พบผลลัพธ์ทั้งหมด 154 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3085/2531
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิสูจน์ความผิดทางอาญาต้องอาศัยพยานหลักฐานที่ชัดเจนและผู้เสียหายเบิกความต่อหน้าศาล คำให้การในชั้นสอบสวนไม่เพียงพอ
โจทก์มีหน้าที่นำพยานหลักฐานมาสืบให้รับฟังได้ โดยปราศจากข้อสงสัยว่าจำเลยกระทำผิดตามฟ้อง เมื่อโจทก์ไม่สามารถนำผู้เสียหายซึ่งเป็นประจักษ์พยานมาเบิกความต่อศาลและต่อหน้าจำเลย จำเลยย่อมไม่มีโอกาสถามค้านเพื่อให้ข้อเท็จจริงเป็นที่กระจ่างชัดแก่ศาลได้ ลำพังแต่คำให้การชั้นสอบสวนของผู้เสียหายไม่อาจรับฟังลงโทษจำเลยได้
สำหรับคำรับสารภาพของจำเลยในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวน รวมทั้งบันทึกการนำชี้ที่เกิดเหตุประกอบคำรับสารภาพและถ่ายภาพเท่านั้นเมื่อจำเลยต่อสู้ว่าถูกขู่เข็ญและให้การรับสารภาพเพราะกลัว ดังนี้ไม่พอฟังลงโทษจำเลยได้.
สำหรับคำรับสารภาพของจำเลยในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวน รวมทั้งบันทึกการนำชี้ที่เกิดเหตุประกอบคำรับสารภาพและถ่ายภาพเท่านั้นเมื่อจำเลยต่อสู้ว่าถูกขู่เข็ญและให้การรับสารภาพเพราะกลัว ดังนี้ไม่พอฟังลงโทษจำเลยได้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2750/2531 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำรับสารภาพโดยสมัครใจเป็นหลักฐานสำคัญในการพิสูจน์ความผิดฐานลักทรัพย์
จำเลยให้การรับสารภาพชั้นจับกุมชั้นสอบสวนและนำชี้ที่เกิดเหตุประกอบคำรับสารภาพด้วยความสมัครใจ ทั้งยังรับต่อผู้เสียหายว่าได้เอาทรัพย์ของผู้เสียหายไปจริงซึ่งจำเลยมิได้นำสืบปฏิเสธคำรับในข้อนี้ พยานหลักฐานโจทก์ประกอบกันรับฟังลงโทษจำเลยฐานลักทรัพย์ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2535/2531 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิสูจน์ความผิดฐานมีอาวุธปืนและพาอาวุธปืนโดยไม่ได้รับอนุญาต จำเลยต้องรับผิดเมื่อโจทก์ไม่นำสืบหลักฐาน
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยมีอาวุธปืนโดยไม่ได้รับอนุญาตและพาอาวุธปืนไปในทางสาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาต จำเลยให้การปฏิเสธ โจทก์จึงต้องมีหน้าที่นำสืบให้ได้ความตามฟ้อง เมื่อโจทก์มิได้นำสืบให้ได้ความว่าอาวุธปืนสั้นกระบอกที่จำเลยใช้ทำการชิงทรัพย์ผู้เสียหายเป็นอาวุธปืนที่จำเลยมิได้รับอนุญาตจากนายทะเบียนท้องที่ตามกฎหมาย และจำเลยมิได้รับใบอนุญาตให้มีอาวุธปืนติดตัวทั้งมิได้นำอาวุธปืนกระบอกดังกล่าวมาเป็นหลักฐาน แม้จำเลยจะมิได้นำสืบปฏิเสธว่า อาวุธปืนกระบอกดังกล่าวจำเลยได้รับอนุญาตจากนายทะเบียนแล้วและจำเลยได้รับใบอนุญาตให้มีอาวุธปืนติดตัว ก็ไม่อาจลงโทษจำเลยในความผิดสองฐานนี้ตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ ได้
เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาเพียงว่า จำเลยมีความผิดฐานพาอาวุธปืนไปตามทางสาธารณะโดยไม่มีใบอนุญาตตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ มาตรา 8 ทวิ, 72 ทวิ ซึ่งแก้ไขใหม่แล้วเพียงบทเดียวโดยมิได้ปรับบทความผิดว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 371 อีกบทหนึ่งจึงเท่ากับยกฟ้องมาตรานี้ การที่โจทก์มิได้อุทธรณ์ขอให้ปรับบทลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 371 อีกบทหนึ่งให้ถูกต้อง ข้อหาตามมาตราดังกล่าวจึงยุติตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น โจทก์จะฎีกาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 371 มิได้ เพราะมิได้ยกขึ้นว่ากล่าวกันมาในศาลอุทธรณ์ศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัยฎีกาโจทก์ข้อนี้ให้
เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาเพียงว่า จำเลยมีความผิดฐานพาอาวุธปืนไปตามทางสาธารณะโดยไม่มีใบอนุญาตตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ มาตรา 8 ทวิ, 72 ทวิ ซึ่งแก้ไขใหม่แล้วเพียงบทเดียวโดยมิได้ปรับบทความผิดว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 371 อีกบทหนึ่งจึงเท่ากับยกฟ้องมาตรานี้ การที่โจทก์มิได้อุทธรณ์ขอให้ปรับบทลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 371 อีกบทหนึ่งให้ถูกต้อง ข้อหาตามมาตราดังกล่าวจึงยุติตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น โจทก์จะฎีกาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 371 มิได้ เพราะมิได้ยกขึ้นว่ากล่าวกันมาในศาลอุทธรณ์ศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัยฎีกาโจทก์ข้อนี้ให้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2535/2531
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิสูจน์ความผิดฐานมีอาวุธปืนและพาอาวุธปืนโดยไม่ได้รับอนุญาต จำเลยต้องรับผิดเมื่อโจทก์มิได้พิสูจน์การครอบครองอาวุธปืน
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยมีอาวุธปืนโดยไม่ได้รับอนุญาตและพาอาวุธปืนไปในทางสาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาต จำเลยให้การปฏิเสธ โจทก์จึงต้องมีหน้าที่นำสืบให้ได้ความตามฟ้อง เมื่อโจทก์มิได้นำสืบให้ได้ความว่าอาวุธปืนสั้นกระบอกที่จำเลยใช้ทำการชิงทรัพย์ผู้เสียหายเป็นอาวุธปืนที่จำเลยมิได้รับอนุญาตจากนายทะเบียนท้องที่ตามกฎหมาย และจำเลยมิได้รับใบอนุญาตให้มีอาวุธปืนติดตัวทั้งมิได้นำอาวุธปืนกระบอกดังกล่าวมาเป็นหลักฐาน แม้จำเลยจะมิได้นำสืบปฏิเสธว่า อาวุธปืนกระบอกดังกล่าวจำเลยได้รับอนุญาตจากนายทะเบียนแล้วและจำเลยได้รับใบอนุญาตให้มีอาวุธปืนติดตัว ก็ไม่อาจลงโทษจำเลยในความผิดสองฐานนี้ตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ ได้
เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาเพียงว่า จำเลยมีความผิดฐานพาอาวุธปืนไปตามทางสาธารณะโดยไม่มีใบอนุญาตตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ มาตรา 8 ทวิ,72 ทวิ ซึ่งแก้ไขใหม่แล้วเพียงบทเดียวโดยมิได้ปรับบทความผิดว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 371 อีกบทหนึ่งจึงเท่ากับยกฟ้องมาตรานี้ การที่โจทก์มิได้อุทธรณ์ขอให้ปรับบทลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 371 อีกบทหนึ่งให้ถูกต้อง ข้อหาตามมาตราดังกล่าวจึงยุติตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น โจทก์จะฎีกาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 371 มิได้ เพราะมิได้ยกขึ้นว่ากล่าวกันมาในศาลอุทธรณ์ศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัยฎีกาโจทก์ข้อนี้ให้.
เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาเพียงว่า จำเลยมีความผิดฐานพาอาวุธปืนไปตามทางสาธารณะโดยไม่มีใบอนุญาตตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ มาตรา 8 ทวิ,72 ทวิ ซึ่งแก้ไขใหม่แล้วเพียงบทเดียวโดยมิได้ปรับบทความผิดว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 371 อีกบทหนึ่งจึงเท่ากับยกฟ้องมาตรานี้ การที่โจทก์มิได้อุทธรณ์ขอให้ปรับบทลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 371 อีกบทหนึ่งให้ถูกต้อง ข้อหาตามมาตราดังกล่าวจึงยุติตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น โจทก์จะฎีกาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 371 มิได้ เพราะมิได้ยกขึ้นว่ากล่าวกันมาในศาลอุทธรณ์ศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัยฎีกาโจทก์ข้อนี้ให้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2081/2531
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำบอกเล่าผู้ตายก่อนเสียชีวิตไม่เพียงพอพิสูจน์ความผิดจำเลย แม้มีพยาน แต่ข้อมูลขัดแย้ง ศาลฎีกายกฟ้อง
คำบอกเล่าของผู้ตายเพียงปากเดียว แม้จะพูดในขณะรู้ตัวว่าจะตาย ถ้าไม่มีพยานอื่นประกอบให้น่าเชื่อ ก็ไม่อาจรับฟังลงโทษจำเลยได้
ฎีการะบุว่าจำเลยทั้งสองเป็นผู้ฎีกา แต่จำเลยที่ 1 ลงลายมือชื่อเป็นผู้ฎีกาแต่ผู้เดียว กรณีจึงต้องฟังว่าจำเลยที่ 1 เท่านั้นฎีกา เมื่อพยานหลักฐานโจทก์ไม่พอฟังว่าจำเลยทั้งสองเป็นคนร้าย ย่อมมีผลไปถึงจำเลยที่ 2 ที่มิได้ฎีกาด้วยเพราะเป็นเหตุอยู่ในส่วนลักษณะคดี ศาลฎีกาย่อมมีอำนาจยกฟ้องตลอดไปถึงจำเลยที่ 2 ด้วยตาม ป.วิ.อ. มาตรา 213 ประกอบด้วย มาตรา225.(ที่มา-ส่งเสริมฯ)
ฎีการะบุว่าจำเลยทั้งสองเป็นผู้ฎีกา แต่จำเลยที่ 1 ลงลายมือชื่อเป็นผู้ฎีกาแต่ผู้เดียว กรณีจึงต้องฟังว่าจำเลยที่ 1 เท่านั้นฎีกา เมื่อพยานหลักฐานโจทก์ไม่พอฟังว่าจำเลยทั้งสองเป็นคนร้าย ย่อมมีผลไปถึงจำเลยที่ 2 ที่มิได้ฎีกาด้วยเพราะเป็นเหตุอยู่ในส่วนลักษณะคดี ศาลฎีกาย่อมมีอำนาจยกฟ้องตลอดไปถึงจำเลยที่ 2 ด้วยตาม ป.วิ.อ. มาตรา 213 ประกอบด้วย มาตรา225.(ที่มา-ส่งเสริมฯ)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4092/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิสูจน์ความผิดฐานมีอาวุธปืน และการลงโทษจำเลยในความผิดฐานฆ่าคนโดยเจตนาในหมู่บ้าน
แม้ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายถึงแก่ความตายแต่การที่ศาลจะลงโทษจำเลยในข้อหามีและ พาอาวุธปืน ฯ โดยมิได้รับอนุญาตตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน ฯ นั้นโจทก์มีหน้าที่นำสืบให้เห็นว่าจำเลยกระทำผิดจริงเมื่อโจทก์มิได้นำสืบว่าจำเลยกระทำผิดตามพระราชบัญญัติดังกล่าวอย่างไร ปืนที่จำเลยใช้กระทำผิดเป็นปืนมีทะเบียนหรือไม่ไม่อาจทราบได้ จึงลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน ฯ ไม่ได้ แต่ปรากฏว่าบริเวณที่เกิดเหตุอยู่ในหมู่บ้าน ศาลย่อมลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 371 ได้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2298/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
พยานหลักฐานแวดล้อมและการยอมรับในชั้นสอบสวนเพียงพอพิสูจน์ความผิดฐานฆ่าผู้อื่น แม้ไม่มีพยานเห็นเหตุการณ์โดยตรง
