พบผลลัพธ์ทั้งหมด 429 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5607/2542 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจทนายความในการประนีประนอมยอมความผูกพันจำเลย
ตาม ป.วิ.พ.มาตรา 1(11) "คู่ความ" หมายความรวมถึงบุคคลผู้มีสิทธิกระทำการแทนบุคคลนั้น ๆ ตามกฎหมายหรือในฐานะทนายความฝ่ายจำเลยมีทนายความเป็นผู้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความและจำเลยเป็นผู้แต่งทนายความ โดยให้ทนายความมีอำนาจดำเนินกระบวนพิจารณาใด ๆ ไปในทางจำหน่ายสิทธิของจำเลยรวมทั้งการประนีประนอมยอมความได้ด้วย การที่ทนายความได้สละข้อต่อสู้และทำสัญญาประนีประนอมยอมความ ย่อมถือได้ว่าเป็นการกระทำของคู่ความคือจำเลยด้วย จำเลยจะยื่นคำร้องต่อศาลว่าทนายจำเลยไปทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับโจทก์โดยจำเลยไม่ทราบนั้นหาได้ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5607/2542
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจทนายความในการทำสัญญาประนีประนอมยอมความผูกพันจำเลย แม้จำเลยอ้างไม่ทราบ
ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 1(11)"คู่ความ" หมายความรวมถึงบุคคลผู้มีสิทธิกระทำการแทนบุคคลนั้น ๆ ตามกฎหมายหรือในฐานะทนายความฝ่ายจำเลยมีทนายความเป็นผู้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความและจำเลยเป็นผู้แต่งทนายความ โดยให้ทนายความมีอำนาจดำเนินกระบวนพิจารณาใด ๆ ไปในทางจำหน่ายสิทธิของจำเลยรวมทั้งการประนีประนอมยอมความได้ด้วย การที่ทนายความได้สละข้อต่อสู้และทำสัญญาประนีประนอมยอมความ ย่อมถือได้ว่าเป็นการกระทำของคู่ความคือจำเลยด้วย จำเลยจะยื่นคำร้องต่อศาลว่าทนายจำเลยไปทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับโจทก์โดยจำเลยไม่ทราบนั้นหาได้ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4998/2542 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเพิกถอนคำพิพากษาศาลฎีกาและการรับรู้การนัดฟังคำพิพากษาของทนายความแทนตัวความ
คำร้องของฝ่ายโจทก์ที่ขอให้เพิกถอนการอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาเป็นคำร้องของโจทก์ที่ 1 เพียงคนเดียว มีโจทก์ที่ 1 เพียงคนเดียวลงลายมือชื่อในคำร้อง แม้คำร้องจะระบุว่าเป็นคำร้องของโจทก์ที่ 1 กับพวก และระบุว่าผู้ร้องโจทก์ทั้งสาม แต่ไม่ปรากฏหนังสือมอบอำนาจให้โจทก์ที่ 1 ทำแทนโจทก์ที่ 2 คำร้องดังกล่าวจึงไม่มีผลเป็นคำร้องของโจทก์ที่ 2 ด้วย
อุทธรณ์ของโจทก์ที่ 2 ที่ปราศจากกระบวนพิจารณาในศาลชั้นต้นอันโจทก์ที่ 2 จะพึงยกขึ้นอุทธรณ์ได้ แม้ศาลอุทธรณ์จะรับวินิจฉัยให้ ศาลฎีกาก็ไม่รับฎีกาของโจทก์ที่ 2 ไว้วินิจฉัย
