พบผลลัพธ์ทั้งหมด 156 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1008/2520
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแปลงหนี้: การตกลงเปลี่ยนจากการชำระเงินเป็นบริการถ่ายทำภาพยนตร์ ทำให้หนี้เดิมระงับ
จำเลยซื้อเครื่องปรับอากาศไปจากโจทก์ โดยจำเลยชำระเงินให้โจทก์ส่วนหนึ่ง ส่วนที่ค้างชำระตกลงกันว่า หากไม่นำมาชำระให้จำเลยจะทำภาพยนตร์ตัวอย่างเพื่อโฆษณาร้านค้าให้โจทก์แต่จำเลยก็ไม่นำเงินที่ค้างมาชำระ และไม่ทำภาพยนตร์โฆษณาให้โจทก์ดังนี้ ถือได้ว่าหนี้ค่าเครื่องปรับอากาศที่ค้างชำระดังกล่าวนั้นโจทก์จำเลยได้ตกลงทำสัญญาเปลี่ยนสิ่งซึ่งเป็นสารสำคัญแห่งหนี้ โดยเปลี่ยนวัตถุแห่งหนี้จากการที่จำเลยจะต้องชำระเงินมาเป็นหนี้ที่จำเลยจะต้องถ่ายทำภาพยนตร์โฆษณากิจการร้านค้าให้โจทก์เสียแล้วหนี้ที่จำเลยจะต้องชำระเงินย่อมเป็นอันระงับไปด้วยการแปลงหนี้ใหม่ โจทก์จึงจะฟ้องบังคับให้จำเลยชำระเงินที่ค้างตามสัญญาซื้อขายซึ่งระงับไปแล้วด้วยการแปลงหนี้ใหม่หาได้ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2524/2519
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ค่าเช่าเป็นสาระสำคัญของสัญญาเช่า การต่อสัญญาต้องตกลงกัน
ค่าเช่าเป็นสารสำคัญในสัญญาเช่า ซึ่งคู่กรณีต้องตกลงกันในข้อนี้ก่อน จำเลยขอเช่าต่อตามค่าเช่าเดิม โจทก์ไม่สนองรับ ยังไม่มีสัญญาเช่าต่อกัน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1783-1799/2519 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาออกเช็คเพื่อประกัน ไม่ถือเป็นเจตนาทุจริตตาม พ.ร.บ.เช็ค หากตกลงกันไม่ให้ขึ้นเงิน
จำเลยออกเช็คพิพาทเพื่อเป็นประกันในการที่โจทก์ร่วมให้สินเชื่อซื้อยาปราบศัตรูฝ้ายและพืช โดยเมื่อถึงกำหนดชำระเงินตามเช็คจำเลยจะซื้อดราฟท์ส่งไปให้โจทก์ร่วม และโจทก์ร่วมก็จะคืนเช็คพิพาทให้ ดังนี้ แม้ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คพิพาท จำเลยก็หามีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คฯ มาตรา 3 ไม่ ข้อความในมาตรา 3(1) ที่ว่า "โดยเจตนาที่จะมิให้มีการใช้เงินตามเช็ค" ย่อมเป็นความผิดหมายความว่าเมื่อออกเช็คนั้นผู้สั่งจ่ายต้องมีเจตนาจะไม่ให้มีการจ่ายเงินในเมื่อนำเช็คไปขึ้นเงินหาได้หมายความว่าหากคู่กรณีตกลงกันไม่ให้นำเช็คไปขึ้นก็จะต้องเป็นความผิดไปด้วยไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 529/2518 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การถอนตัวจากตำแหน่งผู้จัดการมรดกและการจำหน่ายคดีเมื่อมีการตกลงกับคู่กรณี
