พบผลลัพธ์ทั้งหมด 125 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 281/2522
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบรรยายฟ้องคดีละเมิดและการระบุอาณาเขตที่ดิน ฟ้องไม่เคลือบคลุมแม้ไม่ระบุรายละเอียดทั้งหมด
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยปลูกบ้านเนื้อที่ประมาณ 10ตารางวาในที่ดินของโจทก์โฉนดหมายเลข 7083ตำบลสี่แยกมหานาค(ดุสิต) อำเภอดุสิต กรุงเทพมหานคร โดยไม่มีนิติสัมพันธ์กับโจทก์เป็นการละเมิดขอให้ขับไล่แม้จะไม่ระบุอาณาเขตที่ดินของโจทก์มาว่าทิศเหนือทิศใต้ ทิศตะวันออก และทิศตะวันตก จดเขตที่ดินของใครจำเลยก็อาจเข้าใจข้อหาในฟ้องได้ชัดเจนแล้วฟ้องโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1689/2522
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องชัดเจน สัญญาเงินกู้และจำนองไม่เคลือบคลุม แม้รายละเอียดบางส่วนต้องสืบเพิ่มเติม
โจทก์ฟ้องให้จำเลยชำระหนี้ตามสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีที่จำเลยทำไว้กับโจทก์และบังคับจำนอง โดยฟ้องกล่าวถึงจำเลยทำสัญญาจำนองที่ดินเพื่อประกันหนี้ที่จำเลยมีต่อโจทก์ และจำเลยทำสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีไว้กับโจทก์เมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 2514 จำนวนเงินไม่เกิน 20,000 บาท กำหนดชำระภายใน 6 เดือนนับแต่วันทำสัญญากำหนดส่งดอกเบี้ยภายในวันที่ 5 ของทุกเดือน หากผิดนัดไม่ชำระดอกเบี้ยตามกำหนด ยอมให้คิดดอกเบี้ยที่ค้างชำระทบต้นเข้ากับเงินที่เบิกเกินบัญชีโดยเสียดอกเบี้ยตามวิธีและอัตราดังกล่าวตามสำเนาสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชี เอกสารท้ายฟ้อง ซึ่งในเอกสารดังกล่าวมีข้อความว่าจำเลยยอมให้ดอกเบี้ยโจทก์ร้อยละสิบสี่ต่อปี และบรรยายต่อไปว่าเมื่อจำเลยนำสัญญาจำนองและเบิกเงินเกินบัญชีแล้ว จำเลยผิดสัญญาไม่ชำระดอกเบี้ยและต้นเงินแก่โจทก์รวมทั้งต้นเงินและดอกเบี้ยที่จำเลยเป็นหนี้โจทก์คิดเพียงวันที่ 7 กันยายน 2520 เป็นเงิน 63,256.29 บาท ซึ่งเป็นที่เข้าใจได้ว่าโจทก์ฟ้องให้จำเลยชำระหนี้ตามสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีนับแต่วันที่ 7 ธันวาคม 2514 ตลอดมาจนถึงวันที่ 7 กันยายน 2520 โดยคิดดอกเบี้ยร้อยละสิบสี่ต่อปี และคิดดอกเบี้ยที่ผิดนัดทบเข้ากับต้นเงินเมื่อรวมกันทั้งหมดแล้วจำเลยเป็นหนี้โจทก์รวม 63,256.29 บาท ฟ้องของโจทก์ดังกล่าวได้แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาของโจทก์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 แล้ว ส่วนที่ว่าจำเลยเบิกเงินจากโจทก์เมื่อไร จำนวนเท่าใด คิดดอกเบี้ยจากยอดต้นเงินเท่าใด คิดจากวันไหนถึงวันไหนนั้นเป็นรายละเอียดที่จะต้องนำสืบ เมื่อมีประเด็นโต้เถียงกัน แม้โจทก์ไม่บรรยายข้อความดังกล่าวในคำฟ้องและไม่แสดงบัญชีเดินสะพัด ฟ้องโจทก์ก็ไม่เคลือบคลุม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 895/2521 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้อง, ฟ้องไม่เคลือบคลุม, กำหนดเวลาชำระหนี้, ผิดนัดชำระหนี้, การโต้แย้งคำพิพากษา
โจทก์ฟ้องเรียกค่าสินค้าที่จำเลยค้างชำระ โดยบรรยายฟ้องเกี่ยวกับชนิดและจำนวนสินค้าที่จำเลยสั่งซื้อพร้อมทั้งราคาและในเงื่อนไขการชำระเงิน ตลอดจนสถานที่ที่ให้โจทก์จัดส่งมอบสินค้าให้จำเลยโดยละเอียด พอที่จำเลยเข้าใจได้เป็นอย่างเดียวแล้ว ฟ้องโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม
โจทก์จำเลยตกลงกันว่า การชำระเงินค่าสินค้านั้นจำเลยจะต้องชำระภายในกำหนด 45 วันนับตั้งแต่วันสั่งของเสร็จ ถือได้ว่าการชำระหนี้รายนี้มีกำหนดเวลาชำระที่แน่นอนแล้วเมื่อจำเลยไม่ชำระหนี้ตามกำหนด ถือได้ว่าจำเลยผิดนัด โจทก์ไม่ต้องทวงถามอีก