ทนายโจทก์ทั้งสามได้ยื่นคำแถลงต่อศาลชั้นต้น ขอถ่ายสำเนาถ้อยคำสำนวนหลายรายการ เมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2540 โดยกล่าวไว้ในคำแถลงด้วยว่าศาลนัดฟังคำพิพากษาศาลฎีกาในวันที่ 9 กรกฎาคม 2540 เวลา 13.30 นาฬิกาจึงเป็นการยืนยันโดยชัดแจ้งว่า ทนายโจทก์ทั้งสามทราบนัดในวันดังกล่าวแล้ว และเนื่องจากทนายความนอกจากมีอำนาจและหน้าที่ดำเนินกระบวนพิจารณาแทนตัวความทนายความยังอยู่ในฐานะตัวแทนในคดีของตัวความด้วย การที่ทนายความทราบนัดย่อมถือได้โดยชอบว่า ตัวความทราบนัดแล้ว ย่อมรับฟังได้ว่าโจทก์ที่ 1 ทราบนัดฟังคำพิพากษาศาลฎีกาในวันที่ 9 กรกฎาคม 2540 ตั้งแต่วันที่ 30 มิถุนายน 2540เป็นอย่างช้า โดยมิพักต้องพิจารณาว่าการส่งหมายนัดถึงโจทก์ที่ 1 ชอบหรือไม่ การที่ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาในวันนัดดังกล่าว จึงเป็นการชอบแล้ว กรณีไม่มีเหตุที่จะเพิกถอนการอ่าน
อุทธรณ์ของโจทก์ที่ 2 ที่ปราศจากกระบวนพิจารณาในศาลชั้นต้นอันโจทก์ที่ 2 จะพึงยกขึ้นอุทธรณ์ได้ แม้ศาลอุทธรณ์จะรับวินิจฉัยให้ ศาลฎีกาก็ไม่รับฎีกาของโจทก์ที่ 2 ไว้วินิจฉัย
ทนายโจทก์ทั้งสามได้ยื่นคำแถลงต่อศาลชั้นต้น ขอถ่ายสำเนาถ้อยคำสำนวนหลายรายการ เมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2540 โดยกล่าวไว้ในคำแถลงด้วยว่าศาลนัดฟังคำพิพากษาศาลฎีกาในวันที่ 9 กรกฎาคม 2540 เวลา 13.30 นาฬิกาจึงเป็นการยืนยันโดยชัดแจ้งว่า ทนายโจทก์ทั้งสามทราบนัดในวันดังกล่าวแล้ว และเนื่องจากทนายความนอกจากมีอำนาจและหน้าที่ดำเนินกระบวนพิจารณาแทนตัวความทนายความยังอยู่ในฐานะตัวแทนในคดีของตัวความด้วย การที่ทนายความทราบนัดย่อมถือได้โดยชอบว่า ตัวความทราบนัดแล้ว ย่อมรับฟังได้ว่าโจทก์ที่ 1 ทราบนัดฟังคำพิพากษาศาลฎีกาในวันที่ 9 กรกฎาคม 2540 ตั้งแต่วันที่ 30 มิถุนายน 2540เป็นอย่างช้า โดยมิพักต้องพิจารณาว่าการส่งหมายนัดถึงโจทก์ที่ 1 ชอบหรือไม่ การที่ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาในวันนัดดังกล่าว จึงเป็นการชอบแล้ว กรณีไม่มีเหตุที่จะเพิกถอนการอ่าน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4998/2542
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเพิกถอนการอ่านคำพิพากษาศาลฎีกา: การทราบนัดผ่านทนายความ ถือว่าตัวความทราบนัด
คำร้องของฝ่ายโจทก์ที่ขอให้เพิกถอนการอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาเป็นคำร้องของโจทก์ที่ 1 เพียงคนเดียว มีโจทก์ที่ 1 เพียงคนเดียวลงลายมือชื่อในคำร้อง แม้คำร้องจะระบุว่าเป็นคำร้องของโจทก์ที่ 1 กับพวก และระบุว่าผู้ร้องโจทก์ทั้งสาม แต่ไม่ปรากฏหนังสือมอบอำนาจให้โจทก์ที่ 1 ทำแทนโจทก์ที่ 2 คำร้องดังกล่าวจึงไม่มีผลเป็นคำร้องของโจทก์ที่ 2 ด้วย
