พบผลลัพธ์ทั้งหมด 186 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2443/2529
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องเคลือบคลุม: การบรรยายฟ้องต้องระบุรายละเอียดข้อหา, พัสดุ, จำนวนครั้ง, ราคา เพื่อให้จำเลยต่อสู้คดีได้อย่างถูกต้อง
ฟ้องโจทก์บรรยายแต่เพียงว่าจำเลยเบิกพัสดุอุปกรณ์ไฟฟ้าไปจากโจทก์เอาไปใช้งานแล้วมีของเหลือไม่ส่งคืนและปรับปรุงรื้อถอนอุปกรณ์การไฟฟ้าแล้วไม่ส่งคืนโจทก์ทำให้อุปกรณ์การไฟฟ้าขาดบัญชีเป็นเงินจำนวนหนึ่งโดยมิได้กล่าวว่าจำเลยเบิกอุปกรณ์การไฟฟ้าอย่างใดไปจากโจทก์เมื่อใดกี่ครั้งแต่ละครั้งเป็นเงินเท่าใดรื้ออุปกรณ์การไฟฟ้าอย่างใดและอย่างใดไม่ส่งคืนเป็นเงินเท่าใดฟ้องของโจทก์จึงเป็นฟ้องที่มิได้แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเป็นฟ้องเคลือบคลุม(ประชุมใหญ่ครั้งที่2/2529).
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4876-4878/2528
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ขาดนัดยื่นคำให้การ แต่เบิกความต่อสู้คดี ถือเป็นการกล่าวแก้กรรมสิทธิ์ได้หรือไม่
จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การแต่ได้อ้างตนเองเป็นพยานและถามค้านพยานโจทก์นั้นเป็นเรื่องสิทธิของจำเลยที่ขาดนัดยื่นคำให้การพึงกระทำได้ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 199วรรคสองแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งอันมีเจตนารมณ์เพื่อให้จำเลยมีโอกาสอ้างตนเองเป็นพยานเพื่อเสนอข้อเท็จจริงที่จะเป็นการหักล้างพยานหลักฐานโจทก์เท่านั้น ถือไม่ได้ว่าจำเลยได้กล่าวแก้เป็นข้อพิพาทด้วยกรรมสิทธิ์เพราะจำเลยไม่ได้ยื่นคำให้การต่อสู้คดี
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2646/2527 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การสาบานตัวขอเป็นคนอนาถาต้องกระทำด้วยตนเอง ผู้รับมอบอำนาจสาบานแทนไม่ได้
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 156 บัญญัติให้ ผู้จะฟ้องหรือต่อสู้คดีอย่างคนอนาถายื่นคำขอโดยทำเป็นคำร้อง พร้อมกับคำฟ้อง ฯลฯและสาบานตัวให้คำชี้แจงว่า ตน ไม่มีทรัพย์สินพอจะเสียค่าธรรมเนียมศาล แสดงให้เห็นว่าการสาบานตัวดังกล่าวผู้ฟ้องหรือผู้ต่อสู้คดีจะต้องสาบานด้วยตนเอง จะมอบให้บุคคลอื่นสาบานตัวแทนไม่ได้ เพราะ การสาบานตัวเป็นเรื่องเฉพาะตัวที่จะต้องกระทำด้วยตนเอง ผู้รับมอบอำนาจให้ฟ้องหรือต่อสู้คดีจึงสาบานตัว แทนคู่ความผู้มอบอำนาจไม่ได้ เพราะผู้รับมอบอำนาจมิใช่ผู้ฟ้องหรือ ผู้ต่อสู้คดีตามความหมายแห่ง มาตรา 156
(วินิจฉัยโดยที่ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 13/2527)
(วินิจฉัยโดยที่ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 13/2527)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 534/2526 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การต่อสู้คดีเช็คพิพาท จำเลยต้องแสดงเหตุแห่งการต่อสู้ชัดเจนตามกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
