พบผลลัพธ์ทั้งหมด 141 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2557/2531
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
พรากเด็กอายุไม่เกิน 13 ปี เพื่อการอนาจาร: การกระทำข่มขืนใจ พาไปในที่เปลี่ยว และมีเจตนาไม่ชอบ
ผู้เสียหายเป็นเด็กผู้หญิงอายุไม่เกิน 13 ปี นั่งรถโดยสารของจำเลยกลับบ้าน เมื่อจำเลยขับรถมาถึงปากซอยเข้าบ้านผู้เสียหาย ผู้เสียหายบอกให้จำเลยจอดรถเพื่อจะลง จำเลยไม่ยอมจอดรถให้ผู้เสียหายลง กลับขับรถที่มีแต่ผู้เสียหายนั่งอยู่ตามลำพังกับจำเลยไปในสถานที่เปลี่ยวซึ่งไม่ปรากฏว่ามีบ้านผู้ใดปลูกอยู่อาศัยบริเวณข้างทางเลย ทั้งสองข้างทางก็เป็นที่รกเต็มไปด้วยต้นไม้ต่าง ๆ และพูดขอดูอวัยวะเพศของผู้เสียหาย เมื่อผู้เสียหายกระโดดลงจากรถของจำเลย จำเลยยังขับรถแล่นไล่ตามดักหน้าดักหลังผู้เสียหาย พฤติการณ์ของจำเลยเป็นการข่มขืนใจและพาผู้เสียหายไปโดยความไม่สมัครใจของผู้เสียหาย เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 317 วรรคสาม.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5409/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาพิเศษในการพรากเด็กเพื่อหากำไร ถือเป็นความผิดฐานพรากเด็กตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 317 วรรคท้าย
การที่จำเลยพรากเด็กไปเพื่อให้ขอทานเงินและเก็บหาทรัพย์สิน มาให้จำเลย เป็นการกระทำไปเพื่อหาประโยชน์ในทางทรัพย์สิน อันเป็นเจตนาพิเศษในการพรากเด็ก จึงเป็นการกระทำเพื่อหากำไร เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 317วรรคท้าย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5409/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาพิเศษในการพรากเด็กไปขอทานถือเป็นความผิดฐานหากำไรตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 317 วรรคท้าย
การที่จำเลยพรากเด็กไปเพื่อให้ขอทานเงินและเก็บหาทรัพย์สิน มาให้จำเลย เป็นการกระทำไปเพื่อหาประโยชน์ในทางทรัพย์สิน อันเป็นเจตนาพิเศษในการพรากเด็ก จึงเป็นการกระทำเพื่อหากำไร เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 317วรรคท้าย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4591/2528
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพรากเด็กอายุไม่เกิน 13 ปี เพื่อการอนาจาร: พฤติการณ์เชิงชู้สาวเป็นเหตุสำคัญ
จำเลยซึ่งเป็นชายหนุ่มอายุ 22 ปีเศษ มีภริยาแล้ว พาผู้เสียหายซึ่งเป็นหญิงอายุ 12 ปี 11 เดือนเศษ นั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ไปเที่ยวยังสถานที่ต่างๆ ตกเย็นก็พากันเข้าพักนอนในโรงแรมห้องและเตียงเดียวกัน แม้จำเลยเพียงแต่จับมือถือแขนมิได้กอดจูบผู้เสียหาย แต่ก็ได้ความว่าเพื่อนที่ไปเที่ยวด้วยกันได้แยกพักที่โรงแรมคนละคู่และแต่ละคู่ต่างเป็นคนรักกันเช่นเดียวกับผู้เสียหายกับจำเลย แสดงว่าเป็นการกระทำไปในเชิงชู้สาว วันรุ่งขึ้นแทนที่จะพาผู้เสียหายกลับบ้านกลับพาไปอยู่ที่บ้านญาติของจำเลย จนบิดาผู้เสียหายตามไปพบ ดังนี้การกระทำของจำเลยเป็นการพรากผู้เสียหายไปจากบิดามารดาเพื่อการอนาจาร
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4063/2524