อุทธรณ์ของโจทก์ที่ 2 ที่ปราศจากกระบวนพิจารณาในศาลชั้นต้นอันโจทก์ที่ 2 จะพึงยกขึ้นอุทธรณ์ได้ แม้ศาลอุทธรณ์จะรับวินิจฉัยให้ ศาลฎีกาก็ไม่รับฎีกาของโจทก์ที่ 2 ไว้วินิจฉัย
ทนายโจทก์ทั้งสามได้ยื่นคำแถลงต่อศาลชั้นต้น ขอถ่ายสำเนาถ้อยคำสำนวนหลายรายการ เมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2540 โดยกล่าวไว้ในคำแถลงด้วยว่าศาลนัดฟังคำพิพากษาศาลฎีกาในวันที่ 9 กรกฎาคม 2540 เวลา 13.30 นาฬิกา จึงเป็นการยืนยันโดยชัดแจ้งว่า ทนายโจทก์ทั้งสามทราบนัดในวันดังกล่าวแล้ว และเนื่องจากทนายความนอกจากมีอำนาจและหน้าที่ดำเนินกระบวนพิจารณาแทนตัวความทนายความยังอยู่ในฐานะตัวแทนในคดีของตัวความด้วย การที่ทนายความทราบนัดย่อมถือได้โดยชอบว่าตัวความทราบนัดแล้ว ย่อมรับฟังได้ว่าโจทก์ที่ 1 ทราบนัดฟังคำพิพากษาศาลฎีกาในวันที่ 9 กรกฎาคม 2540 ตั้งแต่วันที่ 30 มิถุนายน 2540 เป็นอย่างช้า โดยมิพักต้องพิจารณาว่าการส่งหมายนัดถึงโจทก์ที่ 1 ชอบหรือไม่ การที่ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาในวันนัดดังกล่าว จึงเป็นการชอบแล้ว กรณีไม่มีเหตุที่จะเพิกถอนการอ่าน
อุทธรณ์ของโจทก์ที่ 2 ที่ปราศจากกระบวนพิจารณาในศาลชั้นต้นอันโจทก์ที่ 2 จะพึงยกขึ้นอุทธรณ์ได้ แม้ศาลอุทธรณ์จะรับวินิจฉัยให้ ศาลฎีกาก็ไม่รับฎีกาของโจทก์ที่ 2 ไว้วินิจฉัย
ทนายโจทก์ทั้งสามได้ยื่นคำแถลงต่อศาลชั้นต้น ขอถ่ายสำเนาถ้อยคำสำนวนหลายรายการ เมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2540 โดยกล่าวไว้ในคำแถลงด้วยว่าศาลนัดฟังคำพิพากษาศาลฎีกาในวันที่ 9 กรกฎาคม 2540 เวลา 13.30 นาฬิกา จึงเป็นการยืนยันโดยชัดแจ้งว่า ทนายโจทก์ทั้งสามทราบนัดในวันดังกล่าวแล้ว และเนื่องจากทนายความนอกจากมีอำนาจและหน้าที่ดำเนินกระบวนพิจารณาแทนตัวความทนายความยังอยู่ในฐานะตัวแทนในคดีของตัวความด้วย การที่ทนายความทราบนัดย่อมถือได้โดยชอบว่าตัวความทราบนัดแล้ว ย่อมรับฟังได้ว่าโจทก์ที่ 1 ทราบนัดฟังคำพิพากษาศาลฎีกาในวันที่ 9 กรกฎาคม 2540 ตั้งแต่วันที่ 30 มิถุนายน 2540 เป็นอย่างช้า โดยมิพักต้องพิจารณาว่าการส่งหมายนัดถึงโจทก์ที่ 1 ชอบหรือไม่ การที่ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาในวันนัดดังกล่าว จึงเป็นการชอบแล้ว กรณีไม่มีเหตุที่จะเพิกถอนการอ่าน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 405/2542 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ค่าวิชาชีพทนายความ: คดีต่อเนื่องกับการฟ้องขับไล่ และคดีฟ้องเรียกค่าเสียหายแยกต่างหาก
