พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,834 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8143/2543 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
กรรมเดียวหรือหลายกรรมต่างกัน: การทำร้ายร่างกายหลายคนในเหตุการณ์เดียวกัน
ปัญหาว่าการกระทำของจำเลยเป็นการกระทำความผิดกรรมเดียวหรือหลายกรรมต่างกัน เป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้จำเลยจะไม่ได้ยกขึ้นในศาลอุทธรณ์ จำเลยก็ยกขึ้นฎีกาได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 195 วรรคสองประกอบมาตรา 225 จำเลยฎีกาว่า จำเลยได้ใช้มีดฟันทำร้ายพวกผู้เสียหายทั้งสองในลักษณะที่กระทำต่อเนื่องไปคราวเดียวกัน มีลักษณะของการทำร้ายโดยเจตนาทำร้ายผู้เสียหายทุกคนเพราะผู้เสียหายทั้งสองกับพวกอีกสองคนยืนรวมกลุ่มอยู่ด้วยกัน บังเอิญว่าผู้เสียหายทั้งสองยืนหันหลังให้จึงถูกทำร้าย ข้อเท็จจริงไม่อาจแบ่งแยกว่าจำเลยเจตนาทำร้ายหรือไม่ทำร้ายบุคคลใด จึงมีลักษณะของเจตนาในการกระทำความผิดเป็นอันเดียวแม้จะกระทำหลายหนต่อหลายบุคคลก็อยู่ภายในเจตนาอันเดียวนั้น การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดกรรมเดียว เห็นว่า ข้อเท็จจริงตามที่โจทก์นำสืบฟังได้ว่า ขณะที่จำเลยเข้าฟันผู้เสียหายทั้งสอง พ.และ ค.พวกของผู้เสียหายทั้งสองยืนอยู่ต่างหาก มิได้นั่งรวมอยู่บนรถจักรยานยนต์กับผู้เสียหายทั้งสอง เสร็จจากฟันผู้เสียหายที่ 2 แล้ว จำเลยวิ่งหนีไป หาได้ปรากฏว่าจำเลยมุ่งเข้ากระทำต่อ พ.หรือ ค.ต่อไปอีกไม่ ทั้งที่ไม่ปรากฏผู้เข้าขัดขวาง แสดงให้เห็นเจตนาของจำเลยว่ามุ่งประสงค์จะทำร้ายเฉพาะผู้เสียหายทั้งสองเท่านั้น ผู้เสียหายทั้งสองนั่งอยู่บนรถจักรยานยนต์คนละคัน จำเลยฟันผู้เสียหายที่ 1 ก่อน แล้วจึงตรงเข้าฟันผู้เสียหายที่ 2 แสดงว่าในการฟันของจำเลยแต่ละครั้งความประสงค์และจุดมุ่งหมายในการฟันของจำเลยได้แยกออกจากกันว่าการฟันครั้งใดจำเลยประสงค์จะฟันผู้เสียหายคนใด มิใช่ฟันในขณะที่มีการชุลมุนกัน เจตนาในการทำร้ายผู้เสียหายทั้งสองขณะจำเลยลงมือกระทำความผิดจึงแยกออกจากกันได้ความต้องการให้ผู้เสียหายทั้งสองได้รับบาดเจ็บแม้จะเกิดขึ้นในใจของจำเลยพร้อม ๆ กัน และต่อเนื่องกับการลงมือกระทำความผิด ก็มิใช่เจตนาในขณะที่จำเลยลงมือกระทำความผิด การกระทำความผิดของจำเลยจึงเป็นความผิดสองกรรม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8143/2543
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาทำร้ายร่างกายหลายคน: พิจารณาแยกกรรมหรือไม่ ขึ้นอยู่กับเจตนาและพฤติการณ์
