พบผลลัพธ์ทั้งหมด 259 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1839/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การกระทำอนาจารเด็กชายและการพรากผู้เยาว์ ศาลฎีกาตัดสินว่าพฤติการณ์ไม่ถึงขั้นพยายามข่มขืน
จำเลยพาผู้เสียหายไปที่ป่าละเมาะและใช้อวัยวะเพศของจำเลยทิ่มตำอวัยวะเพศของผู้เสียหายกับใช้นิ้วชี้ใส่เข้าไปในอวัยวะเพศของผู้เสียหายแล้วจำเลยสำเร็จความใคร่ด้วยตนเองจึงเป็นการพรากผู้เสียหายไปจากบิดามารดาผู้ดูแลและกระทำอนาจารแก่ผู้เสียหายเท่านั้นหาใช่เป็นความผิดฐาน พยายามกระทำชำเราผู้เสียหายไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6622/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
พรากผู้เยาว์เพื่อค้ากำไร: จำเลยใช้อุบายลวงผู้เยาว์และส่งมอบให้ผู้อื่นเพื่อประโยชน์ทางการเงิน
จำเลยใช้อุบายว่าจะให้เงินแก่ผู้ตายอายุ 16 ปีลวงให้ผู้ตายตามไปและปล่อยให้ผู้ตายอยู่กับชาย 2 คน ซึ่งเป็นพวกของจำเลยโดยเห็นแก่เงินซึ่งชายทั้งสองจะมอบให้แก่จำเลยเป็นการตอบแทน จำเลยจึงมีความผิดฐานพรากผู้เยาว์อายุกว่าสิบห้าปีแต่ไม่เกินสิบแปดปี โดยผู้เยาว์ไม่เต็มใจไปด้วยเพื่อค้ากำไร
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6622/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
พรากผู้เยาว์เพื่อค้ากำไร: การกระทำโดยใช้อุบายลวงและส่งมอบให้ผู้อื่น
จำเลยใช้อุบายว่าจะให้เงินแก่ผู้ตายอายุ 16 ปีลวงให้ผู้ตายตามไปและปล่อยให้ผู้ตายอยู่กับชาย 2 คน ซึ่งเป็นพวกของจำเลยโดยเห็นแก่เงินซึ่งชายทั้งสองจะมอบให้แก่จำเลยเป็นการตอบแทน จำเลยจึงมีความผิดฐานพรากผู้เยาว์อายุกว่าสิบห้าปีแต่ไม่เกินสิบแปดปี โดยผู้เยาว์ไม่เต็มใจไปด้วยเพื่อค้ากำไร
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6419/2537 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
พรากผู้เยาว์เพื่ออนาจาร แม้สำคัญผิดในอายุ แต่ยังคงมีความผิดฐานพรากผู้เยาว์
การที่เด็กหญิง ข.หลบหนีออกจากบ้านเพียงไปดูภาพยนตร์ซึ่งไม่ห่างไกลจากบ้านที่อยู่ เมื่อภาพยนต์เลิกแล้วก็คงกลับบ้านหากไม่ถูกจำเลยพาไป อำนาจในการปกครองดูแลของ จ. หาได้สิ้นสุดลงไม่ การที่จำเลยพาเด็กหญิง ข.ไปอยู่ที่อื่นหลายวันถือได้ว่าเป็นการพรากเด็กหญิง ข. ออกจาก จ.โดยปราศจากเหตุอันสมควร ระหว่างที่พาเด็กหญิง ข.ไปพักในที่ต่าง ๆ จำเลยได้กระทำชำเราเด็กหญิง ข. อันเป็นการกระทำอนาจารด้วย แม้ขณะเกิดเหตุเด็กหญิง ข. จะมีอายุ 13 ปี แต่เด็กหญิง ข.มีรูปร่างสมบูรณ์กว่าเด็กปกติทั่วไปจนจำเลยสำคัญผิดว่ามีอายุ 17 ปี จำเลยย่อมได้รับประโยชน์ ตาม ป.อ.มาตรา 62 วรรคแรก จำเลยจึงมีความผิดฐานพรากผู้เยาว์ไปเพื่ออนาจารตาม ป.อ. มาตรา 319 วรรคแรก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6419/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพรากผู้เยาว์เพื่อการอนาจาร แม้สำคัญผิดในอายุ แต่ยังถือว่าเป็นการพราก