โจทก์ซึ่งเป็นทนายความรับว่าความให้แก่จำเลยเพื่อฟ้องขับไล่ ช. กับพวกผู้เช่าออกไปจากตึกแถวและแผงลอยทั้งหมดโดยตกลงค่าวิชาชีพกันไว้เป็นจำนวนแน่นอน เมื่อโจทก์ดำเนินการให้จำเลยจนบรรลุวัตถุประสงค์แล้ว คือฟ้องขับไล่และดำเนินการให้ผู้เช่าขนย้ายออกจากที่ดินที่เช่า เพื่อให้จำเลยซึ่งเป็นตัวความเข้าครอบครองที่ดินและ รื้อถอนสิ่งปลูกสร้าง โจทก์ชอบที่จะได้รับค่าวิชาชีพเต็มตามจำนวน แม้จำเลยจะมีส่วนในการทำความตกลงกับผู้เช่าบางรายจนมีการประนีประนอมยอมความกันก็ตาม
ในระหว่างที่โจทก์ดำเนินการขับไล่ผู้เช่า ช. กับพวกซึ่งเป็นผู้เช่าได้ยื่นฟ้องจำเลยกับพวกเป็นคดีแพ่ง หมายเลขดำที่ 10425/2534 กล่าวหาว่าจำเลยกับพวกร่วมกันทำสัญญาเช่าที่ดินโดยทุจริต ขอให้เพิกถอนสัญญาเช่าและชดใช้ค่าเสียหาย ต่อมาจำเลยได้ยื่นฟ้อง ช. กับพวกเป็นคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 16093/2534 ฐานละเมิด ให้ร่วมกันชดใช้ค่าเสียหาย คดีทั้งสองเรื่องดังกล่าวจำเลยได้มอบให้โจทก์เป็นทนายความแก้ต่างและยื่นฟ้อง เมื่อคดีทั้งสองไม่มี ความสัมพันธ์กับคดีที่จำเลยฟ้องขับไล่ ช. กับพวก จึงไม่ใช่คดีที่ต่อเนื่องกัน จำเลยจึงต้องชำระค่าวิชาชีพในคดีแพ่งทั้งสองแยกต่างหากจากค่าวิชาชีพในคดีที่โจทก์ฟ้องขับไล่ ช. กับพวก
ในระหว่างที่โจทก์ดำเนินการขับไล่ผู้เช่า ช. กับพวกซึ่งเป็นผู้เช่าได้ยื่นฟ้องจำเลยกับพวกเป็นคดีแพ่ง หมายเลขดำที่ 10425/2534 กล่าวหาว่าจำเลยกับพวกร่วมกันทำสัญญาเช่าที่ดินโดยทุจริต ขอให้เพิกถอนสัญญาเช่าและชดใช้ค่าเสียหาย ต่อมาจำเลยได้ยื่นฟ้อง ช. กับพวกเป็นคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 16093/2534 ฐานละเมิด ให้ร่วมกันชดใช้ค่าเสียหาย คดีทั้งสองเรื่องดังกล่าวจำเลยได้มอบให้โจทก์เป็นทนายความแก้ต่างและยื่นฟ้อง เมื่อคดีทั้งสองไม่มี ความสัมพันธ์กับคดีที่จำเลยฟ้องขับไล่ ช. กับพวก จึงไม่ใช่คดีที่ต่อเนื่องกัน จำเลยจึงต้องชำระค่าวิชาชีพในคดีแพ่งทั้งสองแยกต่างหากจากค่าวิชาชีพในคดีที่โจทก์ฟ้องขับไล่ ช. กับพวก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 405/2542
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ค่าวิชาชีพทนายความ: การกำหนดอัตรา, คดีต่อเนื่อง, และการพิสูจน์ข้อเท็จจริง
โจทก์ซึ่งเป็นทนายความรับว่าความให้กับจำเลยเพื่อฟ้อง ขับไล่ผู้เช่าออกไปจากตึกแถวและแผงลอยทั้งหมดโดยตกลง ค่าวิชาชีพกันไว้เป็นจำนวนแน่นอน เมื่อโจทก์ดำเนินการให้ จำเลยบรรลุวัตถุประสงค์คือดำเนินคดีฟ้องขับไล่และดำเนินการ ให้ผู้เช่าขนย้ายออกจากที่ดินที่เช่า เพื่อให้จำเลยซึ่งเป็น ตัวความเข้าครอบครองที่ดินและรื้อถอนสิ่งปลูกสร้าง โจทก์ชอบ ที่จะได้รับค่าวิชาชีพเต็มตามจำนวน แม้จำเลยจะมีส่วนในการ ทำความตกลงกับผู้เช่าบางรายจนมีการประนีประนอมยอมความกันก็ตาม ในระหว่างที่โจทก์ดำเนินการฟ้องขับไล่ผู้เช่า ช.