ขณะที่จำเลยเข้าฟันผู้เสียหายทั้งสองนั้น ก็มีพวกของผู้เสียหายยืนอยู่ต่างหากโดยไม่ได้นั่งรวมอยู่บนรถจักรยานยนต์กับผู้เสียหายทั้งสองเสร็จจากฟันผู้เสียหายทั้งสองแล้วจำเลยก็วิ่งหนีไปโดยไม่ได้เข้าทำร้ายพวกของผู้เสียหายทั้งสองทั้งที่ไม่ปรากฏผู้เข้าขัดขวาง แสดงให้เห็นเจตนาของจำเลยว่ามุ่งประสงค์จะทำร้ายเฉพาะผู้เสียหายทั้งสองเท่านั้น ผู้เสียหายทั้งสองนั่งอยู่บนรถจักรยานยนต์คนละคัน จำเลยฟันผู้เสียหายที่ 1 ก่อนแล้วจึงตรงเข้าฟันผู้เสียหายที่ 2 แสดงว่าในการฟันของจำเลยแต่ละครั้งความประสงค์และจุดมุ่งหมายในการฟันของจำเลยได้แยกออกจากกันว่าฟันครั้งใด จำเลยประสงค์จะฟันผู้เสียหายคนใด มิใช่ฟันในขณะที่มีการชุลมุนกัน เจตนาในการทำร้ายผู้เสียหายทั้งสองขณะจำเลยลงมือกระทำความผิดจึงแยกออกจากกันได้ ความต้องการให้ผู้เสียหายทั้งสองได้รับบาดเจ็บแม้จะเกิดขึ้นในใจของจำเลยพร้อม ๆ กัน และต่อเนื่องกับ การลงมือกระทำความผิดก็มิใช่เจตนาในขณะที่จำเลยลงมือกระทำความผิดการกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดสองกรรม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 649/2543
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การป้องกันตนในสถานการณ์ถูกทำร้ายและเข้าใจผิด ศาลยืนตามอุทธรณ์ให้ยกฟ้อง
ผู้ตายให้ผู้เสียหายจอดรถจักรยานยนต์กลางสะพาน แล้วผู้ตายยืนดักคอยจำเลย เมื่อจำเลยขับรถจักรยานยนต์มาถึง ผู้ตายถีบรถจักรยานยนต์จนล้มลงและเข้าชกต่อยจำเลย ขณะนั้นเป็นเวลาวิกาล เมื่อจำเลยถูกทำร้ายโดยไม่ทราบสาเหตุในลักษณะจู่โจมและเกิดขึ้นโดยทันที ทำให้จำเลยเข้าใจว่าผู้ตายกับผู้เสียหาย อาจดักรอชิงรถจักรยานยนต์หรืออาจประสงค์ร้ายต่อภรรยาจำเลยที่นั่งซ้อนท้ายมาจำเลยมีรูปร่างเล็กมากไม่มีทางสู้แรงปะทะของผู้ตายและผู้เสียหายหรือหนี รอดพ้นได้การที่จำเลยซึ่งมีอาชีพเป็นพ่อครัวใช้มีดทำครัวที่พกติดตัวเป็น อาวุธแทงผู้ตายเพียง 1 ที แต่บังเอิญไปถูกอวัยวะสำคัญ ผู้ตายจึงถึงแก่ความตาย และเมื่อผู้เสียหายเข้ามาถีบจำเลย จำเลยย่อมเข้าใจว่าผู้เสียหายได้เข้าช่วย รุมทำร้ายจำเลย จำเลยจึงใช้อาวุธมีดดังกล่าวแทงผู้เสียหายเพียง 1 ทีเช่นกัน การกระทำของจำเลยเป็นการป้องกันพอสมควรแก่เหตุ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 641/2543
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การลงโทษจำเลยฐานทำร้ายร่างกาย แม้ฟ้องไม่ได้ขอโทษฐานฆ่า แต่การกระทำต่อเนื่องเป็นส่วนหนึ่งของความผิดฐานฆ่า
แม้ฟ้องโจทก์จะไม่ได้ขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 295 มาด้วย แต่ได้บรรยายฟ้องถึงการกระทำของจำเลยกับพวกว่าร่วมกันใช้อาวุธปืนตีทำร้ายร่างกายผู้ตาย และร่วมกันใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายโดยเจตนาฆ่า ในลักษณะต่อเนื่องเป็นกรรมเดียวกันกับที่พวกของจำเลยมาเอาอาวุธปืนของจำเลยยิงผู้ตาย การกระทำของจำเลยที่ใช้อาวุธปืนตีทำร้ายผู้ตายจึงเป็นส่วนหนึ่งของการกระทำที่รวมอยู่ในความผิดฐานฆ่าผู้อื่น ดังนั้น เมื่อข้อเท็จจริงตามทางพิจารณาได้ความว่าพวกของจำเลยยิงผู้ตายโดยลำพังซึ่งเป็นคนละตอนกับที่จำเลยทำร้ายผู้ตายก็ตาม แต่การที่จำเลยทำร้ายผู้ตายก็ยังเป็นส่วนหนึ่งของการกระทำที่รวมอยู่ในความผิดฐานฆ่าผู้อื่นศาลจึงมีอำนาจลงโทษจำเลยฐานทำร้ายร่างกายผู้ตายตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295 ตามที่พิจารณาได้ความตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคท้ายได้
