คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
ฎีกาไม่ชอบ

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 95 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 876/2509 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาไม่ชอบเมื่ออ้างคำอุทธรณ์เป็นฎีกา สัญญาประนีประนอมยอมความมีผลผูกพัน
ฎีกาของจำเลยที่กล่าวเพียงว่า "จำเลยขอถือคำอุทธรณ์ของจำเลยเป็นส่วนหนึ่งของฎีกา" ไม่เป็นฎีกาที่ชอบตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 แม้ต่อมาจำเลยจะได้ยื่นคำแถลงการณ์บรรยายโต้แย้งคำพยานโจทก์ว่าเบิกความแตกต่างกัน ก็ไม่ทำให้ฎีกาโดยย่อนั้นกลายเป็นฎีกาโดยชัดแจ้งขึ้นมา
บันทึกที่มีใจความว่า "1. โจทก์ยืนยันว่าถ้าจำเลยนำหลักฐานการซื้อขายมาแสดงได้ ก็จะไม่เกี่ยวข้องกับที่ดินพิพาทต่อไป 2. จำเลยยืนยันว่าได้ซื้อขายมีหลักฐานเป็นหนังสือทำที่บ้านกำนันกาศจะนำหลักฐานมาแสดง ถ้าไม่สามารถนำมาแสดงได้ยอมคืนที่ดินให้โจทก์โดยไม่เรียกร้องค่าตอบแทนใด ๆ ทั้งสิ้น" เป็นสัญญาประนีประนอมยอมความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 850.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 876/2509

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาไม่ชอบเมื่ออ้างคำอุทธรณ์แทนฎีกาชัดเจน และสัญญาประนีประนอมยอมความผูกพันจำเลย
ฎีกาของจำเลยที่กล่าวเพียงว่า "จำเลยขอถือคำอุทธรณ์ของจำเลยเป็นส่วนหนึ่งของฎีกา" ไม่เป็นฎีกาที่ชอบตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 แม้ต่อมาจำเลยจะได้ยื่นคำแถลงการณ์บรรยายโต้แย้งคำพยานโจทก์ว่าเบิกความแตกต่างกันก็ไม่ทำให้ฎีกาโดยย่อนั้นกลายเป็นฎีกาโดยชัดแจ้งขึ้นมา
บันทึกที่มีใจความว่า "1 โจทก์ยืนยันว่าถ้าจำเลยนำหลักฐานการซื้อขายมาแสดงได้ ก็จะไม่เกี่ยวข้องกับที่ดินพิพาทต่อไป 2. จำเลยยืนยันว่าได้ซื้อขายมีหลักฐานเป็นหนังสือทำที่บ้านกำนันกาศ จะนำหลักฐานมาแสดง ถ้าไม่สามารถนำมาแสดงได้ยอมคืนที่ดินให้โจทก์โดยไม่เรียกร้องค่าตอบแทนใดๆ ทั้งสิ้น" เป็นสัญญาประนีประนอมยอมความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 850

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 923/2508 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การรับฟังคำแถลงเปิดคดีเป็นข้อเท็จจริง: ฎีกาไม่ชอบด้วยกฎหมายและไม่รับพิจารณา
โจทก์ฎีกาปัญหาข้อกฎหมายว่า ในชั้นไต่สวนมูลฟ้องศาลล่างทั้งสองรับฟังข้อความในคำแถลงเปิดคดีของจำเลยมาเป็นข้อเท็จจริงในการพิจารณาเป็นการไม่ชอบด้วยกฎหมาย ดังนี้ เห็นได้ว่า ฎีกาของโจทก์หาได้แสดงให้เห็นโดยชัดแจ้งไม่ว่า ศาลชั้นต้นรับฟังข้อความข้อใดบ้างในคำแถลงเปิดคดีของจำเลยซึ่งไม่มีข้อเท็จจริงปรากฏในสำนวนมาเป็นข้อเท็จจริงในการพิจารณา จึงเป็นฎีกาที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 195 และประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 249 ประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 รับเป็นฎีกาไว้พิจารณาไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 923/2508