เด็กหญิงข.หลบหนีออกจากบ้านเพียงไปดูภาพยนตร์ซึ่งไม่ห่างไกลจากบ้านที่อยู่ เมื่อภาพยนตร์เลิกแล้วก็คงกลับบ้านหากไม่ถูกจำเลยพาไป อำนาจในการปกครองดูแลของ จ. ผู้ปกครองดูแลจึงหาได้สิ้นสุดลงไม่ จำเลยพาเด็กหญิงข.ไปอยู่ที่อื่นหลายวันและได้กระทำชำเราเด็กหญิง ข. หลายครั้ง ถือว่าเป็นการพรากเด็กหญิงข. ออกจากจ. โดยปราศจากเหตุอันสมควรและเป็นการกระทำอนาจารด้วยแม้ขณะเกิดเหตุเด็กหญิง ข. อายุ 13 ปี แต่มีรูปร่างสมบูรณ์กว่าเด็กปกติทั่วไปตามสายตาของบุคคลภายนอกจะประมาณว่ามีอายุประมาณ17 ถึง 18 ปี ซึ่งจำเลยก็สำคัญผิดเช่นนั้น จำเลยย่อมได้รับประโยชน์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 62 วรรคแรก จำเลยจึงมีความผิดฐานพรากผู้เยาว์ไปเพื่อการอนาจารตาม ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 319
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 628/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับสารภาพและการพิจารณาความผิดฐานต่างๆ ศาลฎีกายกฟ้องฐานพรากผู้เยาว์และยืนตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์
จำเลยยื่นคำร้องขอถอนคำให้การเดิมขอให้การใหม่รับสารภาพศาลชั้นต้นจดคำให้การจำเลยที่รับสารภาพขึ้นใหม่ การที่ตัวจำเลยได้ลงชื่อในฐานะจำเลยลงในคำให้การและในรายงานกระบวนพิจารณาของศาลต่อหน้าศาลชั้นต้นนั้นเป็นการแสดงให้เห็นว่า จำเลยมีเจตนายื่นคำร้องให้การรับสารภาพผิดตามฟ้องโจทก์ใหม่ต่อศาลด้วยตัวของจำเลยโดยไม่ประสงค์ให้ทนายความที่แต่งตั้งทำแทนซึ่งย่อมกระทำได้เพราะทนายความที่จำเลยแต่งตั้งนั้นตามกฎหมายเพียงให้เข้ามาดำเนินกระบวนพิจารณาในศาลในฐานะตัวแทนของจำเลยเท่านั้น ฟ้องโจทก์ระบุว่า ผู้เสียหายอายุ 11 ปี 10 เดือน ทางพิจารณาปรากฏว่าผู้เสียหายอายุ 14 ปี 10 เดือน 16 วัน เมื่อตามฟ้องโจทก์ขอให้ลงโทษจำเลยตามมาตรา 277 วรรคแรก วรรคสอง และวรรคสามซึ่งตามวรรคแรกได้ระบุอายุของผู้เสียหายไว้ไม่เกิน 15 ปีข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในทางพิจารณาเกี่ยวกับเรื่องอายุของผู้เสียหายจึงไม่แตกต่างกับข้อเท็จจริงที่ปรากฏในฟ้องอันจะเป็นเหตุให้ศาลยกฟ้อง การที่จำเลยให้การรับสารภาพ เป็นการรับสารภาพว่าจำเลยได้กระทำตามฟ้องจริง ส่วนการกระทำตามฟ้องจะเป็นความผิดตามบทกฎหมายที่โจทก์ขอให้ลงโทษหรือไม่ เป็นอำนาจของศาลที่จะพิจารณาตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 185 แม้จำเลยจะมิได้ฎีกาในข้อหาความผิดฐานพรากผู้เยาว์แต่เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่า จำเลยมิได้มีเจตนาพรากผู้เสียหายไปจากผู้ปกครอง ศาลฎีกามีอำนาจยกฟ้องในข้อหาดังกล่าวตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 185 ประกอบมาตรา 215,225 ที่จำเลยฎีกาว่า ลายมือชื่อผู้ร้องทุกข์ในบันทึกคำร้องทุกข์หรือกล่าวโทษในคดีนี้เป็นลายมือชื่อปลอมนั้น เป็นการยกข้อเท็จจริงขึ้นใหม่ในชั้นฎีกา ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5669/2537 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพรากผู้เยาว์เพื่อการอนาจารและความรับผิดทางอาญา