พฤติการณ์ที่จำเลยก่อเหตุทะเลาะวิวาทกับผู้ตายและใช้อาวุธปืนที่เตรียมไปตีทำร้ายผู้ตายแล้วพวกของจำเลยที่ไปด้วยกันยังใช้อาวุธปืนที่จำเลยนำไปด้วยนั้นยิงผู้ตายจนถึงแก่ความตาย กรณีจึงยังไม่สมควรรอการลงโทษให้จำเลย
พฤติการณ์ที่จำเลยก่อเหตุทะเลาะวิวาทกับผู้ตายและใช้อาวุธปืนที่เตรียมไปตีทำร้ายผู้ตายแล้วพวกของจำเลยที่ไปด้วยกันยังใช้อาวุธปืนที่จำเลยนำไปด้วยนั้นยิงผู้ตายจนถึงแก่ความตาย กรณีจึงยังไม่สมควรรอการลงโทษให้จำเลย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 602/2543
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ชิงทรัพย์ต่อเนื่องจากการลักทรัพย์: การยื้อแย่งไม้กวาดและทำร้ายร่างกายผู้เสียหายเพื่อหลบหนีถือเป็นความผิดฐานชิงทรัพย์
การที่จำเลยที่ 1 ยื้อแย่งไม้กวาดจากผู้เสียหายที่ 2 และเหวี่ยงกันไปมาโดยจำเลยที่ 1 ทำหน้าตาและส่งเสียงข่มขู่จะทำร้ายผู้เสียหายที่ 2 และการเหวี่ยงไปมาขณะแย่งไม้กวาด เป็นเหตุให้ข้อมือของผู้เสียหายที่ 2 ได้รับบาดเจ็บถือได้ว่าเป็นการใช้กำลังประทุษร้ายอันเป็นกรณีที่ต่อเนื่องกับการที่จำเลยทั้งสองเข้าไปลักทรัพย์ในบ้านของผู้เสียหาย ทั้งนี้ เพื่อสะดวกแก่การพาทรัพย์นั้นไปและเพื่อให้พ้นจากการจับกุม จึงเป็นความผิดฐานชิงทรัพย์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5828/2543
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดฐานทำร้ายร่างกายจนถึงแก่ความตาย จำเลยที่ 2 มีส่วนร่วมแต่ไม่เจตนาฆ่า
++ เรื่อง ความผิดต่อชีวิต ++
++ ทดสอบทำงานในระบบ CW เพื่อค้นหาข้อมูลทาง online ++
++
++
++ พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้ว่า ในวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง จำเลยที่ 1 ได้ใช้ไม้ท่อนเหลี่ยมขนาดยาวประมาณ 46 เซนติเมตร กว้างประมาณ 8 เซนติเมตร หนาประมาณ4.5 เซนติเมตร ตีทำร้ายร่างกายนายยศฟ้า แก้วสีสม ผู้ตาย ที่บริเวณศีรษะด้วยเจตนาฆ่า นายยศฟ้าผู้ตายได้รับบาดเจ็บจนกะโหลกศีรษะแตก สมองได้รับความกระทบกระเทือนอย่างรุนแรงถึงแก่ความตายสมเจตนาของจำเลยที่ 1
++ คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 2 ว่า จำเลยที่ 2 เป็นตัวการร่วมกระทำผิดกับจำเลยที่ 1 ฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาหรือไม่