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพรากเด็กต้องพิจารณาจากสถานการณ์และการดูแลเด็ก หากเป็นการสงเคราะห์ให้ที่อยู่กิน และไม่มีเจตนาพรากเด็กจากผู้ดูแลย่อมไม่ถือว่าเป็นการพรากเด็ก
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยพรากเด็กไปจากบิดามารดาและ จ.ผู้ดูแลโดยไม่มีเหตุอันควร เมื่อทางพิจารณาได้ความว่าเด็กพลัดมารดา การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นการพรากเด็กจากบิดามารดา
ส่วน จ. ผู้ดูแลผู้ไปพบเด็ก มีอาชีพขับขี่รถสามล้อรับจ้าง อาศัยอยู่กับอาในกระท่อมหลังจวนผู้ว่าราชการจังหวัดบุตรภริยาอยู่ที่จังหวัดอื่นจ. มิได้แจ้งต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจหรือแจ้งให้บิดามารดาของเด็กทราบถึงการที่เด็กอยู่ในความดูแลของตน ทั้งความเป็นอยู่ของ จ.ก็ไม่อยู่ในฐานะที่จะรับเลี้ยงดูเด็กได้ การที่ จ.พาเด็กมาอยู่ด้วยจึงเป็นทำนองสงเคราะห์ให้ที่อยู่กินเท่านั้น ดังนั้น การที่ จ. มอบเด็กให้แก่จำเลยไป ยังถือไม่ได้ว่าจำเลยพรากเด็กไปจาก จ. ผู้ดูแล
ส่วน จ. ผู้ดูแลผู้ไปพบเด็ก มีอาชีพขับขี่รถสามล้อรับจ้าง อาศัยอยู่กับอาในกระท่อมหลังจวนผู้ว่าราชการจังหวัดบุตรภริยาอยู่ที่จังหวัดอื่นจ. มิได้แจ้งต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจหรือแจ้งให้บิดามารดาของเด็กทราบถึงการที่เด็กอยู่ในความดูแลของตน ทั้งความเป็นอยู่ของ จ.ก็ไม่อยู่ในฐานะที่จะรับเลี้ยงดูเด็กได้ การที่ จ.พาเด็กมาอยู่ด้วยจึงเป็นทำนองสงเคราะห์ให้ที่อยู่กินเท่านั้น ดังนั้น การที่ จ. มอบเด็กให้แก่จำเลยไป ยังถือไม่ได้ว่าจำเลยพรากเด็กไปจาก จ. ผู้ดูแล
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 911/2517 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพรากเด็กเพื่อเรียกค่าไถ่ โดยไม่มีเจตนาหาผลกำไร ทำให้ความผิดตามมาตรา 319 ไม่สำเร็จ
จำเลยใช้อุบายหลอกลวงเอาตัวผู้เสียหายไป แล้วมาหามารดาของผู้เสียหายเรียกเอาเงินค่าไถ่ตัวผู้เสียหาย เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 313 วรรคแรก เมื่อไม่ปรากฏว่าจำเลยมีเจตนาเพื่อหากำไรด้วย จึงไม่เป็นความผิดตามมาตรา 319 อีกบทหนึ่ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1190/2502 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพรากเด็กจากผู้ปกครองและการเพิ่มโทษทางอาญาหลังพ้นโทษ
จำเลยเป็นลูกจ้างมีหน้าที่เป็นคนครัวซักเสื้อผ้าและอื่น ๆ ภายในบ้าน ถ้ามีเวลาว่างจึงช่วยดูแลเด็ก จำเลยได้นำเด็กอายุ 10 เดือน ซึ่งเป็นลูกของนายจ้างไปฝากผู้มีชื่อไว้โดยจำเลยอ้างว่าเป็นบุตรของจำเลยเอง เช่นนี้ การกระทำของจำเลยเป็นการพรากเด็กไปเสียจากผู้ปกครองตาม มาตรา 317 ส่วน มาตรา 306, 307 เป็นเรื่องทอดทิ้งเด็กไว้ ไม่ใช่การพาไปหรือพรากไป
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1190/2502
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพรากเด็กจากผู้ปกครอง: จำเลยในฐานะลูกจ้างนำเด็กไปฝากบุคคลอื่นโดยอ้างว่าเป็นบุตรตนเองเข้าข่ายความผิดตามมาตรา 317