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำสั่งศาลชั้นต้นตั้งให้ผู้ร้องเป็นผู้จัดการมรดกผู้ร้องคัดค้านฎีกา ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกาผู้ร้องยื่นคำร้องว่าไม่มีความประสงค์จะเป็นผู้จัดการมรดกคดีนี้ต่อไป เพราะได้ตกลงกับผู้ร้องคัดค้านเรียบร้อยแล้ว ขอถอนตัวจากการเป็นผู้จัดการมรดก และขอถอนคำร้องขอเป็นผู้จัดการมรดก ผู้ร้องคัดค้านไม่คัดค้านคำร้องนี้ ศาลฎีกาสั่งคำร้องนี้ว่าไม่มีคำฟ้องชั้นฎีกาที่จะถอน เพราะผู้ร้องไม่ได้ฎีกาและจะขอถอนคำร้องขอจัดการมรดกนั้นก็ไม่ได้ เพราะศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษาไปแล้ว เมื่อคำร้องของผู้ร้องดังกล่าวนี้ผู้ร้องยังได้ร้องขอถอนตัวจากการเป็นผู้จัดการมรดกรายนี้อีกด้วย อันแสดงว่าผู้ร้องไม่ประสงค์จะทำหน้าที่ผู้จัดการมรดกต่อไปและขอถอนตนจากตำแหน่งผู้จัดการมรดก ศาลฎีกาย่อมมีอำนาจสั่งคำขอนี้ได้ด้วย เมื่อรับฟังได้ตามที่อ้างในคำร้องกรณีก็มีเหตุอันสมควรศาลฎีกาย่อมอนุญาตให้ผู้ร้องลาออกจากการเป็นผู้จัดการ มรดกได้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1727 วรรค 2 และเมื่อเป็นเช่นนี้ก็ไม่มีประโยชน์ที่จะพิจารณาฎีกาของผู้ร้องคัดค้านที่ฎีกามาว่าผู้ร้องไม่สมควรเป็นผู้จัดการมรดกนั้นอีก ศาลฎีกาย่อมมีคำสั่งให้จำหน่ายคดีเสีย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 529/2518
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การถอนตัวจากตำแหน่งผู้จัดการมรดกหลังยื่นคำร้อง และการจำหน่ายคดีเมื่อตกลงกับคู่กรณี
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำสั่งศาลชั้นต้นตั้งให้ผู้ร้องเป็นผู้จัดการมรดกผู้ร้องคัดค้านฎีกา ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกาผู้ร้องยื่นคำร้องว่า ไม่มีความประสงค์จะเป็นผู้จัดการมรดกคดีนี้ต่อไปเพราะได้ตกลงกับผู้ร้องคัดค้านเรียบร้อยแล้ว ขอถอนตัวจากการเป็นผู้จัดการมรดก และขอถอนคำร้องขอเป็นผู้จัดการมรดกผู้ร้องคัดค้านไม่คัดค้านคำร้องนี้ ศาลฎีกาสั่งคำร้องนี้ว่า ไม่มีคำฟ้องชั้นฎีกาที่จะถอนเพราะผู้ร้องไม่ได้ฎีกาและจะขอถอนคำร้องขอจัดการมรดกนั้นก็ไม่ได้เพราะศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษาไปแล้ว เมื่อคำร้องของผู้ร้องดังกล่าวนี้ผู้ร้องยังได้ร้องขอถอนตัวจากการเป็นผู้จัดการมรดกรายนี้อีกด้วย อันแสดงว่าผู้ร้องไม่ประสงค์จะทำหน้าที่ผู้จัดการมรดกต่อไปและขอถอนตนจากตำแหน่งผู้จัดการมรดกศาลฎีกาย่อมมีอำนาจสั่งคำขอนี้ได้ด้วย เมื่อรับฟังได้ตามที่อ้างในคำร้อง กรณีก็มีเหตุอันสมควรศาลฎีกาย่อมอนุญาตให้ผู้ร้องลาออกจากการเป็นผู้จัดการมรดกได้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1727 วรรคสอง และเมื่อเป็นเช่นนี้ก็ไม่มีประโยชน์ที่จะพิจารณาฎีกาของผู้ร้องคัดค้านที่ฎีกามาว่า ผู้ร้องไม่สมควรเป็นผู้จัดการมรดกนั้นอีกศาลฎีกาย่อมมีคำสั่งให้จำหน่ายคดีเสีย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 514/2518 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความฟ้องคดีตั๋วสัญญาใช้เงิน และการตกลงประเด็นข้อพิพาทเฉพาะ