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การรับฟังคำแถลงเปิดคดีเป็นข้อเท็จจริง: ฎีกาไม่ชอบ หากไม่ปรากฏในสำนวน
โจทก์ฎีกาปัญหาข้อกฎหมายว่า ในชั้นไต่สวนมูลฟ้องศาลล่างทั้งสองรับฟังข้อความในคำแถลงเปิดคดีของจำเลยมาเป็นข้อเท็จจริงในการพิจารณาเป็นการไม่ชอบด้วยกฎหมาย ดังนี้ เห็นได้ว่า ฎีกาของโจทก์หาได้แสดงให้เห็นโดยชัดแจ้งไม่ว่า ศาลชั้นต้นรับฟังข้อความข้อใดบ้างในคำแถลงเปิดคดีของจำเลยซึ่งไม่มีข้อเท็จจริงปรากฏในสำนวนมาเป็นข้อเท็จจริงในการพิจารณา จึงเป็นฎีกาที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 194 และประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 ประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 รับเป็นฎีกาไว้พิจารณาไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5858/2558

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาไม่ชอบเมื่อจำเลยบางส่วนไม่ได้ตั้งทนาย และฟ้องซ้อนเรื่องสินสมรส
จำเลยที่ 1 ที่ 3 และที่ 4 ตั้ง ป. เป็นทนายความให้มีอำนาจใช้สิทธิในการฎีกาได้ ส่วนจำเลยที่ 2 ขาดนัดยื่นคำให้การและไม่เคยตั้งให้ ป. เป็นทนายความมาแต่แรก ฎีกาทำเป็นฉบับเดียวลงชื่อจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 4 เป็นผู้ฎีกา โดยมี ป. ลงลายมือชื่อในช่องผู้เรียงพิมพ์ ฉะนั้น แม้ฎีกาฉบับนี้จะระบุชื่อของจำเลยที่ 2 ไว้ในฎีกาหน้าแรกว่าเป็นผู้ที่ขอยื่นฎีกาด้วยก็ตาม กรณียังถือไม่ได้ว่าเป็นฎีกาของจำเลยที่ 2 ด้วย ที่ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาของจำเลยทั้งสี่ ซึ่งรวมถึงจำเลยที่ 2 ด้วยนั้น จึงไม่ชอบ ต้องถือว่าจำเลยที่ 1 ที่ 3 และที่ 4 เท่านั้นฎีกา
แม้โจทก์เคยฟ้องจำเลยที่ 1 เป็นคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 104/2555 เรื่องขอแบ่งสินสมรสเป็นที่ดินตามแบบแสดงรายการที่ดินเพื่อชำระภาษีบำรุงท้องที่ (ภ.บ.ท.5) เลขสำรวจที่ 191/2553 หมู่ที่ 7 ตำบลลาดหญ้า อำเภอเมืองกาญจนบุรี จังหวัดกาญจนบุรี อันเป็นสินสมรสระหว่างโจทก์กับนาง น. แต่จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นบุตรโต้แย้งขอให้บังคับจำเลยที่ 1 แบ่งที่ดินให้แก่โจทก์กึ่งหนึ่ง ส่วนคดีนี้ โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสี่ขอแบ่งที่ดินซึ่งเป็นสินสมรสระหว่างโจทก์กับ น. เป็นที่ดินตามแบบแสดงรายการที่ดินเพื่อชำระภาษีบำรุงท้องที่ (ภ.บ.ท.5) เลขสำรวจที่ 96/2553 หมู่ที่ 5 ตำบลท่ามะขาม อำเภอเมืองกาญจนบุรี จังหวัดกาญจนบุรี แต่จำเลยทั้งสี่ซึ่งเป็นบุตรโต้แย้งว่ามีสิทธิครอบครอง ขอให้บังคับจำเลยทั้งสี่แบ่งที่ดินให้แก่โจทก์กึ่งหนึ่ง แม้การฟ้องของโจทก์ทั้งสองคดี เป็นการขอให้แบ่งที่ดินต่างแปลงกัน แต่มูลเหตุแห่งการฟ้องคดีเป็นเรื่องที่โจทก์ฟ้องจำเลยโดยการยกข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาว่า ที่ดินทั้งสองแปลงเป็นสินสมรส คำฟ้องคดีนี้จึงเป็นฟ้องซ้อนกับคำฟ้องคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 104/2555 จึงต้องห้ามตาม ป.วิ.พ. มาตรา 173 วรรคสอง (1)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1964/2558