จำเลยเป็นลูกจ้าง มีหน้าที่เป็นคนครัวซักเสื้อผ้าและอื่นๆ ภายในบ้าน ถ้ามีเวลาว่างจึงช่วยดูแลเด็ก จำเลยได้นำเด็กอายุ10 เดือน ซึ่งเป็นลูกของนายจ้างไปฝากผู้มีชื่อไว้โดยจำเลยอ้างว่าเป็นบุตรของจำเลยเอง เช่นนี้ การกระทำของจำเลยเป็นการพรากเด็กไปเสียจากผู้ปกครองตามมาตรา 317 ส่วน มาตรา 306,307 เป็นเรื่องทอดทิ้งเด็กไว้ ไม่ใช่การพาไปหรือพรากไป
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 10272/2559
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพรากเด็กเพื่ออนาจารและการยินยอมของผู้เสียหายเยาวชน ศาลพิจารณาโทษและการคุมประพฤติ
พฤติการณ์ที่จำเลยเป็นฝ่ายโทรศัพท์นัดหมายผู้เสียหายที่ 1 แล้วขับรถจักรยานยนต์พา อ. นั่งซ้อนท้ายไปรับผู้เสียหายที่ 1 หน้าโรงเรียนและพาออกนอกเส้นทางไปที่ร้านถ่ายรูป และไปขายบริการที่โรงแรมก็ดี และมีการรับตัวผู้เสียหายที่ 1 ไปพักที่บ้าน ด. ก็ดี แล้วผู้เสียหายที่ 1 ถูก อ. กระทำชำเราล้วนบ่งชี้ให้เห็นว่า จำเลยกับ อ. ได้นัดกันไว้แล้วล่วงหน้า แม้ผู้เสียหายที่ 1 จะยินยอมสมัครใจเดินทางไปทุกหนแห่งกับจำเลยและ อ. รวมทั้งยินยอมให้ อ. กระทำชำเราก็ตาม แต่ผู้เสียหายที่ 2 ซึ่งเป็นมารดาของผู้เสียหายที่ 1 มิได้ตกลงยินยอมด้วย การกระทำของจำเลยจึงเป็นการก้าวล่วง กระทบกระเทือนต่ออำนาจปกครองของผู้เสียหายที่ 2 และขณะเกิดเหตุผู้เสียหายที่ 1 อายุเพียง 14 ปีเศษ ความยินยอมของผู้เสียหายที่ 1 หาได้มีผลทำให้การกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิดแต่อย่างใดไม่ พฤติการณ์ของจำเลยมีลักษณะเป็นการแบ่งหน้าที่กันทำระหว่างจำเลยกับพวก การกระทำของจำเลยจึงเป็นตัวการร่วมกระทำความผิด ฐานพรากเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเสียจากบิดามารดา ผู้ปกครอง หรือผู้ดูแล เพื่อการอนาจารและร่วมกันพาเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเพื่อการอนาจาร หาใช่เป็นเพียงผู้สนับสนุนไม่
ขณะกระทำความผิดจำเลยอายุ 14 ปีเศษ ไม่ต้องรับโทษ ศาลล่างทั้งสองใช้ดุลพินิจส่งตัวจำเลยไปรับการฝึกและอบรมที่ศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชนเขต 2 (จังหวัดราชบุรี) มีกำหนดขั้นต่ำ 1 ปี ขั้นสูง 2 ปี แต่ไม่เกินกว่าจำเลยมีอายุสิบแปดปี ตาม ปอ. มาตรา 74 (5) โดยมีเจตนารมณ์เพื่อแก้ไขปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของจำเลยให้กลับตนเป็นคนดี แต่ปรากฏว่าในระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา จำเลยมีอายุครบสิบแปดปี ศาลจึงไม่อาจส่งตัวจำเลยไปรับการฝึกและอบรมได้ จึงสมควรที่จะดำเนินการแก่จำเลยตาม ป.อ. มาตรา 74 ประการอื่นที่เหมาะสมแก่จำเลย โดยเห็นว่าควรมอบตัวจำเลยให้มารดา หรือผู้ปกครองซึ่งยังสามารถดูแลจำเลยได้ไป โดยวางข้อกำหนดให้มารดาหรือผู้ปกครองปฏิบัติตามและเพื่อให้จำเลยหลาบจำตามมาตรา 74 (2) เห็นสมควรกำหนดวิธีการและเงื่อนไขเพื่อคุมประพฤติจำเลยตามมาตรา 74 (3) ด้วย