การที่ขณะเกิดเหตุ ผู้เยาว์อายุ 16 ปีเศษอยู่ที่บ้านของผู้เสียหายซึ่งเป็นบิดาที่จังหวัดอุตรดิตถ์กับ อ. พี่ชายอายุ 18 ปี ผู้เสียหายฝากด. ซึ่งเช่าบ้านอยู่ติดกันเป็นผู้ดูแลและให้เงินเป็นค่าใช้จ่าย ส่วนผู้เสียหายไปทำงานที่กรุงเทพมหานครนั้น ไม่ทำให้อำนาจปกครองของผู้เสียหายหมดไปผู้เยาว์ยังคงอยู่ในอำนาจปกครองของผู้เสียหาย
การที่ผู้เยาว์ออกจากบ้านไปโดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้เสียหายซึ่งเป็นบิดา แล้วจำเลยพาผู้เยาว์ไปค้างคืนที่บ้านจำเลยตลอดมาเพราะรักใคร่ชอบพอกันฉันชู้สาว โดยผู้เยาว์เต็มใจไปด้วย ถือได้ว่า จำเลยพรากผู้เยาว์ไปเสียจากบิดาเป็นการล่วงละเมิดต่ออำนาจปกครองของผู้เสียหายขณะเกิดเหตุ จำเลยอายุ 31 ปี มีภรรยาและบุตรแล้ว ไม่มีเจตนาจะเลี้ยงดูผู้เยาว์เป็นภริยา การกระทำของจำเลยจึงเป็นการพรากผู้เยาว์ไปเพื่อการอนาจารจึงมีความผิดตาม ป.อ. มาตรา 319 วรรคแรก
การที่ผู้เยาว์ออกจากบ้านไปโดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้เสียหายซึ่งเป็นบิดา แล้วจำเลยพาผู้เยาว์ไปค้างคืนที่บ้านจำเลยตลอดมาเพราะรักใคร่ชอบพอกันฉันชู้สาว โดยผู้เยาว์เต็มใจไปด้วย ถือได้ว่า จำเลยพรากผู้เยาว์ไปเสียจากบิดาเป็นการล่วงละเมิดต่ออำนาจปกครองของผู้เสียหายขณะเกิดเหตุ จำเลยอายุ 31 ปี มีภรรยาและบุตรแล้ว ไม่มีเจตนาจะเลี้ยงดูผู้เยาว์เป็นภริยา การกระทำของจำเลยจึงเป็นการพรากผู้เยาว์ไปเพื่อการอนาจารจึงมีความผิดตาม ป.อ. มาตรา 319 วรรคแรก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5669/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
พรากผู้เยาว์เพื่อการอนาจาร: การกระทำความผิดทางอาญาต่อผู้เยาว์และการพิจารณาเหตุบรรเทาโทษ
ผู้เยาว์อายุ 16 ปีเศษ อยู่ที่บ้านของผู้เสียหายซึ่งเป็นบิดาที่ต่างจังหวัดกับพี่ชายซึ่งมีอายุ 18 ปี โดยผู้เสียหายฝาก ด.ซึ่งเช่าบ้านอยู่ติดกันเป็นผู้ดูแลและให้เงินเป็นค่าใช้จ่ายส่วนผู้เสียหายไปทำงานที่กรุงเทพมหานครไม่ทำให้อำนาจปกครองของผู้เสียหายหมดไป การที่ผู้เยาว์ออกจากบ้านไปโดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้เสียหายโดยผู้เยาว์เต็มใจไปด้วย แล้วจำเลยพาผู้เยาว์ไปค้างคืนอยู่ที่บ้านจำเลยตลอดมาเพราะรักใคร่ชอบพอกันฉันชู้สาว ถือได้ว่าจำเลยพรากผู้เยาว์อายุกว่าสิบห้าปีแต่ยังไม่เกินสิบแปดปีไปเสียจากบิดา ขณะเกิดเหตุจำเลยอายุ 31 ปี และมีภรรยากับบุตรแล้ว ไม่มีเจตนาจะเลี้ยงดูผู้เยาว์เป็นภริยา การกระทำของจำเลยจึงเป็นการพรากผู้เยาว์ไปเพื่อการอนาจารตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 319 วรรคแรก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5669/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพรากผู้เยาว์เพื่อการอนาจาร แม้ผู้เยาว์เต็มใจไปด้วย และผู้ดูแลไม่ได้หมดอำนาจปกครอง