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คดีถึงที่สุดเมื่อศาลฎีกายกข้อฎีกาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย แม้มีการยื่นฎีกา
คดีนี้จำเลยยื่นฎีกาคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 4 ขอให้ศาลฎีกาพิพากษายกฟ้อง ศาลฎีกาวินิจฉัยฎีกาของจำเลยแล้วเห็นว่าฎีกาของจำเลยไม่เป็นการคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 4 ไม่ชอบด้วย ป.วิ.อ. มาตรา 216 วรรคหนึ่ง ที่ศาลชั้นต้นรับฎีกาของจำเลยนั้นเป็นการไม่ชอบ และมีคำพิพากษายกฎีกาของจำเลย ถือได้ว่าศาลฎีกาได้วินิจฉัยฎีกาของจำเลยแล้วว่าเป็นฎีกาที่ไม่ชอบด้วย ป.วิ.อ. มาตรา 216 วรรคหนึ่ง การที่ศาลฎีกายกฎีกาของจำเลยจึงมิใช่เป็นเพียงแบบของการจัดทำคำพิพากษาของศาล เมื่อศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาให้จำเลยฟังเมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน 2555 คดีของจำเลยจึงถึงที่สุดในวันดังกล่าว ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 147 วรรคสอง ประกอบ ป.วิ.อ. มาตรา 15

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 19126/2556

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาไม่ชอบด้วยกฎหมาย: การฎีกาต้องคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์โดยตรง มิใช่คัดลอกคำพิพากษาศาลชั้นต้น
ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 216 วรรคหนึ่ง วางหลักสำคัญในการฎีกาว่า ฎีกาจะต้องคัดค้านคำพิพากษาหรือคำสั่งศาลอุทธรณ์ คดีนี้ ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า พยานหลักฐานโจทก์ที่นำสืบมารับฟังได้โดยปราศจากสงสัยว่าจำเลยที่ 1 กับพวกเป็นคนร้ายร่วมกันฆ่าผู้ตาย แต่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 เห็นว่า พยานหลักฐานโจทก์ยังมีความสงสัยตามสมควรต้องยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลยที่ 1 และพิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง เท่ากับศาลอุทธรณ์ภาค 7 ไม่เห็นด้วยกับการฟังข้อเท็จจริงและเหตุผลในการตัดสินของศาลชั้นต้น โจทก์ฎีกาว่า โจทก์ไม่เห็นด้วยกับคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ภาค 7 โดยแสดงข้อคัดค้านด้วยการคัดลอกคำตัดสินของศาลชั้นต้นทั้งในส่วนข้อเท็จจริงและเหตุผลแห่งคำวินิจฉัยชนิดคำต่อคำ เริ่มจากข้อความที่ศาลชั้นต้น เห็นว่า เป็นต้นมาจนจบคำวินิจฉัย มาหักล้างข้อวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ภาค 7 ซึ่งข้อเท็จจริงและเหตุผลที่ศาลชั้นต้นยกขึ้นวินิจฉัยตามที่โจทก์ฎีกานั้น ศาลอุทธรณ์ภาค 7 ได้พิจารณาแล้วไม่เห็นพ้องด้วยโดยศาลอุทธรณ์ภาค 7 ได้วินิจฉัยข้อเท็จจริงและแสดงเหตุผลแห่งคำวินิจฉัยในแง่มุมต่าง ๆ ไว้หลายประการซึ่งต่างไปจากข้อเท็จจริงและเหตุผลที่ศาลชั้นต้นยกขึ้นวินิจฉัย อันเป็นการหักล้างการรับฟังพยานหลักฐานของศาลชั้นต้น แม้ฎีกาโจทก์จะกล่าวเพิ่มเติมมาบ้าง 6 ถึง 7 บรรทัด ก็เป็นฎีกาลอย ๆ ที่กล่าวปิดท้ายก่อนที่จะสรุปทำนองเดียวกับศาลชั้นต้นว่า พยานหลักฐานโจทก์รับฟังได้มั่นคงและชัดเจนโดยปราศจากข้อสงสัยว่าจำเลยที่ 1 เป็นคนร้ายจริง เท่ากับโจทก์มิได้ฎีกาคัดค้านโดยตรงต่อคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ภาค 7 ว่า คำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ภาค 7 ที่รับฟังข้อเท็จจริงและแสดงเหตุผลซึ่งผิดไปจากที่ศาลชั้นต้นยกขึ้นวินิจฉัยนั้น มีข้อเท็จจริงใดที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 รับฟังมาไม่ถูกต้องหรือเห็นว่าคลาดเคลื่อนไปจากพยานหลักฐานโจทก์ที่ควรรับฟังในข้อใด และมีข้อวินิจฉัยที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 ให้เหตุผลไม่สมแก่ข้อเท็จจริงในเรื่องใดและเพราะเหตุใด หรือไม่ลงรอยแก่เหตุผลที่ควรจะเป็นไปในเหตุการณ์ใด ฎีกาของโจทก์จึงมีผลไม่ต่างไปจากการขอถือเอาคำพิพากษาของศาลชั้นต้นเป็นข้อฎีกาของโจทก์ ถือไม่ได้ว่าเป็นข้อคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 7 เพื่อการวินิจฉัยของศาลฎีกาโดยตรง เป็นฎีกาที่ไม่ชอบด้วยข้อกฎหมาย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9727/2555