++ ได้ความจากคำเบิกความของนายกิติพงษ์ รัตนพจน์ พยานโจทก์ตอบถามค้านทนายจำเลยว่า ก่อนที่ผู้ตายจะถูกทำร้ายถึงแก่ความตายนั้น จำเลยทั้งสองมาที่บ้านพยานผู้ตายก็มาและได้ชกต่อยกับจำเลยที่ 1 พยานช่วยห้ามแล้วต่างก็แยกย้ายกันกลับโดยผู้ตายกับเพื่อนกลับไปก่อน หลังจากนั้นประมาณ 5ถึง 10 นาที จำเลยทั้งสองก็ขับรถจักรยานยนต์ตามไป ต่อมาทราบว่ามีการฆ่ากันตาย นายสุทธิชัย เภาโพธิ์ เบิกความเป็นพยานโจทก์ว่า ในวันเกิดเหตุขับรถจักรยานยนต์ไปเที่ยวกับผู้ตาย ในตอนกลับได้แวะเยี่ยมเพื่อนที่บ้านที่เกิดเหตุ มีจำเลยทั้งสองขับรถจักรยานยนต์ตามมาแล้วตะโกนเข้ามาว่าอย่าเพิ่งไปไหน หลังจากนั้นจำเลยทั้งสองได้ขับรถกลับไปก่อน ต่อมาจำเลยทั้งสองได้ขับรถจักรยานยนต์มาอีกพร้อมด้วยไม้หน้าสาม ยาวประมาณ 1 ศอก หนาประมาณ 5 เซนติเมตร คนซ้อนท้ายคือจำเลยที่ 1เป็นคนถือไม้ดังกล่าวเข้ามาตีผู้ตาย และได้ความจากคำเบิกความของนายสุทธิชัยและนายถาวร เกตุสีพรม พยานโจทก์ ซึ่งอยู่ในที่เกิดเหตุตรงกันว่า เมื่อจำเลยที่ 1 ตีทำร้ายร่างกายผู้ตายแล้ว จำเลยที่ 1 ได้นั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์หลบหนีไปพร้อมกับจำเลยที่ 2
++ เห็นว่า พยานโจทก์ไม่เคยมีสาเหตุกับจำเลยที่ 2 มาก่อน จึงไม่มีเหตุระแวงสงสัยว่าจะกลั่นแกล้งเบิกความใส่ร้ายจำเลยที่ 2 เชื่อว่าเบิกความตามที่รู้เห็นจริง ดังปรากฏว่ารายละเอียดในข้อเท็จจริงส่วนใหญ่ที่ได้ความจากคำเบิกความของจำเลยที่ 2 ก็เจือสมกับข้อนำสืบของโจทก์ ทั้งในเรื่องการชกต่อยของจำเลยที่ 1กับผู้ตายก็สอดคล้องตรงกับคำเบิกความของนายกิติพงษ์ดังกล่าวข้างต้นแม้กระทั่งการไปมาของจำเลยทั้งสองในวันเกิดเหตุก็ตรงกัน ว่าจำเลยที่ 2ร่วมไปกับจำเลยที่ 1 โดยตลอด จึงรับรู้รับทราบเหตุการณ์ที่จำเลยที่ 1ได้กระทำลงไปโดยใกล้ชิด พฤติการณ์ที่จำเลยที่ 1 ถูกผู้ตายชกต่อยเป็นเหตุการณ์ที่เกิดต่อหน้าจำเลยที่ 2
++ ฉะนั้น การที่จำเลยที่ 2 ขับรถจักรยานยนต์ไปกับจำเลยที่ 1 โดยปรากฏว่าเมื่อตามไปพบผู้ตายอยู่ที่บ้านเกิดเหตุแล้วตะโกนบอกว่าอย่าเพิ่งไปไหน หลังจากนั้นจำเลยทั้งสองมาด้วยกันมีไม้เป็นอาวุธสำหรับใช้ทำร้ายผู้ตายติดตัวมาด้วย แสดงว่าจำเลยที่ 2 ได้รู้และมีเจตนาร่วมกันกับจำเลยที่ 1 ที่จะทำร้ายผู้ตาย เท่านั้น
++ ข้อเท็จจริงไม่ปรากฏว่า จำเลยที่ 2 สมคบคิดกับจำเลยที่ 1 ถึงกับจะมาฆ่าผู้ตาย และจำเลยที่ 2 ไม่อาจคาดคิดหรือเล็งเห็นผลว่า จำเลยที่ 1จะตีผู้ตายอย่างรุนแรงจนเป็นเหตุให้ถึงแก่ความตาย
++ พฤติการณ์เช่นนี้ยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 2 ร่วมกับจำเลยที่ 1 มีเจตนาฆ่าผู้ตายด้วย
++ เมื่อผลการทำร้ายเป็นเหตุทำให้ผู้ตายถึงแก่ความตายจำเลยที่ 2 จึงมีความผิดฐานร่วมกันทำร้ายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ถึงแก่ความตาย ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 290 วรรคแรก ประกอบมาตรา 83 ++
++ พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 2 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 290 วรรคแรก ประกอบด้วยมาตรา 83 ลงโทษจำคุก 9 ปี คำรับสารภาพชั้นสอบสวนของจำเลยที่ 2 เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 6 ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษามาศาลอุทธรณ์ภาค 4 ++
