คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
บังคับชำระหนี้

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 225 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7547/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ลูกหนี้ร่วมรับผิด: เจ้าหนี้มีสิทธิบังคับชำระหนี้จากทรัพย์สินลูกหนี้ร่วมได้ แม้บังคับชำระจากทรัพย์สินจำนองไม่ครบ
คำฟ้องโจทก์ระบุว่า จำเลยที่ 3 เป็นผู้ค้ำประกันจำเลยที่ 1ที่ 4 และที่ 5 อย่างลูกหนี้ร่วม โดยจำเลยที่ 3 ไม่ได้นำทรัพย์สินไปจำนอง ศาลพิพากษาให้จำเลยที่ 3 ร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ที่ 4และที่ 5 ดังนี้คำฟ้องและคำพิพากษาที่เกี่ยวกับจำเลยที่ 3เป็นเพียงคำฟ้องและคำพิพากษาในมูลหนี้สามัญมิได้เกี่ยวกับการบังคับจำนอง เมื่อโจทก์ไม่สามารถบังคับชำระหนี้จากทรัพย์สินจำนองของจำเลยที่ 1 ที่ 4 และที่ 5 ได้ครบถ้วน โจทก์ในฐานะเจ้าหนี้สามัญของจำเลยที่ 3 ก็ชอบจะบังคับเอาชำระหนี้ตามคำพิพากษาโดยยึดที่ดินพิพาทของจำเลยที่ 3 ในฐานะลูกหนี้ร่วมกับจำเลยที่ 1ที่ 4 และที่ 5 ได้ตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งและไม่มีบทบัญญัติใดที่บัญญัติให้สิทธิของโจทก์ที่จะบังคับชำระหนี้จากจำเลยที่ 3 ในฐานะลูกหนี้ร่วมกับจำเลยที่ 1 ที่ 4 และที่ 5ตามคำพิพากษาระงับสิ้นลง จำเลยที่ 3 ไม่มีสิทธิขอให้ศาลเพิกถอนการยึดที่ดินพิพาทของจำเลยที่ 3

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6110/2537 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาต้องบังคับชำระหนี้ตามกฎหมายล้มละลาย แม้ทรัพย์สินยังอยู่กับเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์
การที่โจทก์ซึ่งแม้จะเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาของลูกหนี้ผู้ถูกพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดก็ตามจะได้รับชำระหนี้นั้น จะต้องบังคับตาม พ.ร.บ.ล้มละลายพ.ศ.2483 โจทก์จะขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดีนำเงินประกันการขอทุเลาการบังคับที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์วางไว้ต่อศาลซึ่งยังเป็นทรัพย์สินของลูกหนี้อยู่มาชำระหนี้ตามคำพิพากษาแก่โจทก์ โดยไม่ปฏิบัติตามกฎหมายล้มละลายดังกล่าวหาได้ไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5434/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฟ้องบังคับชำระหนี้เบี้ยประกันภัยต้องมีหลักฐานลายมือชื่อผู้ทำประกัน
โจทก์ฟ้องอ้างว่าจำเลยนำรถยนต์มาประกันภัยกับโจทก์แล้วค้างชำระเบี้ยประกันภัย แต่ปรากฏว่าในสำเนากรมธรรม์ประกันภัยทั้ง 5 ฉบับที่โจทก์อ้างส่งต่อศาล ไม่มีลายมือชื่อจำเลยหรือตัวแทนจำเลย โจทก์จึงไม่อาจฟ้องร้องบังคับคดีให้จำเลยชำระเบี้ยประกันภัยได้ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 867วรรคหนึ่ง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5088/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิในการบังคับชำระหนี้ตามสัญญาจะซื้อจะขาย และผลของการผิดสัญญา
