพื่อทำการค้าประเวณีให้แก่ ณ. แม้ ณ. ยังไม่ได้ร่วมประเวณีกับเด็กหญิง ก. ก็ตาม การกระทำของจำเลยก็เป็นความผิดสำเร็จแล้ว
การที่จำเลยเป็นธุระจัดหาเด็กหญิง ก. ซึ่งอายุยังไม่เกินสิบห้าปี เพื่อทำการค้าประเวณีให้แก่ ณ. แม้ ณ. ยังไม่ได้ร่วมประเวณีกับเด็กหญิง ก. ก็ตาม การกระทำของจำเลยก็เป็นความผิดสำเร็จแล้ว