++ ทดสอบทำงานในระบบ CW เพื่อค้นหาข้อมูลทาง online ++
++
++
++ พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้ว่า ในวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง จำเลยที่ 1 ได้ใช้ไม้ท่อนเหลี่ยมขนาดยาวประมาณ 46 เซนติเมตร กว้างประมาณ 8 เซนติเมตร หนาประมาณ4.5 เซนติเมตร ตีทำร้ายร่างกายนายยศฟ้า แก้วสีสม ผู้ตาย ที่บริเวณศีรษะด้วยเจตนาฆ่า นายยศฟ้าผู้ตายได้รับบาดเจ็บจนกะโหลกศีรษะแตก สมองได้รับความกระทบกระเทือนอย่างรุนแรงถึงแก่ความตายสมเจตนาของจำเลยที่ 1
++ คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 2 ว่า จำเลยที่ 2 เป็นตัวการร่วมกระทำผิดกับจำเลยที่ 1 ฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาหรือไม่
++ ได้ความจากคำเบิกความของนายกิติพงษ์ รัตนพจน์ พยานโจทก์ตอบถามค้านทนายจำเลยว่า ก่อนที่ผู้ตายจะถูกทำร้ายถึงแก่ความตายนั้น จำเลยทั้งสองมาที่บ้านพยานผู้ตายก็มาและได้ชกต่อยกับจำเลยที่ 1 พยานช่วยห้ามแล้วต่างก็แยกย้ายกันกลับโดยผู้ตายกับเพื่อนกลับไปก่อน หลังจากนั้นประมาณ 5ถึง 10 นาที จำเลยทั้งสองก็ขับรถจักรยานยนต์ตามไป ต่อมาทราบว่ามีการฆ่ากันตาย นายสุทธิชัย เภาโพธิ์ เบิกความเป็นพยานโจทก์ว่า ในวันเกิดเหตุขับรถจักรยานยนต์ไปเที่ยวกับผู้ตาย ในตอนกลับได้แวะเยี่ยมเพื่อนที่บ้านที่เกิดเหตุ มีจำเลยทั้งสองขับรถจักรยานยนต์ตามมาแล้วตะโกนเข้ามาว่าอย่าเพิ่งไปไหน หลังจากนั้นจำเลยทั้งสองได้ขับรถกลับไปก่อน ต่อมาจำเลยทั้งสองได้ขับรถจักรยานยนต์มาอีกพร้อมด้วยไม้หน้าสาม ยาวประมาณ 1 ศอก หนาประมาณ 5 เซนติเมตร คนซ้อนท้ายคือจำเลยที่ 1เป็นคนถือไม้ดังกล่าวเข้ามาตีผู้ตาย และได้ความจากคำเบิกความของนายสุทธิชัยและนายถาวร เกตุสีพรม พยานโจทก์ ซึ่งอยู่ในที่เกิดเหตุตรงกันว่า เมื่อจำเลยที่ 1 ตีทำร้ายร่างกายผู้ตายแล้ว จำเลยที่ 1 ได้นั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์หลบหนีไปพร้อมกับจำเลยที่ 2
++ เห็นว่า พยานโจทก์ไม่เคยมีสาเหตุกับจำเลยที่ 2 มาก่อน จึงไม่มีเหตุระแวงสงสัยว่าจะกลั่นแกล้งเบิกความใส่ร้ายจำเลยที่ 2 เชื่อว่าเบิกความตามที่รู้เห็นจริง ดังปรากฏว่ารายละเอียดในข้อเท็จจริงส่วนใหญ่ที่ได้ความจากคำเบิกความของจำเลยที่ 2 ก็เจือสมกับข้อนำสืบของโจทก์ ทั้งในเรื่องการชกต่อยของจำเลยที่ 1กับผู้ตายก็สอดคล้องตรงกับคำเบิกความของนายกิติพงษ์ดังกล่าวข้างต้นแม้กระทั่งการไปมาของจำเลยทั้งสองในวันเกิดเหตุก็ตรงกัน ว่าจำเลยที่ 2ร่วมไปกับจำเลยที่ 1 โดยตลอด จึงรับรู้รับทราบเหตุการณ์ที่จำเลยที่ 1ได้กระทำลงไปโดยใกล้ชิด พฤติการณ์ที่จำเลยที่ 1 ถูกผู้ตายชกต่อยเป็นเหตุการณ์ที่เกิดต่อหน้าจำเลยที่ 2
++ ฉะนั้น การที่จำเลยที่ 2 ขับรถจักรยานยนต์ไปกับจำเลยที่ 1 โดยปรากฏว่าเมื่อตามไปพบผู้ตายอยู่ที่บ้านเกิดเหตุแล้วตะโกนบอกว่าอย่าเพิ่งไปไหน หลังจากนั้นจำเลยทั้งสองมาด้วยกันมีไม้เป็นอาวุธสำหรับใช้ทำร้ายผู้ตายติดตัวมาด้วย แสดงว่าจำเลยที่ 2 ได้รู้และมีเจตนาร่วมกันกับจำเลยที่ 1 ที่จะทำร้ายผู้ตาย เท่านั้น