เช็คพิพาทเป็นเช็คที่ออกให้แก่ผู้ถือ จำเลยให้การว่าจำเลยเพียงแต่ลงลายมือชื่อในเช็คพิพาทโดยไม่ได้กรอกข้อความแล้วมอบให้ อ. ไปชำระหนี้แทนมารดาสามีจำเลย ปรากฏว่ามีผู้ไปชำระหนี้ดังกล่าวแล้ว จำเลยจึงขอเช็คพิพาทคืนจาก อ. แต่ อ. แจ้งว่าเช็คพิพาทหายไป ตามคำให้การของจำเลยไม่ได้ระบุว่ามอบเช็คพิพาทให้ อ. ไปชำระหนี้เป็นจำนวนเงินเท่าใด ซึ่งเป็นสารสำคัญ เพราะถ้า อ.หรือผู้ใดก็ตามกรอกจำนวนเงินลงในเช็คพิพาทเท่ากับจำนวนเงินที่เป็นหนี้ ย่อมถือไม่ได้ว่าเป็นการปลอมเอกสาร คำให้การของจำเลยในข้อนี้จึงไม่ชัดแจ้งและที่จำเลยให้การต่อไปว่าได้มีการกรอกข้อความในข้อสำคัญลงในเช็คพิพาทโดยปราศจากอำนาจ โดยจำเลยมิได้รู้เห็นยินยอมด้วยหรือโดยฝ่าฝืนคำสั่งของจำเลย จำเลยก็ไม่ได้ระบุให้ชัดแจ้งว่าจำเลยมีคำสั่งอย่างไร ไม่อาจทราบได้ว่าการกรอกข้อความในเช็คพิพาทนั้นฝ่าฝืนคำสั่งของจำเลยหรือไม่ คำให้การของจำเลยจึงไม่แสดงโดยชัดแจ้งซึ่งเหตุแห่งการนั้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 วรรคสองจำเลยจึงไม่มีสิทธินำพยานมาสืบตามที่ให้การต่อสู้ไว้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 534/2526
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การต่อสู้คดีเช็คพิพาท: จำเลยต้องแสดงเหตุแห่งการต่อสู้ชัดเจนตามมาตรา 177 วรรคสอง เพื่อมีสิทธิสืบพยาน
เช็คพิพาทเป็นเช็คที่ออกให้แก่ผู้ถือ จำเลยให้การว่าจำเลยเพียงแต่ลงลายมือชื่อในเช็คพิพาทโดยไม่ได้กรอกข้อความแล้วมอบให้ อ.ไปชำระหนี้แทนมารดาสามีจำเลยปรากฏว่ามีผู้ไปชำระหนี้ดังกล่าวแล้ว จำเลยจึงขอเช็คพิพาทคืนจาก อ.แต่ อ.แจ้งว่าเช็คพิพาทหายไป ตามคำให้การของจำเลยไม่ได้ระบุว่ามอบเช็คพิพาทให้ อ.ไปชำระหนี้เป็นจำนวนเงินเท่าใด ซึ่งเป็นสารสำคัญเพราะถ้า อ.หรือผู้ใดก็ตามกรอกจำนวนเงินลงในเช็คพิพาทเท่ากับจำนวนเงินที่เป็นหนี้ ย่อมถือไม่ได้ว่าเป็นการปลอมเอกสารคำให้การของจำเลยในข้อนี้จึงไม่ชัดแจ้งและที่จำเลยให้การต่อไปว่าได้มีการกรอกข้อความในข้อสำคัญลงในเช็คพิพาทโดยปราศจากอำนาจโดยจำเลยมิได้รู้เห็นยินยอมด้วยหรือโดยฝ่าฝืนคำสั่งของจำเลยจำเลยก็ไม่ได้ระบุให้ชัดแจ้งว่าจำเลยมีคำสั่งอย่างไร ไม่อาจทราบได้ว่าการกรอกข้อความในเช็คพิพาทนั้นฝ่าฝืนคำสั่งของจำเลยหรือไม่คำให้การของจำเลยจึงไม่แสดงโดยชัดแจ้งซึ่งเหตุแห่งการนั้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177วรรคสองจำเลยจึงไม่มีสิทธินำพยานมาสืบตามที่ให้การต่อสู้ไว้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3816/2526
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การปฏิเสธลอยๆ ในคำให้การ ถือเป็นการไม่ต่อสู้คดี ศาลไม่รับฟังพยานหลักฐานนอกคำให้การ