การที่ขณะเกิดเหตุ ผู้เยาว์อายุ 16 ปีเศษอยู่ที่บ้านของผู้เสียหายซึ่งเป็นบิดาที่จังหวัดอุตรดิตถ์กับ อ. พี่ชายอายุ18 ปี ผู้เสียหายฝาก ด. ซึ่งเช่าบ้านอยู่ติดกันเป็นผู้ดูแลและให้เงินเป็นค่าใช้จ่าย ส่วนผู้เสียหายไปทำงานที่กรุงเทพมหานครนั้นไม่ทำให้อำนาจปกครองของผู้เสียหายหมดไปผู้เยาว์ยังคงอยู่ในอำนาจปกครองของผู้เสียหาย การที่ผู้เยาว์ออกจากบ้านไปโดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้เสียหายซึ่งเป็นบิดา แล้วจำเลยพาผู้เยาว์ไปค้างคืนที่บ้านจำเลยตลอดมาเพราะรักใคร่ชอบพอกันฉันชู้สาว โดยผู้เยาว์เต็มใจไปด้วย ถือได้ว่า จำเลยพรากผู้เยาว์ไปเสียจากบิดาเป็นการล่วงละเมิดต่ออำนาจปกครองของผู้เสียหายขณะเกิดเหตุ จำเลยอายุ 31 ปีมีภรรยาและบุตรแล้ว ไม่มีเจตนาจะเลี้ยงดูผู้เยาว์เป็นภริยา การกระทำของจำเลยจึงเป็นการพรากผู้เยาว์ไปเพื่อการอนาจารจึงมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 319 วรรคแรก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2245/2537 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
พรากผู้เยาว์เพื่ออนาจาร: แม้ยินยอมก็เป็นความผิดตาม ป.อ.มาตรา 319 และการพรากจากอำนาจปกครอง
ความผิดฐานพรากผู้เยาว์ไปเพื่อการอนาจาร มุ่งหมายถึงการพรากผู้เยาว์ไปเพื่อการอันไม่สมควรทางเพศ แม้การกระทำของจำเลยจะไม่เป็นความผิดฐานอนาจารเนื่องจากผู้เสียหายยินยอม แต่ก็เป็นความผิดฐานพรากผู้เยาว์ไปเพื่อการอนาจารได้ การที่จำเลยพาผู้เสียหายไปนอนค้างคืนที่ขนำในสวนโดยผู้เสียหายเต็มใจไปด้วย แล้วจำเลยได้กอดปล้ำ หอมแก้ม และจับหน้าอกผู้เสียหายถือได้ว่าจำเลยกระทำการอันไม่สมควรทางเพศต่อผู้เสียหาย จำเลยจึงมีความผิดฐานพรากผู้เสียหายไปเพื่อการอนาจารตาม ป.อ. มาตรา 319 วรรคแรก
แม้โจทก์จะฟ้องว่าจำเลยพรากผู้เยาว์โดยผู้เยาว์ไม่เต็มใจไปด้วย ตามมาตรา 318 แต่เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่าผู้เสียหายเต็มใจไปด้วยกับจำเลยอันเป็นกรณีตามมาตรา 319 ซึ่งมีโทษเบากว่า ศาลย่อมลงโทษจำเลยตามมาตรา 319 ได้ เพราะการพรากผู้เยาว์ไปเพื่อการอนาจาร จะโดยผู้เยาว์เต็มใจไปด้วยหรือไม่ก็ตาม ประมวลกฎหมายอาญาบัญญัติว่าเป็นความผิดทั้งสองกรณี
แม้บิดามารดาของผู้เสียหายจะออกไปนอกบ้านขณะที่ผู้เสียหายออกจากบ้านและจำเลยได้พาไปที่ขนำก็ตาม ยังถือว่าผู้เสียหายอยู่ในอำนาจปกครองของบิดามารดา การที่จำเลยพาผู้เสียหายไปที่ขนำ จึงเป็นการพรากผู้เสียหายไปจากบิดามารดาแล้ว
แม้โจทก์จะฟ้องว่าจำเลยพรากผู้เยาว์โดยผู้เยาว์ไม่เต็มใจไปด้วย ตามมาตรา 318 แต่เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่าผู้เสียหายเต็มใจไปด้วยกับจำเลยอันเป็นกรณีตามมาตรา 319 ซึ่งมีโทษเบากว่า ศาลย่อมลงโทษจำเลยตามมาตรา 319 ได้ เพราะการพรากผู้เยาว์ไปเพื่อการอนาจาร จะโดยผู้เยาว์เต็มใจไปด้วยหรือไม่ก็ตาม ประมวลกฎหมายอาญาบัญญัติว่าเป็นความผิดทั้งสองกรณี
แม้บิดามารดาของผู้เสียหายจะออกไปนอกบ้านขณะที่ผู้เสียหายออกจากบ้านและจำเลยได้พาไปที่ขนำก็ตาม ยังถือว่าผู้เสียหายอยู่ในอำนาจปกครองของบิดามารดา การที่จำเลยพาผู้เสียหายไปที่ขนำ จึงเป็นการพรากผู้เสียหายไปจากบิดามารดาแล้ว