++ ข้อเท็จจริงไม่ปรากฏว่า จำเลยที่ 2 สมคบคิดกับจำเลยที่ 1 ถึงกับจะมาฆ่าผู้ตาย และจำเลยที่ 2 ไม่อาจคาดคิดหรือเล็งเห็นผลว่า จำเลยที่ 1จะตีผู้ตายอย่างรุนแรงจนเป็นเหตุให้ถึงแก่ความตาย
++ พฤติการณ์เช่นนี้ยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 2 ร่วมกับจำเลยที่ 1 มีเจตนาฆ่าผู้ตายด้วย
++ เมื่อผลการทำร้ายเป็นเหตุทำให้ผู้ตายถึงแก่ความตายจำเลยที่ 2 จึงมีความผิดฐานร่วมกันทำร้ายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ถึงแก่ความตาย ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 290 วรรคแรก ประกอบมาตรา 83 ++
++ พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 2 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 290 วรรคแรก ประกอบด้วยมาตรา 83 ลงโทษจำคุก 9 ปี คำรับสารภาพชั้นสอบสวนของจำเลยที่ 2 เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 6 ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษามาศาลอุทธรณ์ภาค 4 ++
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5824/2543 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจ้าพนักงานตำรวจทำร้ายร่างกายผู้ถูกควบคุม ถือเป็นการละเมิดต่อรัฐ
การที่เจ้าพนักงานตำรวจทำร้ายร่างกายโจทก์ขณะควบคุมโจทก์ไปส่งที่สถานีตำรวจ ต้องถือว่าเจ้าพนักงานตำรวจได้กระทำละเมิดต่อโจทก์ในการปฏิบัติหน้าที่ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องเรียกค่าเสียหายจากกรมตำรวจซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 502/2543 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
พยานหลักฐานไม่เพียงพอ ชี้ความผิดจำเลยร่วมกระทำความผิดฐานฆ่าเจตนา, ทำร้ายร่างกาย
พยานหลักฐานทั้งหมดของโจทก์เท่าที่นำสืบล้วนเป็นพยานบอกเล่าเมื่อคำนึงว่า จำเลยที่ 2 มิได้มีเรื่องหมางใจกับผู้ตายและผู้เสียหายมาก่อน ประกอบกับโจทก์ไม่มีประจักษ์พยานยืนยันความผิดของจำเลยที่ 2 โดยชัดแจ้ง จำเลยที่ 2เองก็ให้การปฏิเสธโดยตลอดมาตั้งแต่ต้น ลำพังพยานบอกเล่าของโจทก์เท่าที่ปรากฏยังไม่พอชี้ชัดว่าจำเลยที่ 2 ร่วมกระทำความผิดกับจำเลยอื่นด้วย
ผู้เสียหายถูกจำเลยที่ 1 ที่ 3 และที่ 4 ฟาดด้วยหลอดไฟฟ้าที่บริเวณกลางหลัง 1 ที และถูกไม้กระบองตีที่บริเวณตาข้างขวา 1 ที จากนั้นผู้เสียหายวิ่งหลบหนีไปได้ ไม่ปรากฏว่าผู้ตายถูกจำเลยคนใดตีทำร้ายอย่างไรหรือมีผู้ใดร้องตะโกนว่าตีให้ตาย แต่กลับได้ความว่า ผู้ตายและผู้เสียหายมีอาการเมาสุรา ผู้ตายมีปากเสียงกับฝ่ายจำเลยและพวกแล้วจึงเกิดเหตุตีทำร้ายกัน เมื่อผู้เสียหายวิ่งหนีก็ไม่มีผู้ใดวิ่งไล่ตาม ทั้งปรากฏว่า ขอบตาข้างขวาของผู้เสียหายบวมช้ำมีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 7 เซนติเมตร มีแผลถลอกช้ำหางตาและแผลฉีกขาดยาว 1 เซนติเมตร ลึก 0.3 เซนติเมตร ที่เปลือกตาขวา อาการบาดเจ็บดังกล่าวจะรักษาหายใน 10 วัน ถ้าไม่มีโรคแทรกซ้อน พฤติการณ์แห่งคดียังฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 ที่ 3 และที่ 4 มีเจตนาฆ่า จำเลยที่ 1 ที่ 3 และที่ 4 คงเป็นตัวการในความผิดฐานทำร้ายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ผู้ถูกทำร้ายถึงแก่ความตาย และทำร้ายร่างกายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กาย อันเป็นการกระทำกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท หาเป็นตัวการในความผิดฐานฆ่าและพยายามฆ่าไม่
แม้จำเลยที่ 1 ที่ 3 และที่ 4 จะมิได้ฎีกา แต่เมื่อข้อเท็จจริงแห่งการกระทำของจำเลยที่ 1 ที่ 3 และที่ 4 ไม่เป็นความผิดฐานฆ่าและพยายามฆ่าและเป็นข้อเท็จจริงแห่งการกระทำที่เกี่ยวพันกับจำเลยที่ 2 ซึ่งมีการฎีกาขึ้นมาทั้งปัญหาที่ว่าการกระทำของจำเลยที่ 1 ที่ 3 และที่ 4 เป็นความผิดฐานฆ่าและพยายามฆ่าหรือไม่ เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้ว่าจะไม่ได้ยกขึ้นในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ก็ตาม ศาลฎีกามีอำนาจยกฟ้องจำเลยที่ 1ที่ 3 และที่ 4 ให้พ้นจากความผิดฐานฆ่าและพยายามฆ่าได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา185, 195 วรรคสอง ประกอบด้วยมาตรา 215 และมาตรา 225
ผู้เสียหายถูกจำเลยที่ 1 ที่ 3 และที่ 4 ฟาดด้วยหลอดไฟฟ้าที่บริเวณกลางหลัง 1 ที และถูกไม้กระบองตีที่บริเวณตาข้างขวา 1 ที จากนั้นผู้เสียหายวิ่งหลบหนีไปได้ ไม่ปรากฏว่าผู้ตายถูกจำเลยคนใดตีทำร้ายอย่างไรหรือมีผู้ใดร้องตะโกนว่าตีให้ตาย แต่กลับได้ความว่า ผู้ตายและผู้เสียหายมีอาการเมาสุรา ผู้ตายมีปากเสียงกับฝ่ายจำเลยและพวกแล้วจึงเกิดเหตุตีทำร้ายกัน เมื่อผู้เสียหายวิ่งหนีก็ไม่มีผู้ใดวิ่งไล่ตาม ทั้งปรากฏว่า ขอบตาข้างขวาของผู้เสียหายบวมช้ำมีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 7 เซนติเมตร มีแผลถลอกช้ำหางตาและแผลฉีกขาดยาว 1 เซนติเมตร ลึก 0.3 เซนติเมตร ที่เปลือกตาขวา อาการบาดเจ็บดังกล่าวจะรักษาหายใน 10 วัน ถ้าไม่มีโรคแทรกซ้อน พฤติการณ์แห่งคดียังฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 ที่ 3 และที่ 4 มีเจตนาฆ่า จำเลยที่ 1 ที่ 3 และที่ 4 คงเป็นตัวการในความผิดฐานทำร้ายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ผู้ถูกทำร้ายถึงแก่ความตาย และทำร้ายร่างกายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กาย อันเป็นการกระทำกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท หาเป็นตัวการในความผิดฐานฆ่าและพยายามฆ่าไม่