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยขอเช่าห้องพิพาทจากโจทก์เพื่อประกอบการค้าประเภท 'กิ๊ฟท์ชอป' แต่จำเลยกลับตกแต่งห้องและขึ้นป้ายเป็นการค้าประเภท 'จิวเวลรี่' ซึ่งเป็นการผิดสัญญา จำเลยให้การเพียงว่าจำเลยปฏิเสธฟ้องโจทก์โจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญา ทำให้จำเลยเสียหาย ข้อที่โจทก์อ้างว่าจำเลยผิดสัญญาอย่างใด จำเลยมิได้ต่อสู้ คำให้การจึงมีแต่การปฏิเสธลอยๆ ไม่มีเหตุแห่งการปฏิเสธตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 วรรคสองข้อนำสืบทั้งสิ้นของจำเลยจึงเป็นการนำสืบนอกคำให้การ ศาลไม่พึงรับวินิจฉัยให้การที่ศาลชั้นต้นกำหนดให้จำเลยนำสืบแก้ข้อนำสืบของโจทก์จึงเป็นการผิดพลาด ศาลอุทธรณ์และศาลฎีกาไม่จำต้องถือตาม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3077/2526
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกานี้เน้นหลักการพิจารณาคำร้องคัดค้านการเลือกตั้ง ต้องมีข้อเท็จจริงชัดเจนและผู้ถูกคัดค้านสามารถต่อสู้คดีได้
กระบวนพิจารณาคดีการคัดค้านการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรนั้นได้มีพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2522บัญญัติไว้เป็นพิเศษในมาตรา 78 และ 79 ว่า ให้ผู้เลือกตั้งหรือพรรคการเมืองซึ่งมีสมาชิกสมัครรับเลือกตั้งในเขตเลือกตั้งนั้นยื่นคำร้องคัดค้านต่อศาลจังหวัดที่เขตเลือกตั้งนั้นตั้งอยู่หรือต่อศาลแพ่งสำหรับกรุงเทพมหานคร เมื่อได้รับคำร้องคัดค้านแล้ว ให้ศาลจังหวัดหรือศาลแพ่งดำเนินการพิจารณาโดยไม่ชักช้าและให้นำประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาใช้บังคับโดยอนุโลมและให้ทำความเห็นและส่งสำนวนไปยังศาลฎีกาเพื่อวินิจฉัยและให้ศาลฎีกามีอำนาจสั่งให้มีการเลือกตั้งใหม่ หรือมีคำสั่งยกคำร้องคัดค้านเสียแล้วแต่กรณี จากบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวจึงเป็นที่เห็นได้ว่ากฎหมายมุ่งประสงค์ให้ศาลฎีกาเท่านั้นเป็นผู้มีอำนาจพิจารณาและวินิจฉัยชี้ขาดการคัดค้านการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ส่วนการที่กฎหมายให้ศาลจังหวัดหรือศาลแพ่งมีหน้าที่ดำเนินการพิจารณาในเบื้องต้นแล้วทำความเห็นส่งสำนวนไปยังศาลฎีกานั้นก็มีเหตุผลในเรื่องการอำนวยความสะดวกแก่ผู้มีส่วนได้เสียในทำนองเดียวกันและยังมุ่งหมายจะลดภาระของศาลฎีกาในอันที่จะต้องออกนั่งพิจารณาคดีเองอีกประการหนึ่งด้วย ด้วยเหตุผลดังกล่าวการดำเนินกระบวนพิจารณาของศาลจังหวัดหรือศาลแพ่งในคดีคัดค้านการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจึงเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาที่กฎหมายให้ศาลจังหวัดหรือศาลแพ่งกระทำการแทนศาลฎีกา ส่วนความเห็นของศาลหนึ่งศาลใดดังกล่าวที่ได้ส่งมายังศาลฎีกาพร้อมสำนวนนั้นก็เป็นเพียงข้อเสนอแนะต่อศาลฎีกาโดยตรง ไม่มีลักษณะเป็นคำพิพากษาหรือคำวินิจฉัยชี้ขาดคดีที่คู่ความหรือผู้มีส่วนได้เสียจะโต้แย้งคัดค้านได้ และในการวินิจฉัยชี้ขาดคดีศาลฎีกาก็มิได้ถูกผูกมัดโดยความเห็นของศาลหนึ่งศาลใดดังกล่าวนั้นด้วย