โจทก์ไม่มีประจักษ์พยานเบิกความยืนยันว่าจำเลยเป็นผู้ใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายแต่โจทก์มีพยานพฤติเหตุแวดล้อมกรณีเชื่อได้ว่าก่อนเกิดเหตุเล็กน้อยและในขณะเกิดเหตุยิงกันจำเลยอยู่กับผู้ตายเพียงสองคนที่บ้านของจำเลย หลังเกิดเหตุแล้วจำเลยหลบหนีไปทันที ชั้นสอบสวนจำเลยยอมรับว่าหลบหนีไปเพราะจำเลยเป็นผู้ยิงผู้ตายถึงแก่ความตาย พยานหลักฐานโจทก์ประกอบกันรับฟังลงโทษจำเลยฐานฆ่าผู้ตายได้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 680/2529
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การประทับตราไม้และการพิสูจน์ความผิดฐานตัดไม้โดยไม่ได้รับอนุญาต ศาลฎีกายกฟ้องจำเลยทั้งหมด
ป่าที่เกิดเหตุเป็นเขตที่ดินจัดสรรซึ่งจะให้ราษฎรเข้าอยู่อาศัยกรมป่าไม้มีหนังสือถึงผู้ว่าราชการจังหวัดให้ดำเนินการอนุญาตให้องค์การอุตสาหกรรมป่าไม้เป็นผู้ทำไม้ออกจากป่า.ป่าไม้จังหวัดมีคำสั่งให้จำเลยที่3พนักงานป่าไม้ประจำสำนักงานป่าไม้อำเภอไปดำเนินการตรวจวัดประทับตราอนุญาตชักลากเมื่อจำเลยที่3ประทับตราชักลากที่ไม้ซึ่งมีรอยตราอนุญาตให้ตัดฟันจำเลยจึงไม่มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา157และเป็นเหตุในลักษณะคดีซึ่งต่อเนื่องไปถึงความผิดของจำเลยที่1ซึ่งได้รับอนุญาตจากองค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ให้ทำไม้ออกจากป่าและจำเลยที่2พนักงานขององค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ผู้ควบคุมการทำไม้ให้ไม่มีความผิดไปด้วยศาลฎีกาย่อมมีอำนาจพิพากษายกฟ้องตลอดไปถึงจำเลยที่1ที่2ซึ่งมิได้ฎีกาด้วยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา213,225.(ที่มา-เนติฯ)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 676/2529 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิสูจน์ความผิดอาญาต้องมีพยานหลักฐานชัดเจน คำรับสารภาพที่ไม่สอดคล้องกับพยานแวดล้อมใช้ลงโทษไม่ได้
คดีความผิดฐานฆ่าและพยายามฆ่าผู้อื่นซึ่งมีอัตราโทษสูงแม้จำเลยจะให้การรับสารภาพต่อศาลโจทก์ก็ยังต้องนำพยานมาสืบให้เป็นที่พอใจศาลว่าจำเลยเป็นผู้กระทำผิดจริงศาลจึงจะลงโทษจำเลยได้ลำพังคำรับสารภาพนอกศาลแต่ในชั้นศาลจำเลยให้การปฏิเสธย่อมไม่มีน้ำหนักเพียงพอให้ศาลรับฟังลงโทษจำเลยได้การที่โจทก์ส่งคำให้การพยานชั้นสอบสวนแต่นำตัวพยานมาเบิกความต่อศาลไม่ได้จำเลยไม่มีโอกาสซักค้านพยานดังกล่าวคำให้การพยานในชั้นสอบสวนจึงไม่มีน้ำหนัก.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 711/2528
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิสูจน์ความผิดฐานลักทรัพย์หรือรับของโจร โจทก์ต้องสืบพยานให้ชัดเจนถึงฐานความผิด
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยกระทำผิดฐานลักทรัพย์หรือรับของโจร แสดงว่าโจทก์ประสงค์ขอให้ลงโทษจำเลยในข้อหาใดข้อหาหนึ่งเพียงข้อหาเดียว เพราะเป็นความผิดคนละฐานกัน จะลงโทษจำเลยทั้งสองฐานความผิดย่อมไม่ได้ คำให้การรับสารภาพของจำเลยที่ว่าได้กระทำผิดตามฟ้องโจทก์จริง ไม่ชัดเจนพอจะชี้ขาดว่าจำเลยได้กระทำผิดฐานใด จึงเป็นหน้าที่โจทก์จะต้องสืบพยานให้ได้ความถึงการกระทำผิดของจำเลยเมื่อโจทก์ไม่สืบพยานก็ลงโทษจำเลยไม่ได้ (อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 819/2513 ประชุมใหญ่)