กับพวกซึ่งเป็นผู้เช่าได้ยื่นฟ้องจำเลยกับพวกเป็นคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 10425/2534 กล่าวหาว่าจำเลยกับพวกร่วมกันทำสัญญาเช่าที่ดินโดยทุจริต ขอให้เพิกถอนสัญญาเช่าและชดใช้ ค่าเสียหาย ต่อมาจำเลยได้ยื่นฟ้อง ช. กับพวกเป็นคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 16093/2534 ฐานละเมิด ให้ร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายคดีทั้งสองเรื่องดังกล่าวจำเลยได้มอบให้โจทก์เป็นทนายความ แก้ต่างและยื่นฟ้อง เมื่อคดีทั้งสองไม่มีความสัมพันธ์กับคดี ที่จำเลยฟ้องขับไล่ ช. กับพวก จึงไม่ใช่คดีที่ต่อเนื่องกันจำเลยจึงต้องชำระค่าวิชาชีพในคดีแพ่งทั้งสองคดีรวมกัน โดยแยกต่างหากจากค่าวิชาชีพในคดีที่โจทก์ฟ้องขับไล่ ช. กับพวก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3971/2542 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
หน้าที่ศาลในการสอบถามจำเลยเรื่องทนายความก่อนพิจารณาคดีที่มีอัตราโทษจำคุก หากไม่ดำเนินการ กระบวนพิจารณาไม่ถูกต้อง
เป็นหน้าที่ของศาลชั้นต้นที่จะต้องสอบถามจำเลยก่อนเริ่มพิจารณาคดีที่มีอัตราโทษจำคุกเสียก่อนว่าจำเลยมีและต้องการทนายความหรือไม่ ตาม ป.วิ.อ.มาตรา 173 วรรคสอง เมื่อไม่ปรากฏว่าศาลชั้นต้นได้มีการดำเนินการดังกล่าว การดำเนินกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นจึงไม่ถูกต้อง จำเป็นต้องดำเนินการใหม่ให้ถูกต้อง แม้จำเลยมิได้ฎีกาในปัญหานี้ก็ตาม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3971/2542
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
หน้าที่ศาลสอบถามจำเลยเรื่องทนายก่อนพิจารณาคดีอาญาที่มีโทษจำคุก หากไม่ทำกระบวนการพิจารณาไม่ถูกต้อง
เป็นหน้าที่ของศาลชั้นต้นที่จะต้องสอบถามจำเลยก่อนเริ่มพิจารณาคดีที่มีอัตราโทษจำคุกเสียก่อนว่าจำเลยมีและต้องการทนายความหรือไม่ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 173 วรรคสอง เมื่อไม่ปรากฏว่าศาลชั้นต้นได้มีการดำเนินการดังกล่าว การดำเนินกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นจึงไม่ถูกต้อง จำเป็นต้องดำเนินการใหม่ให้ถูกต้อง แม้จำเลยมิได้ฎีกาในปัญหานี้ก็ตาม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3697/2542
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องคดีโดยทนายความที่ได้รับการแต่งตั้งอย่างถูกต้อง แม้จะมีการระบุผู้มอบอำนาจอื่น การสั่งไม่รับฟ้องเป็นกระบวนการที่ผิดระเบียบ