ขณะกระทำความผิดจำเลยอายุ 14 ปีเศษ ไม่ต้องรับโทษ ศาลล่างทั้งสองใช้ดุลพินิจส่งตัวจำเลยไปรับการฝึกและอบรมที่ศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชนเขต 2 (จังหวัดราชบุรี) มีกำหนดขั้นต่ำ 1 ปี ขั้นสูง 2 ปี แต่ไม่เกินกว่าจำเลยมีอายุสิบแปดปี ตาม ปอ. มาตรา 74 (5) โดยมีเจตนารมณ์เพื่อแก้ไขปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของจำเลยให้กลับตนเป็นคนดี แต่ปรากฏว่าในระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา จำเลยมีอายุครบสิบแปดปี ศาลจึงไม่อาจส่งตัวจำเลยไปรับการฝึกและอบรมได้ จึงสมควรที่จะดำเนินการแก่จำเลยตาม ป.อ. มาตรา 74 ประการอื่นที่เหมาะสมแก่จำเลย โดยเห็นว่าควรมอบตัวจำเลยให้มารดา หรือผู้ปกครองซึ่งยังสามารถดูแลจำเลยได้ไป โดยวางข้อกำหนดให้มารดาหรือผู้ปกครองปฏิบัติตามและเพื่อให้จำเลยหลาบจำตามมาตรา 74 (2) เห็นสมควรกำหนดวิธีการและเงื่อนไขเพื่อคุมประพฤติจำเลยตามมาตรา 74 (3) ด้วย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4902/2558
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความฟ้องคดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาพรากเด็ก และขอบเขตค่าเสียหายที่เรียกได้
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยพรากเด็กชาย ม. ซึ่งมีอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเสียจากโจทก์ซึ่งเป็นบิดาผู้ใช้อำนาจปกครองและหน่วงเหนี่ยวกักขังเด็กชาย ม. ให้ปราศจากเสรีภาพในร่างกาย ซึ่งโจทก์เป็นผู้เสียหายในความผิดที่จำเลยพรากเด็กชาย ม. ซึ่งมีอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปจากโจทก์ โจทก์จึงฟ้องจำเลยให้รับผิดในทางแพ่งฐานละเมิดโดยอาศัยมูลคดีอาญาความผิดดังกล่าว อันเป็นการฟ้องคดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา แม้พนักงานอัยการยื่นฟ้องคดีอาญาจำเลยเฉพาะความผิดฐานหน่วงเหนี่ยวกักขังหรือกระทำด้วยประการใดให้ผู้อื่นปราศจากเสรีภาพในร่างกาย ไม่ได้ฟ้องจำเลยในความผิดฐานพรากเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเสียจากบิดามารดา ผู้ปกครอง หรือผู้ดูแล และคดีอาญาดังกล่าวถึงที่สุดโดยข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติว่าจำเลยกระทำความผิดฐานหน่วงเหนี่ยวกักขังก็ตาม แต่การกระทำของจำเลยที่หน่วงเหนี่ยวกักขังเด็กชาย ม. ให้ปราศจากเสรีภาพโดยไม่ได้รับความยินยอมจากโจทก์ผู้ใช้อำนาจปกครองย่อมเป็นการพาและแยกเด็กชาย ม. ไปจากความปกครองดูแลของโจทก์ทำให้ความปกครองดูแลของโจทก์ที่มีต่อเด็กชาย ม. ถูกรบกวนหรือถูกกระทบกระเทือน การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานพรากเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเสียจากบิดามารดา ผู้ปกครอง หรือผู้ดูแลด้วย เมื่อมูลคดีนี้ไม่มีผู้ใดฟ้องจำเลยทางอาญา สิทธิของโจทก์ที่จะฟ้องจำเลยทางแพ่งเนื่องจากความผิดนั้นต้องนำ ป.วิ.อ. มาตรา 51 วรรคหนึ่ง ประกอบ ป.พ.พ. มาตรา 448 วรรคสอง มาใช้บังคับ การกระทำของจำเลยเป็นความผิดตาม ป.อ. มาตรา 317 วรรคแรก มีอายุความทางอาญา 15 ปี ตาม ป.อ. มาตรา 95 (2) ซึ่งเป็นกำหนดอายุความที่ยาวกว่าอายุความทางแพ่งในมูลละเมิด จึงต้องเอาอายุความ 15 ปี มาใช้บังคับ จำเลยกระทำละเมิดเมื่อวันที่ 3 ธันวาคม 2550 และโจทก์นำคดีมาฟ้องเมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2554 ยังไม่พ้นกำหนด 15 ปี ฟ้องโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