เมื่อเป็นเช่นนี้ในกรณีที่เห็นสมควรศาลฎีกาอาจจะมีคำวินิจฉัยคัดค้านการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไปได้โดยไม่จำต้องรอฟังความเห็นของศาลจังหวัดหรือศาลแพ่งก็ได้. คำร้องบรรยายว่า การเลือกตั้งทุกหน่วยในอำเภอเมืองสระบุรีอำเภอหนองแค อำเภอแก่งคอยและอำเภอวิหารแดง เจ้าหน้าที่กรรมการเลือกตั้งประจำหน่วยจงใจปล่อยปละละเลยให้มีการหมุนเวียนไปลงคะแนนซ้ำบุคคลกัน ด้วยการไปลงคะแนนแทนบุคคลที่ไม่ใช้สิทธิ ซึ่งบางคนบวชเป็นภิกษุ บางคนถึงแก่กรรมไปแล้ว และบางคนก็ไปทำงานชั่วคราวในต่างประเทศ ซึ่งหลักฐานการลงคะแนนส่วนมากไม่มีการลงชื่อผู้ใช้สิทธิหรือหมายเหตุเลขที่บัตรประจำตัวไว้ในช่องผู้ใช้สิทธิแล้ว ผู้ร้องมิได้บรรยายให้เห็นเลยว่าผู้มีสิทธิเลือกตั้งคนใดบ้างที่ไปลงคะแนนให้ผู้ถูกคัดค้านซ้ำอีกการลงคะแนนซ้ำเป็นการลงคะแนนแทนผู้มีสิทธิเลือกตั้งคนใดที่หน่วยเลือกตั้งใด เป็นการยากที่ผู้คัดค้านจะเข้าใจข้อหาและต่อสู้คดีได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172คำร้องข้อนี้จึงเป็นคำร้องที่เคลือบคลุม (อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 127/2489) คำร้องบรรยายว่า คณะกรรมการตรวจนับบัตรวินิจฉัยและขานคะแนนบัตรด้วยการเข้าข้างผู้คัดค้านที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 ด้วยการอ่านบัตรเสียว่าเป็นบัตรดีอันมีอยู่ทุกหน่วยในเขต และบัตรดีซึ่งเป็นของผู้ร้อง กรรมการตรวจนับบัตรกลับวินิจฉัยว่าเป็นบัตรเสียซึ่งมีจำนวนไม่น้อยกว่า 3,000 บัตร ในทุกหน่วยเขตเลือกตั้งในเขตอำเภอเมืองสระบุรี อำเภอหนองแค อำเภอแก่งคอยและอำเภอวิหารแดง ผู้ร้องมิได้บรรยายให้เห็นเลยว่าบัตรชนิดใดที่เป็นบัตรเสีย แต่คณะกรรมการตรวจนับบัตรถือว่าเป็นบัตรดี และบัตรชนิดใดที่เป็นบัตรดีแต่คณะกรรมการตรวจนับบัตรถือว่าเป็นบัตรเสียทั้งนี้เพราะบัตรเลือกตั้งนั้นได้กำหนดลักษณะเอาไว้แล้วตามกฎกระทรวง (พ.ศ. 2522) ออกตามความในพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2522 ข้อ 9 ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 53 และมาตรา 73 ก็บัญญัตถึงบัตรเสียไว้รวม 6 ชนิดด้วยกัน คำร้องข้อนี้ จึงไม่ชัดแจ้งพอที่ผู้คัดค้านจะเข้าใจและต่อสู้คดีได้ จึงเป็นคำร้องที่เคลือบคลุม (อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 623/2514) คำร้องบรรยายว่า ผู้คัดค้านที่ 2 และที่ 3 ได้ละเมิดกฎหมายด้วยการนำดนตรีไปแสดงให้ประชาชนในเขตเลือกตั้งในทุกเขตของจังหวัดสระบุรี อันเป็นการโฆษณาหาเสียง ด้วยการจัดให้มีมหรสพและการรื่นเริงต่างๆ และในการเลือกตั้งดังกล่าวผู้คัดค้านที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 ยังได้จ่ายเงินในการหาเสียงเลือกตั้งเกินจำนวนที่กฎหมายกำหนดไว้มากอันเป็นการขัดต่อพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร นั้นสำหรับข้อกล่าวอ้างที่ว่าผู้คัดค้านที่ 2 และที่ 3 ทำการหาเสียงเลือกตั้งด้วยการจัดให้มีมหรสพและการรื่นเริงต่างๆ นั้นถึงหากจะทำการพิจารณาต่อไปและฟังได้ว่าเป็นความจริงการกระทำดังกล่าวก็เป็นการฝ่าฝืนมาตรา 35(3) และมีโทษตามมาตรา 84 เท่านั้นหาเป็นกรณีที่ผู้ร้องจะร้องคัดค้านเพื่อให้มีการเลือกตั้งใหม่ได้ตามมาตรา 78 ไม่ ประเด็นข้อนี้จึงไม่จำต้องยกขึ้นวินิจฉัย ส่วนข้อที่กล่าวอ้างว่าผู้คัดค้านที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 ได้ใช้จ่ายเงินในการหาเสียงเลือกตั้งเกินจำนวนที่กฎหมายกำหนดไว้มาก อันเป็นการฝ่าฝืนมาตรา 32 วรรคแรกที่บัญญัติว่า เมื่อได้ประกาศพระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในเขตเลือกตั้งใด ผู้สมัครแต่ละคนจะใช้จ่ายเกี่ยวกับการเลือกตั้งทั้งหมดเกินสามแสนห้าหมื่นบาทไม่ได้ ทั้งนี้ไม่รวมค่าธรรมเนียมการสมัคร คำร้องของผู้ร้องเฉพาะส่วนนี้นอกจากผู้ร้องจะมิได้กล่าวอ้างว่าผู้คัดค้านที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 ได้ใช้จ่ายไปในการหาเสียงเลือกตั้งทั้งหมดเกินจำนวน 350,000 บาท ตามที่กฎหมายบัญญัติไว้แล้ว ผู้ร้องก็ยังมิได้กล่าว ข้อเท็จจริงโดยแจ้งชัดว่าผู้คัดค้านทั้งสามได้ใช้จ่ายเงินไปในกิจการใดบ้าง อันพอสมควรที่ผู้คัดค้านทั้งสามจะเข้าใจข้อหาและต่อสู้คดีได้ถูกต้องคำร้องของผู้ร้องส่วนนี้จึงเคลือบคลุมเช่นเดียวกัน (อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 2964/2522)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2976/2526 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การต่อสู้คัดค้านทรัพย์สินที่ถูกยึด การให้การปฏิเสธข้ออ้างของผู้ร้อง ถือเป็นการต่อสู้คดีที่ชอบด้วยกฎหมาย
โจทก์เคยขอยึดทรัพย์ไว้ชั่วคราวก่อนมีคำพิพากษา ผู้ร้องได้ยื่นคำร้องอ้างว่าเป็นทรัพย์ของผู้ร้อง ซึ่งโจทก์ก็ปฏิเสธว่าไม่ใช่ทรัพย์ของผู้ร้อง แต่คดีดังกล่าวศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า โจทก์มิได้ขอหมายบังคับคดีภายใน 15 วัน การยึดทรัพย์จึงเป็นอันยกเลิก ต่อมาโจทก์จึงขอให้ยึดทรัพย์ของจำเลยรายเดียวกันนี้ ผู้ร้องจึงยื่นคำร้องขัดทรัพย์ว่าทรัพย์เป็นของผู้ร้อง ในคำร้องคัดค้านคำร้องขัดทรัพย์ของโจทก์แม้จะไม่ได้กล่าวตรง ๆ ว่าไม่ใช่ทรัพย์ของผู้ร้องเช่นเดียวกับคดีแรก แต่โจทก์ก็กล่าวอ้างว่า แม้ศาลจะไม่ได้วินิจฉัยในครั้งก่อนแต่สิทธิของโจทก์ตามกฎหมายที่จะยึดทรัพย์ของจำเลยยังมีอยู่ เมื่อทรัพย์รายนี้เป็นทรัพย์รายเดียวกับคดีเดิม จึงพอถือได้ว่าโจทก์ให้การต่อสู้ว่าเป็นทรัพย์ของจำเลย ซึ่งมีผลเท่ากับโจทก์ปฏิเสธข้ออ้างของผู้ร้องว่าไม่ใช่ทรัพย์ของผู้ร้อง จึงเป็นคำให้การที่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2714/2526
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเพิ่มเติมฟ้องคดีอาญา: เหตุอันควร, ผลกระทบต่อจำเลย, และการต่อสู้คดี