แม้จำเลยที่ 1 ที่ 3 และที่ 4 จะมิได้ฎีกา แต่เมื่อข้อเท็จจริงแห่งการกระทำของจำเลยที่ 1 ที่ 3 และที่ 4 ไม่เป็นความผิดฐานฆ่าและพยายามฆ่าและเป็นข้อเท็จจริงแห่งการกระทำที่เกี่ยวพันกับจำเลยที่ 2 ซึ่งมีการฎีกาขึ้นมาทั้งปัญหาที่ว่าการกระทำของจำเลยที่ 1 ที่ 3 และที่ 4 เป็นความผิดฐานฆ่าและพยายามฆ่าหรือไม่ เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้ว่าจะไม่ได้ยกขึ้นในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ก็ตาม ศาลฎีกามีอำนาจยกฟ้องจำเลยที่ 1ที่ 3 และที่ 4 ให้พ้นจากความผิดฐานฆ่าและพยายามฆ่าได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา185, 195 วรรคสอง ประกอบด้วยมาตรา 215 และมาตรา 225
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4919/2543
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาฆ่าจากการแทงและทำร้ายต่อเนื่อง ศาลฎีกาพิพากษาว่าเป็นการพยายามฆ่า
บริเวณที่ผู้เสียหายถูกแทงอยู่ที่หน้าอกด้านซ้ายลึกประมาณ 3 ถึง 4เซนติเมตร ถ้าหากถูกแทงแรงกว่านี้ อาจจะทำให้ถึงแก่ความตายเนื่องจาก ทะลุหัวใจ แม้อาวุธมีดของกลางจะเป็นมีดขนาดเล็กที่ใช้ปลอกผลไม้ แต่ก็มีความยาวเฉพาะใบมีดถึง 11 เซนติเมตร กว้าง 1.7 เซนติเมตร และมีความแหลมพอที่จะทำให้ผู้เสียหายถึงแก่ความตายได้ เมื่อจำเลย แทงผู้เสียหายบริเวณอวัยวะสำคัญจนมีดหัก แสดงว่า แทงโดยแรงแล้ว ยังได้ใช้ขวดสุราและขวดน้ำตีที่ศีรษะผู้เสียหายอีกหลายครั้ง ส่องแสดงว่าจำเลยมีเจตนาฆ่าผู้เสียหายมิใช่เพียงเจตนาทำร้าย เมื่อการกระทำของ จำเลยไม่บรรลุผลจึงมีความผิดฐานพยายามฆ่า
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4679/2543
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาฆ่าหรือไม่: ศาลลดโทษจากพยายามฆ่าเป็นทำร้ายร่างกาย พร้อมรอการลงโทษ
จำเลยมีความสัมพันธ์ฉันชู้สาวกับผู้เสียหายโดยไม่ปรากฏว่ามีเหตุบาดหมางกัน วันเกิดเหตุผู้เสียหายเป็นฝ่ายมาหาจำเลย แม้ผู้เสียหายจะทวงเงินจากจำเลยไม่ได้ ก็ไม่ปรากฏว่าผู้เสียหายแสดงอาการไม่พอใจหรือต่อว่าจำเลย ส่วนที่จำเลยขอเงินจากผู้เสียหายแต่ผู้เสียหายบอกว่าไม่มี สาเหตุเท่านี้ไม่ใช่เรื่องร้ายแรง ไม่มีเหตุผลเพียงพอที่จำเลยถึงกับจะคิดฆ่าผู้เสียหาย การที่จำเลยพูดว่า "ถ้าไม่ให้มึงตาย" จะถือเอาเป็นจริงตามคำพูดนั้นหาได้ไม่ ต้องดูพฤติการณ์อื่นที่เกิดขึ้นประกอบด้วย ขณะเกิดเหตุจำเลยยืนติดกับล้อรถจักรยานยนต์ด้านหน้าไม่อยู่ในตำแหน่งที่จะทำร้ายผู้เสียหายได้ถนัด มีดโกนของกลางมีใบมีดกว้างเพียง 1 เซนติเมตร ยาว 5 เซนติเมตร เป็นมีดโกนเก่าที่จำเลยเคยใช้โกนหนวดและเคราให้ผู้เสียหายโดยสภาพแล้วไม่ใช่อาวุธ แม้จำเลยจะใช้ปาดที่บริเวณลำคอแต่ก็ปาดครั้งเดียว บาดแผลที่ผู้เสียหายได้รับเป็นเพียงแผลลึกถึงใต้ชั้นผิวหนังแพทย์ลงความเห็นว่าใช้เวลารักษา 7 วันและไม่ปรากฏว่าจำเลยจะใช้มีดโกนของกลางทำร้ายผู้เสียหายซ้ำอีก คดีฟังไม่ได้ว่าจำเลยกระทำ โดยมีเจตนาฆ่าผู้เสียหายคงเป็นความผิดฐานทำร้ายผู้เสียหายจนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295