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาไม่ชอบด้วย ป.วิ.อ. ม.216 วรรคหนึ่ง จำเลยคัดลอกคำพิพากษาเดิมโดยไม่โต้แย้งเหตุผลศาลอุทธรณ์
จำเลยฎีกาโดยคัดลอกคำพิพากษาศาลชั้นต้นในส่วนพิเคราะห์พยานหลักฐานโจทก์จำเลยตั้งแต่ต้นจนจบชนิดคำต่อคำ แล้วสรุปว่า แม้ ส. พ. และ บ. จะเบิกความแตกต่างจากคำให้การในชั้นสอบสวนของตนเองก็ตาม แต่บันทึกคำให้การชั้นสอบสวนเป็นเพียงพยานบอกเล่า โดยลำพังไม่มีน้ำหนักลงโทษจำเลยได้ โดยจำเลยไม่ได้ยกข้อเท็จจริงและเหตุผลขึ้นโต้แย้งว่า ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 4 รับฟังคำให้การในชั้นสอบสวนของประจักษ์พยานโจทก์ไม่ถูกต้องด้วยข้อเท็จจริงและไม่ชอบด้วยเหตุผลอย่างไร มีข้อเท็จจริงและเหตุผลใดที่หักล้างข้อวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ภาค 4 ให้รับฟังใหม่ได้ว่า คำเบิกความของประจักษ์พยานโจทก์เป็นความจริงยิ่งกว่าคำให้การในชั้นสอบสวน ฎีกาของจำเลยจึงไม่เป็นการคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 4 ไม่ชอบด้วยบทกฎหมายตาม ป.วิ.อ. มาตรา 216 วรรคหนึ่ง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8997/2555