แม้ศาลชั้นต้นจะสืบพยานโจทก์จำเลยเสร็จและนัดฟังคำพิพากษาแล้ว แต่ก่อนศาลมีคำพิพากษา ศาลจะต้องตรวจสำนวนไตร่ตรองพิจารณาและอาจสืบพยานของศาลเพิ่มเติมตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 228 ได้ ฉะนั้นก่อนศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาจึงเรียกว่าคดีอยู่ในระหว่างพิจารณาเมื่อมีเหตุอันควรโจทก์ย่อมขอเพิ่มเติมฟ้องได้
โจทก์ขอเพิ่มเติมฟ้องโดยอ้างว่าพิมพ์ข้อความเกี่ยวกับสถานที่เกิดเหตุตกไป นับว่ามีเหตุอันสมควรที่โจทก์จะขอเพิ่มเติมฟ้องได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 163 สถานที่ซึ่งเกิดการกระทำผิดเป็นรายละเอียดซึ่งต้องแถลงในฟ้อง โจทก์ขอเพิ่มเติมฟ้องก่อนศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาไม่ถือว่าทำให้จำเลยเสียเปรียบ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 164 เมื่อจำเลยให้การปฏิเสธลอยและนำสืบฐานที่อยู่แสดงว่าจำเลยเข้าใจข้อหาของโจทก์ดีไม่ว่าโจทก์จะได้บรรยายสถานที่เกิดการกระทำผิดมาในฟ้องตั้งแต่แรกหรือไม่ ที่โจทก์ขอเพิ่มเติมสถานที่กระทำผิด จึงไม่ทำให้จำเลยหลงต่อสู้
โจทก์ขอเพิ่มเติมฟ้องโดยอ้างว่าพิมพ์ข้อความเกี่ยวกับสถานที่เกิดเหตุตกไป นับว่ามีเหตุอันสมควรที่โจทก์จะขอเพิ่มเติมฟ้องได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 163 สถานที่ซึ่งเกิดการกระทำผิดเป็นรายละเอียดซึ่งต้องแถลงในฟ้อง โจทก์ขอเพิ่มเติมฟ้องก่อนศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาไม่ถือว่าทำให้จำเลยเสียเปรียบ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 164 เมื่อจำเลยให้การปฏิเสธลอยและนำสืบฐานที่อยู่แสดงว่าจำเลยเข้าใจข้อหาของโจทก์ดีไม่ว่าโจทก์จะได้บรรยายสถานที่เกิดการกระทำผิดมาในฟ้องตั้งแต่แรกหรือไม่ ที่โจทก์ขอเพิ่มเติมสถานที่กระทำผิด จึงไม่ทำให้จำเลยหลงต่อสู้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1160/2526 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความครอบครองปรปักษ์: การเปลี่ยนแปลงฐานการต่อสู้คดีในชั้นอุทธรณ์
จำเลยให้การว่า จำเลยกับสามีเข้าครอบครองที่พิพาทด้วยเจตนาเป็นเจ้าของเกินกว่า 1 ปี คดีขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1374 และ มาตรา 1375 แต่จำเลยอุทธรณ์ว่า ก. บุตรโจทก์เบิกความว่า ขณะจำเลยปลูกบ้านเมื่อ 5 ปีที่ผ่านมา โจทก์ไปทวงค่าที่ดิน จำเลยไม่ยอมให้และท้าให้โจทก์ไปฟ้อง เห็นชัดว่าจำเลยโต้เถียงสิทธิครอบครองว่าที่พิพาทเป็นของตนตั้งแต่จำเลยปลูกบ้านถาวร โจทก์ฟ้องคดีเกิน 1 ปี คดีขาดอายุความ ดังนี้ ตามคำให้การจำเลยเป็นเรื่องที่จำเลยต่อสู้คดีว่าจำเลยแย่งการครอบครองที่พิพาทมาแต่ต้นจนเกิน 1 ปี แล้ว แต่จำเลยอุทธรณ์เป็นทำนองว่าจำเลยเปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือที่พิพาทตั้งแต่จำเลยปลูกบ้านถาวรในที่พิพาท ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1381 ซึ่งเป็นคนละเรื่องกับที่จำเลยให้การต่อสู้คดีไว้ จึงเป็นข้อที่มิได้ว่ากล่าวกันมาแล้วในศาลชั้นต้น ที่ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยให้นั้นชอบแล้ว