การที่โจทก์ทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินพิพาทกับจำเลยที่ 1 ก็มุ่งประสงค์ที่จะได้รับชำระค่าที่ดินตามสัญญา อันเป็นความประสงค์ที่จะได้รับชำระหนี้โดยถูกต้องตรงตามวัตถุที่ประสงค์แห่งหนี้ ทั้งการจะบังคับให้เจ้าหนี้รับชำระหนี้เป็นอย่างอื่นผิดไปจากที่จะต้องชำระแก่เจ้าหนี้ ป.พ.พ. มาตรา 320 ก็บัญญัติว่า หาอาจจะบังคับได้ไม่ ที่สัญญาจะซื้อจะขายที่ดินพิพาทกำหนดไว้ว่า ถ้าผู้จะซื้อผิดสัญญาไม่ไปทำหนังสือและจดทะเบียนรับซื้อตามกำหนดในข้อตกลงนี้ ผู้จะซื้อยอมให้ผู้จะขายริบเงินมัดจำนั้นเป็นเพียงข้อสัญญาที่ให้สิทธิแก่ผู้จะขายในกรณีที่ผู้จะซื้อผิดสัญญา ข้อสัญญาดังกล่าวหาได้เป็นการตัดสิทธิโจทก์ที่จะบังคับชำระหนี้ให้ตรงตามวัตถุที่ประสงค์แห่งหนี้หรือหามีผลเป็นการบังคับให้โจทก์ริบได้เฉพาะเงินมัดจำเท่านั้นไม่ โจทก์จึงมีสิทธิฟ้องบังคับให้จำเลยที่ 1 ชำระราคาที่ดินพิพาทและรับโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5088/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิในการบังคับชำระหนี้ตามสัญญาซื้อขายที่ดิน แม้มีข้อตกลงริบมัดจำ
การที่โจทก์ทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินพิพาทกับจำเลยที่ 1ก็มุ่งประสงค์ที่จะได้รับชำระค่าที่ดินตามสัญญา อันเป็นความประสงค์ที่จะได้รับชำระหนี้โดยถูกต้องตรงตามวัตถุทีประสงค์แห่งหนี้ ทั้งการจะบังคับให้เจ้าหนี้รับชำระหนี้เป็นอย่างอื่นผิดไปจากที่จะต้องชำระแก่เจ้าหนี้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 320 ก็บัญญัติว่าหาอาจจะบังคับได้ไม่ ที่สัญญาจะซื้อจะขายที่ดินพิพาทกำหนดไว้ว่าถ้าผู้จะซื้อผิดสัญญาไม่ไปทำหนังสือและจดทะเบียนรับซื้อตามกำหนดในข้อตกลงนี้ ผู้จะซื้อยอมให้ผู้จะขายริบเงินมัดจำนั้นเป็นเพียงข้อสัญญาที่ให้สิทธิแก่ผู้จะขายในกรณีที่ผู้จะซื้อผิดสัญญาข้อสัญญาดังกล่าวหาได้เป็นการตัดสิทธิโจทก์ที่จะบังคับชำระหนี้ให้ตรงตามวัตถุที่ประสงค์แห่งหนี้หรือหามีผลเป็นการบังคับให้โจทก์ริบได้เฉพาะเงินมัดจำเท่านั้นไม่ โจทก์จึงมีสิทธิฟ้องบังคับให้จำเลยที่ 1 ชำระราคาที่ดินพิพาทและรับโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2359/2537 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การบังคับตามคำขอท้ายฟ้องและลำดับการบังคับชำระหนี้ในสัญญานายหน้า
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยมีที่ดินเนื้อที่ประมาณ 26 ไร่ ต้องการขายที่ดินดังกล่าวจำนวน 14 ไร่เศษ ซึ่งจำเลยมีโครงการจดทะเบียนแบ่งแยกที่ดินจัดสรรขายแก่บุคคลทั่วไปเพื่อนำเงินไปชำระหนี้แก่ธนาคาร เพราะจำเลยได้จำนองที่ดินจำนวน 26 ไร่ ไว้แก่ธนาคารและธนาคารบอกกล่าวบังคับจำนอง จำเลยจึงติดต่อโจทก์กับผู้มีชื่อให้เป็นนายหน้าขายที่ดินของจำเลยโดยสัญญาว่าจะยกที่ดินให้คนละ 1 ไร่เป็นค่าตอบแทนในการเป็นนายหน้า ต่อมากลางปี 2530 โจทก์สามารถติดต่อขายที่ดินให้จำเลยได้สำเร็จ แต่จำเลยไม่ยอมจดทะเบียนโอนที่ดินให้โจทก์ตามสัญญา จึงมีคำขอบังคับให้จำเลยชำระเงินค่าที่ดิน 120,000 บาท หากไม่ปฏิบัติตามให้จำเลยจดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ ดังนี้ ฟ้องโจทก์ได้บรรยายชัดแจ้งตาม ป.วิ.พ.มาตรา 172วรรคสอง แล้ว จำเลยสามารถต่อสู้คดีได้อย่างถูกต้อง ส่วนโจทก์จะติดต่อให้ผู้ใดมาซื้อที่ดินกับจำเลยในราคาเท่าใด เป็นรายละเอียดที่โจทก์สามารถนำสืบได้ในชั้นพิจารณาฟ้องโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม
สัญญานายหน้าทำขึ้น 2 ฉบับ เมื่อเอกสารดังกล่าวอยู่ในความครอบครองของจำเลย 1 ฉบับ กรณีย่อมเข้าข้อยกเว้นตาม ป.วิ.พ. มาตรา 90 (2)โจทก์จึงไม่ต้องส่งสำเนาเอกสารดังกล่าวให้แก่จำเลยก่อนวันสืบพยานไม่น้อยกว่าสามวัน
แม้คำพิพากษาของศาลล่างจะมิได้บังคับให้จำเลยชำระเงิน120,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยให้แก่โจทก์ก่อน หากจำเลยไม่ปฏิบัติตามก็ให้บังคับจำเลยจดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ตามที่โจทก์ขอบังคับจำเลยมาก็ตาม แต่เมื่อลำดับการขอบังคับตามคำขอท้ายฟ้องของโจทก์มิได้เป็นไปตามขั้นตอนของการบังคับชำระหนี้ ศาลก็ชอบที่จะพิพากษาให้บังคับไปตามขั้นตอนของสิทธิที่จะบังคับชำระหนี้ที่ถูกต้องได้โดยพิพากษาให้จำเลยจดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ก่อน หากโอนไม่ได้จึงจะให้ชำระเงิน 120,000 บาท พร้อมดอกเบี้ย คำพิพากษาของศาลล่างมิได้เกินคำขอแต่อย่างใด

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2359/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญานายหน้าและการบังคับชำระหนี้: ศาลพิพากษาได้ตามขั้นตอนของสิทธิเรียกร้อง แม้ลำดับไม่ตรงตามคำขอ
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยมีที่ดินเนื้อที่ประมาณ 26 ไร่ต้องการขายที่ดินดังกล่าวจำนวน 14 ไร่เศษ ซึ่งจำเลยมีโครงการจดทะเบียนแบ่งแยกที่ดินจัดสรรขายแก่บุคคลทั่วไปเพื่อนำเงินไปชำระหนี้แก่ธนาคาร เพราะจำเลยได้จำนองที่ดินจำนวน 26 ไร่ ไว้แก่ธนาคารและธนาคารบอกกล่าวบังคับจำนอง จำเลยจึงติดต่อโจทก์กับผู้มีชื่อให้เป็นนายหน้าขายที่ดินของจำเลยโดยสัญญาว่าจะยกที่ดินให้คนละ 1 ไร่ เป็นค่าตอบแทนในการเป็นนายหน้า ต่อมากลางปี 2530โจทก์สามารถติดต่อขายที่ดินให้จำเลยได้สำเร็จ แต่จำเลยไม่ยอมจดทะเบียนโอนที่ดินให้โจทก์ตามสัญญา จึงมีคำขอบังคับให้จำเลยชำระเงินค่าที่ดิน 120,000 บาท หากไม่ปฏิบัติตามให้จำเลยจดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ ดังนี้ ฟ้องโจทก์ได้บรรยายชัดแจ้งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 วรรคสองแล้วจำเลยสามารถต่อสู้คดีได้อย่างถูกต้อง ส่วนโจทก์จะติดต่อให้ผู้ใดมาซื้อที่ดินกับจำเลยในราคาเท่าใด เป็นรายละเอียดที่โจทก์สามารถนำสืบได้ในชั้นพิจารณาฟ้องโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม สัญญานายหน้าทำขึ้น 2 ฉบับ เมื่อเอกสารดังกล่าวอยู่ในความครอบครองของจำเลย 1 ฉบับ กรณีย่อมเข้าข้อยกเว้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 90(2) โจทก์จึงไม่ต้องส่งสำเนาเอกสารดังกล่าวให้แก่จำเลยก่อนวันสืบพยานไม่น้อยกว่าสามวัน แม้คำพิพากษาของศาลล่างจะมิได้บังคับให้จำเลยชำระเงิน120,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยให้แก่โจทก์ก่อน หากจำเลยไม่ปฏิบัติตามก็ให้บังคับจำเลยจดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ตามที่โจทก์ขอบังคับจำเลยมาก็ตาม แต่เมื่อลำดับการขอบังคับตามคำขอท้ายฟ้องของโจทก์มิได้เป็นไปตามขั้นตอนของการบังคับชำระหนี้ ศาลก็ชอบที่จะพิพากษาให้บังคับไปตามขั้นตอนของสิทธิที่จะบังคับชำระหนี้ที่ถูกต้องได้โดยพิพากษาให้จำเลยจดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ก่อน หากโอนไม่ได้จึงจะให้ชำระเงิน 120,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยคำพิพากษาของศาลล่าง มิได้เกินคำขอแต่อย่างใด

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1150/2537 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การบังคับชำระหนี้ตามคำพิพากษา: การใช้รายได้ 1 ปี ชำระหนี้ และการแต่งตั้งผู้จัดการทรัพย์
ความหมายแห่งบทบัญญัติ ป.วิ.พ.มาตรา 307 ให้ใช้รายได้1 ปี มาชำระหนี้ให้ครบถ้วนตามคำพิพากษา มิใช่ให้ผ่อนชำระเป็นรายปีแล้วแต่ลูกหนี้จะผ่อนชำระได้
จำเลยที่ 2 มิได้มีรายได้จากอสังหาริมทรัพย์ที่ถูกยึด จึงไม่อาจตั้งจำเลยที่ 2 เป็นผู้จัดการทรัพย์แทนการขายทอดตลาดทรัพย์สินของจำเลยที่ 2 ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 46/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การบังคับชำระหนี้จากผู้ค้ำประกันหลังสัญญาประนีประนอมสิ้นสุด – ไม่ต้องฟ้องคดีใหม่
เมื่อจำเลยรับว่าจำเลยยังค้างชำระหนี้โจทก์อยู่ภายหลังจากกำหนดระยะเวลาชำระหนี้ตามสัญญาประนีประนอมยอมความสิ้นสุดลงแล้วโจทก์ย่อมบังคับชำระหนี้โดยยึดทรัพย์สินของผู้ค้ำประกันในศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 274 ได้โดยไม่ต้องฟ้องผู้ค้ำประกันเป็นคดีใหม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2085/2535 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิเจ้าหนี้มีประกันบังคับชำระหนี้จากทรัพย์สินหลักประกันก่อนเจ้าหนี้อื่น แม้มีการชำระหนี้ก่อนล้มละลาย
ผู้คัดค้านเป็นเจ้าหนี้มีประกันซึ่งเมื่อลูกหนี้ล้มละลายผู้คัดค้านอาจใช้สิทธิขอรับชำระหนี้ได้โดยบังคับเอากับทรัพย์สินอันเป็นหลักประกัน แล้วขอรับชำระหนี้สำหรับจำนวนหนี้ที่ยังขาดอยู่หรือขอให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ขายทอดตลาดทรัพย์สินอันเป็นหลักประกันแล้วขอรับชำระหนี้สำหรับจำนวนที่ยังขาดอยู่ หรือตีราคาทรัพย์อันเป็นหลักประกันแล้วขอรับชำระหนี้สำหรับจำนวนที่ยังขาดอยู่ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 96(2)(3)(4) ดังนั้นการที่ลูกหนี้จดทะเบียนขายที่ดินและสิ่งปลูกสร้างของลูกหนี้ที่จำนองเป็นประกันหนี้ไว้แก่ผู้คัดค้านให้แก่ผู้อื่นไป และลูกหนี้นำเงินที่ได้จากการขายทรัพย์ดังกล่าวทั้งหมดไปชำระหนี้ให้แก่ผู้คัดค้าน จึงอยู่ในเกณฑ์ที่ผู้คัดค้านในฐานะเจ้าหนี้มีประกันจะบังคับเอาได้ การที่ผู้คัดค้านรับชำระหนี้ส่วนนี้ย่อมไม่ทำให้เจ้าหนี้อื่นซึ่งมีฐานะเป็นเพียงเจ้าหนี้สามัญเสียเปรียบการกระทำของลูกหนี้จึงถือไม่ได้ว่าเป็นการกระทำให้ผู้คัดค้านได้เปรียบเจ้าหนี้อื่น แม้จะกระทำในระหว่างระยะเวลา 3 เดือน ก่อนร้องขอให้ล้มละลาย ก็ไม่อาจเพิกถอนการชำระหนี้ไถ่ถอนจำนองดังกล่าวตามพระราชบัญญัติ ล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 115 ได้
of 23