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาไม่ชอบเมื่อไม่ระบุข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายที่คัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์อย่างชัดเจน
คู่ความที่ฎีกาต้องระบุข้อเท็จจริงโดยย่อหรือข้อกฎหมายที่ยกขึ้นอ้างอิงเป็นลำดับ เพื่อให้เห็นว่าคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์คลาดเคลื่อนหรือไม่ถูกต้องด้วยเหตุใดตาม ป.วิ.อ. มาตรา 193 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225 จะให้ถือเอาคำฟ้องอุทธรณ์เป็นส่วนหนึ่งของฎีกา โดยไม่มีเหตุผลและข้อคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ย่อมไม่ได้
ปัญหาฟ้องโจทก์เป็นฟ้องที่สมบูรณ์ชอบด้วย ป.วิ.อ. มาตรา 158 (5) หรือไม่ เป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลอุทธรณ์ภาค 5 มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้เอง ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 195 วรรคสอง มิใช่เป็นกรณีศาลชั้นต้นมิได้ปฏิบัติให้ถูกต้องตามกระบวนพิจารณา จึงไม่ต้องด้วย ป.วิ.อ. มาตรา 208 (2) ที่จะให้ศาลชั้นต้นพิจารณาและพิพากษาหรือสั่งใหม่ตามรูปคดี
ที่โจทก์ฎีกาว่า อุทธรณ์ของโจทก์เป็นการอุทธรณ์คัดค้านในข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายที่โจทก์ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น ตั้งแต่ ฟ้องของโจทก์ก็ถูกต้องตามกฎหมาย ได้ระบุข้อเท็จจริงและรายละเอียดการกระทำผิดของจำเลยตามกฎหมายที่ชัดเจนครบถ้วนตามกฎหมายแล้ว ซึ่งจำเลยก็เข้าใจฟ้องของโจทก์ได้ดี ไม่ทำให้จำเลยหลงต่อสู้แต่อย่างใด มีการเบิกความไต่สวนมูลฟ้อง จนศาลประทับรับฟ้องไว้พิจารณาและการเบิกความในชั้นพิจารณาของศาล โจทก์ก็เบิกความในข้อเท็จจริงที่เป็นสาระสำคัญแก่คดีตามข้อกฎหมายที่โจทก์ได้ฟ้องแล้ว จนกระทั่งศาลชั้นต้นมีคำพิพากษา และเมื่อโจทก์ไม่เห็นพ้องด้วยกับการวินิจฉัยของศาลชั้นต้น จึงได้อุทธรณ์คัดค้านโต้แย้งข้อเท็จจริงที่เป็นสาระสำคัญที่เป็นองค์ประกอบของกฎหมายในข้อประเด็นที่ศาลชั้นต้นได้วินิจฉัย โดยโจทก์เห็นว่าเป็นสาระสำคัญอันควรได้รับการวินิจฉัยจากศาลอุทธรณ์ภาค 5 อีกชั้นหนึ่งว่าการเบิกความของจำเลยต่อศาลตามพยานเอกสารคำเบิกความในคดีอาญาดังกล่าวจะเป็นความผิดตามกฎหมายหรือไม่ การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 5 หยิบยกปัญหาข้อกฎหมายที่ว่าฟ้องโจทก์มิได้บรรยายการกระทำทั้งหลายที่อ้างว่าจำเลยกระทำความผิดพอสมควรที่จะให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดีไม่พึงรับไว้พิจารณาแล้วพิพากษายกอุทธรณ์ของโจทก์เป็นการไม่ชอบนั้น เห็นว่า ข้อที่โจทก์อ้างในคำฟ้องฎีกาดังกล่าว โจทก์มิได้โต้แย้งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 5 เลยว่า ฟ้องโจทก์ได้บรรยายการกระทำทั้งหลายที่อ้างว่าจำเลยได้กระทำผิดครบองค์ประกอบความผิดฐานเบิกความเท็จตามข้อเท็จจริงใดที่โจทก์ได้บรรยายไว้แล้วในฟ้องด้วยข้อความใดและอย่างไร คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 5 คลาดเคลื่อนหรือไม่ถูกต้องอย่างไร เช่นนี้จึงเป็นฎีกาที่มิได้ระบุข้อเท็จจริงโดยย่อที่ยกขึ้นอ้างอิงเป็นลำดับในการโต้แย้งคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 5 ฎีกาของโจทก์ดังกล่าวจึงเป็นฎีกาที่ไม่ชอบด้วย ป.วิ.อ. มาตรา 193 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 15266/2555

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาไม่ชอบ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยเนื่องจากเป็นการคัดลอกคำพิพากษาศาลชั้นต้นโดยมิได้โต้แย้งเหตุผลของศาลอุทธรณ์
ฎีกาของโจทก์อ้างในเบื้องต้นว่าโจทก์ขอฎีกาคัดค้านคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ภาค 1 ต่อศาลฎีกาแต่เนื้อหาในฎีกาปรากฏว่าโจทก์คัดลอกคำพิพากษาของศาลชั้นต้นในส่วนคำวินิจฉัยทุกถ้อยคำ แล้วเพิ่มข้อความต่อท้ายว่าอาศัยเหตุผลดังกราบเรียนข้างต้น ขอศาลฎีกาได้โปรดพิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 โดยพิพากษาลงโทษจำเลยตามฟ้องโจทก์และคำพิพากษาศาลชั้นต้น ฎีกาของโจทก์ไม่มีข้อความตอนใดระบุว่าที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 วินิจฉัยว่าคำเบิกความของผู้เสียหายมีพิรุธน่าสงสัยว่าจำเลยกระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ เป็นการไม่ชอบเพราะเหตุใด และรายละเอียดส่วนใด หากยกขึ้นวินิจฉัยแล้วผลจะเป็นอย่างไร เป็นฎีกาที่ถือเอาคำพิพากษาศาลชั้นต้นเป็นฎีกาของโจทก์ ซึ่งคำพิพากษาศาลชั้นต้น ได้ถูกกลับโดยคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ภาค 1 จึงเป็นฎีกาที่ไม่ชอบตาม ป.วิ.อ. มาตรา 193 วรรคสอง ประกอบ มาตรา 225 และมาตรา 216 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
of 10