พ. กรรมการผู้มีอำนาจลงชื่อผูกพันโจทก์เป็นผู้ลงชื่อแต่งตั้ง น. เป็นทนายความซึ่งเป็นผู้ลงชื่อในคำฟ้อง เท่ากับว่าโจทก์ได้ยื่นฟ้องจำเลยที่ 2 และที่ 3 ด้วยตนเองแล้วดังนั้นการที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งเพิกถอนคำสั่งที่รับฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2 และที่ 3แล้วมีคำสั่งใหม่เป็นไม่รับฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2 และที่ 3 โดยอ้างเหตุว่าโจทก์ไม่ได้มอบอำนาจให้ ส. ฟ้องจำเลยที่ 2 และที่ 3 ด้วย จึงเป็นการสั่งโดยเข้าใจผิดเป็นกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบ โจทก์มีสิทธิร้องขอให้เพิกถอนคำสั่งดังกล่าวได้เมื่อศาลชั้นต้นไม่เพิกถอนคำสั่ง โจทก์จึงมีสิทธิอุทธรณ์ฎีกาได้ตามบทกฎหมายทั่วไปหาใช่ต้องอุทธรณ์ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 18 วรรคท้าย ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3381/2542 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแต่งตั้งทนายความโดยลายพิมพ์นิ้วมือที่ไม่สมบูรณ์ และผลต่อคำฟ้อง
ลายพิมพ์นิ้วมือของโจทก์ผู้แต่ง ทนายความ ในใบแต่งทนายความมีบุคคลเพียงคนเดียวรับรองลายพิมพ์นิ้วมือ ย่อมไม่เสมอกับลงลายมือชื่อ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 9 วรรคสองมีผลเท่ากับการแต่งตั้งทนายความของโจทก์ยังบกพร่องไม่สมบูรณ์ทนายความผู้นั้นจึงยังไม่มีอำนาจทำการแทนในฐานะทนายความของโจทก์ และไม่มีอำนาจลงลายมือชื่อในช่องโจทก์ท้ายคำฟ้องแทนโจทก์ได้ เท่ากับคำฟ้องไม่มีลายมือชื่อโจทก์ กรณีเช่นนี้ศาลชั้นต้นย่อมมีอำนาจสั่งให้ทำมาใหม่หรือแก้ไขเพิ่มเติมได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 18 วรรคสองและการแก้ไขเพิ่มเติมนี้อาจกระทำได้หลายประการ เช่นให้โจทก์มาลงลายมือชื่อในช่องโจทก์ท้ายคำฟ้อง หรือในช่องผู้แต่งทนายความในใบแต่งทนายความ หรือให้ผู้มีอำนาจทำการแทนโจทก์จัดให้ผู้รู้เห็นการพิมพ์ลายนิ้วมือของโจทก์ในใบแต่งทนายความมาลงลายมือชื่อรับรองลายพิมพ์นิ้วมือดังกล่าว ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้โจทก์แก้ไขข้อบกพร่องในคำฟ้องโดยให้ตัวโจทก์มาลงลายมือชื่อในใบแต่งทนายความต่อหน้าศาลแต่ตัวโจทก์ได้ถึงแก่กรรมเสียก่อน แต่เมื่อมีผู้เข้าเป็นคู่ความแทนโจทก์แล้ว บุคคลดังกล่าวย่อมมีอำนาจดำเนินกระบวนพิจารณาแทนโจทก์ได้ รวมทั้งมีอำนาจแก้ไขข้อบกพร่องของใบแต่งทนายแทนโจทก์ด้วย นอกจากนี้ผู้เข้าเป็นคู่ความแทนโจทก์ยังได้แต่งตั้งทนายความคนเดียวกันกับที่ โจทก์แต่งตั้งไว้ จึงเป็นผลให้ทนายความผู้นั้นมีอำนาจดำเนิน กระบวนพิจารณาคดีนี้แทนโจทก์ได้ และทำให้คำฟ้องคดีนี้มีลายมือชื่อของทนายความผู้มีอำนาจทำการแทนโจทก์มาตั้งแต่ต้น โดยไม่จำเป็นต้องให้ทนายความผู้นี้ลงลายมือชื่อในช่องโจทก์ ท้ายคำฟ้องอีกคำฟ้องโจทก์จึงเป็นคำฟ้องที่ชอบด้วย ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 18 และ 67(5) ที่ศาลชั้นต้นจะต้องรับไว้พิจารณา