อายุความฟ้องคดีเกี่ยวกับผู้ออกตั๋วสัญญาใช้เงินมีกำหนด 3 ปีนับแต่วันที่ตั๋วสัญญาใช้เงินนั้นถึงกำหนดใช้เงิน ดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1001 ส่วนมาตรา 1002 เป็นบทบัญญัติที่ให้ผู้ทรงตั๋วเงินฟ้องผู้สลักหลังและผู้สั่งจ่าย แม้คำว่าตั๋วเงินจะหมายถึงตั๋วสัญญาใช้เงินดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา 892 ด้วยก็ตาม แต่กรณีตั๋วสัญญาใช้เงินจะอยู่ในบังคับของมาตรา 1002 ก็ต่อเมื่อเป็นการฟ้องผู้สลักหลังเท่านั้น ส่วนที่มาตรา 1002 บัญญัติถึงกรณีที่ผู้ทรงตั๋วเงินฟ้องผู้สั่งจ่ายนั้นก็หมายถึงเฉพาะผู้สั่งจ่ายตั๋วแลกเงินและเช็ค เพราะในกรณีตั๋วสัญญาใช้เงินกฎหมายใช้คำว่าผู้ออกตั๋ว หาได้ใช้คำว่าผู้สั่งจ่าย ดังในกรณีตั๋วแลกเงินและเช็คไม่ ทั้งการฟ้องผู้ออกตั๋วสัญญาใช้เงินก็มีบัญญัติไว้ในมาตรา 1001 แล้ว
จำเลยตกลงกับโจทก์ท้ากันให้ศาลวินิจฉัยเรื่องอายุความฟ้องร้องประเด็นอื่นไม่ติดใจโต้เถียงกันต่อไป ดังนี้จะกลับมารื้อฟื้นประเด็นข้ออื่นซึ่งไม่ติดใจโต้เถียงกันแล้วให้ศาลอุทธรณ์และศาลฎีกาวินิจฉัยอีกหาได้ไม่
จำเลยตกลงกับโจทก์ท้ากันให้ศาลวินิจฉัยเรื่องอายุความฟ้องร้องประเด็นอื่นไม่ติดใจโต้เถียงกันต่อไป ดังนี้จะกลับมารื้อฟื้นประเด็นข้ออื่นซึ่งไม่ติดใจโต้เถียงกันแล้วให้ศาลอุทธรณ์และศาลฎีกาวินิจฉัยอีกหาได้ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2025/2518
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การตกลงสละสิทธิเช่าที่ดินเพื่อขายฝากบ้าน ย่อมผูกพันโจทก์ ห้ามฟ้องรื้อถอนบ้าน
ภรรยาโจทก์เอาบ้านซึ่งปลูกอยู่ในที่ดินที่โจทก์เช่ามาไปขายฝากไว้กับจำเลยมีกำหนด 2 ปี โดยโจทก์กับภรรยาโจทก์บอกจำเลยว่า ถ้าภรรยาโจทก์ไม่ซื้อบ้านคืนภายในกำหนดให้สิทธิการเช่าที่ดินตกเป็นของจำเลย อันเป็นการแสดงเจตนาว่าจำเลยไม่ต้องรื้อถอนบ้านออกไป ดังนี้ เมื่อภรรยาโจทก์ไม่ซื้อบ้านคืนภายในกำหนด โจทก์ก็จะฟ้องให้จำเลยรื้อถอนบ้านออกไปจากที่ดินที่โจทก์เช่าไม่ได้ เป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2424/2516 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาประนีประนอมยอมความ: การตกลงเปลี่ยนแปลงสัญญาและการพิจารณาข้อเท็จจริงเพิ่มเติม
สัญญาประนีประนอมยอมความระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ทำกันในศาลมีใจความสำคัญว่า โจทก์ยอมให้ที่พิพาทเป็นของจำเลยโดยจำเลยรับจะส่งข้าวเปลือกให้โจทก์ปีละ 3 เกวียน หากผิดสัญญาไม่ปฏิบัติ ก็ให้ที่พิพาทกลับเป็นของโจทก์ ข้อสัญญาที่กำหนดให้จำเลยส่งข้าวเปลือกให้โจทก์ดังกล่าวนี้ มิใช่เป็นเรื่องที่ศาลจะบังคับให้จำเลยปฏิบัติได้ เป็นเรื่องระหว่างโจทก์กับจำเลยจะปฏิบัติต่อกันเองตามความสมัครใจ จึงอาจตกลงกันเป็นอย่างอื่นได้โดยไม่ถือว่าเป็นการผิดสัญญาประนีประนอมยอมความได้ เมื่อโจทก์อ้างว่าจำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญาส่งข้าวเปลือกให้ไม่ครบ จำเลยต่อสู้ว่าได้ตกลงกับโจทก์ใหม่และปฏิบัติตามข้อตกลงใหม่แล้ว ซึ่งถ้าเป็นไปตามที่จำเลยต่อสู้จริง จำเลยก็มิใช่ฝ่ายผิดสัญญากรณีจึงต้องฟังข้อเท็จจริงต่อไป จะพิพากษาให้จำเลยคืนที่พิพาทให้โจทก์โดยไม่ฟังข้อเท็จจริงต่อไปหาได้ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 903/2515
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การยักยอกทรัพย์ที่เกิดจากการตกลงแบ่งกรรมสิทธิ์ในผลผลิต ศาลต้องฟังพยานให้ครบถ้วนเพื่อพิสูจน์ความผิด
ฟ้องยักยอกทรัพย์ สืบพยาน 1 ปากแล้วศาลชั้นต้นงดสืบพยานเมื่อคำพยานโจทก์ที่นำสืบมายังไม่เพียงพอจะชี้ขาดว่า จำเลยได้กระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ จึงควรจะได้ฟังพยานต่อไป กรณีต้องให้ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษาใหม่
ฟ้องว่า จำเลยกับผู้เสียหายได้ตกลงกันและยอมรับปฏิบัติตามประเพณีท้องถิ่นว่าจำเลยเป็นลูกน้องผู้เสียหายเป็นนายทุนออกค่าใช้จ่ายเมื่อจำเลยขุดหาพลอยได้เท่าใด จำเลยและผู้เสียหายเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในพลอยนั้นคนละครึ่ง ต่อมาจำเลยขุดพลอยได้ 1 เม็ด ผู้เสียหายจึงมีกรรมสิทธิ์ครึ่งหนึ่งและจำเลยเป็นผู้ได้รับมอบให้ครอบครองเก็บรักษาพลอยไว้ แล้วจำเลยได้บังอาจเบียดบังยักยอกเอาพลอยดังกล่าวไปเป็นของตนโดยทุจริต ถ้าข้อเท็จจริงได้ความตามฟ้อง จำเลยอาจมีความผิดฐานยักยอกทรัพย์ได้
ฟ้องว่า จำเลยกับผู้เสียหายได้ตกลงกันและยอมรับปฏิบัติตามประเพณีท้องถิ่นว่าจำเลยเป็นลูกน้องผู้เสียหายเป็นนายทุนออกค่าใช้จ่ายเมื่อจำเลยขุดหาพลอยได้เท่าใด จำเลยและผู้เสียหายเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในพลอยนั้นคนละครึ่ง ต่อมาจำเลยขุดพลอยได้ 1 เม็ด ผู้เสียหายจึงมีกรรมสิทธิ์ครึ่งหนึ่งและจำเลยเป็นผู้ได้รับมอบให้ครอบครองเก็บรักษาพลอยไว้ แล้วจำเลยได้บังอาจเบียดบังยักยอกเอาพลอยดังกล่าวไปเป็นของตนโดยทุจริต ถ้าข้อเท็จจริงได้ความตามฟ้อง จำเลยอาจมีความผิดฐานยักยอกทรัพย์ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1576-1577/2514
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ทรัพย์สินจัดซื้อก่อนสมรส: เป็นสินสมรสหากตกลงร่วมกันจัดหาเพื่อใช้สอยหลังแต่งงาน
ฝ่ายชายให้เถ้าแก่ไปหมั้นหญิงและกำหนดวันแต่งงานกันแล้วได้ตกลงกันให้ฝ่ายหญิงเป็นผู้จัดซื้อเครื่องใช้สอยในครอบครัวเตรียมไว้สำหรับให้ชายหญิงจะได้ใช้สอยเมื่ออยู่กินด้วยกัน ถึงกำหนดชายหญิงนั้นก็ได้สมรสกัน ดังนี้ ถือว่าทรัพย์สินเหล่านั้นเป็นทรัพย์สินที่คู่สมรสได้มาเมื่อมีการสมรส แม้จะได้จัดหาซื้อไว้ก่อนวันสมรสก็ไม่ถือว่าเป็นสินเดิมของหญิง