จำเลยอุทธรณ์ว่า คำวินิจฉัยของศาลชั้นต้นในส่วนจำนวนสินค้าและราคายังคลาดเคลื่อนเป็นอันมากโดยไม่ได้โต้แย้งคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทรณ์ที่ไม่ได้รับวินิจฉัยให้นั้นว่าไม่ถูกต้องอย่างไรจึงไม่ชอบด้วยมาตรา 249 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งที่แก้ไขเพิ่มเติมโดยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ 6 ) พ.ศ. 2518 มาตรา 7 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
โจทก์จำเลยตกลงกันว่า การชำระเงินค่าสินค้านั้นจำเลยจะต้องชำระภายในกำหนด 45 วันนับตั้งแต่วันสั่งของเสร็จ ถือได้ว่าการชำระหนี้รายนี้มีกำหนดเวลาชำระที่แน่นอนแล้วเมื่อจำเลยไม่ชำระหนี้ตามกำหนด ถือได้ว่าจำเลยผิดนัด โจทก์ไม่ต้องทวงถามอีก
จำเลยอุทธรณ์ว่า คำวินิจฉัยของศาลชั้นต้นในส่วนจำนวนสินค้าและราคายังคลาดเคลื่อนเป็นอันมากโดยไม่ได้โต้แย้งคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทรณ์ที่ไม่ได้รับวินิจฉัยให้นั้นว่าไม่ถูกต้องอย่างไรจึงไม่ชอบด้วยมาตรา 249 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งที่แก้ไขเพิ่มเติมโดยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ 6 ) พ.ศ. 2518 มาตรา 7 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 417/2520
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้อง, ฟ้องไม่เคลือบคลุม, อายุความสัญญาสลากกินแบ่ง: การส่งมอบสลากเพื่อขายต่อและข้อยกเว้นอายุความ
จำเลยทำสัญญาซื้อสลากกินแบ่งรัฐบาลกับผู้ว่าราชการจังหวัดซึ่งกระทำในนามของจังหวัด ถือได้ว่าจำเลยได้ทำสัญญากับจังหวัด ดังนั้น จังหวัดโดยผู้ว่าราชการจังหวัดจึงมีอำนาจฟ้องจำเลย
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยขาดส่งเงินค่าสลากกินแบ่งรวม 14 งวด แต่บรรยายงวดที่ขาดส่งเพียง 10 งวด ส่วนอีก 4 งวด บรรยายว่าจำเลยนำเงินหลายๆ งวดรวมส่งเข้าบัญชีในคราวเดียวกัน โดยมิได้แยกว่าเป็นเงินงวดใดบ้างนั้นจำเลยพอเข้าใจข้อความแห่งข้อหาแล้ว ไม่เป็นฟ้องที่เคลือบคลุม
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 165(5) ที่กำหนดให้มีอายุความ 2 ปี นั้น ได้บัญญัติเฉพาะบุคคลจำพวกที่ขายตั๋วสลากกินแบ่งเรียกเอาเงินค่าที่ได้ขายตั๋วแต่ถ้าเป็นการที่ได้ส่งมอบตั๋วเพียงสำหรับให้ขายต่อไปแล้วก็เข้าข้อยกเว้น ไม่อยู่ในบังคับอายุความ 2 ปี แต่มีอายุความ5 ปี ตามวรรคสุดท้าย โจทก์ส่งมอบสลากกินแบ่งให้จำเลยไปขายอีกต่อหนึ่ง กรณีจึงเข้าข้อยกเว้นดังกล่าว เมื่อนับเงินค้างงวดแรกถึงวันฟ้องยังไม่ถึง 5 ปี คดีโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยขาดส่งเงินค่าสลากกินแบ่งรวม 14 งวด แต่บรรยายงวดที่ขาดส่งเพียง 10 งวด ส่วนอีก 4 งวด บรรยายว่าจำเลยนำเงินหลายๆ งวดรวมส่งเข้าบัญชีในคราวเดียวกัน โดยมิได้แยกว่าเป็นเงินงวดใดบ้างนั้นจำเลยพอเข้าใจข้อความแห่งข้อหาแล้ว ไม่เป็นฟ้องที่เคลือบคลุม
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 165(5) ที่กำหนดให้มีอายุความ 2 ปี นั้น ได้บัญญัติเฉพาะบุคคลจำพวกที่ขายตั๋วสลากกินแบ่งเรียกเอาเงินค่าที่ได้ขายตั๋วแต่ถ้าเป็นการที่ได้ส่งมอบตั๋วเพียงสำหรับให้ขายต่อไปแล้วก็เข้าข้อยกเว้น ไม่อยู่ในบังคับอายุความ 2 ปี แต่มีอายุความ5 ปี ตามวรรคสุดท้าย โจทก์ส่งมอบสลากกินแบ่งให้จำเลยไปขายอีกต่อหนึ่ง กรณีจึงเข้าข้อยกเว้นดังกล่าว เมื่อนับเงินค้างงวดแรกถึงวันฟ้องยังไม่ถึง 5 ปี คดีโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2517/2520
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องค่าไฟฟ้าไม่เคลือบคลุม อายุความ 10 ปี เหตุเป็นการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคไม่ใช่พ่อค้า
ฟ้องเรียกเงินค่ากระแสไฟฟ้าที่ค้างชำระ แม้ไม่บรรยายว่าจำเลย ใช้ไฟฟ้าจากเลขวัดหน่วยที่เท่าใดถึงหน่วยที่เท่าใด ก็ไม่เป็นฟ้องเคลือบคลุมเพราะเป็นรายละเอียดที่จะนำสืบ
การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคโจทก์ดำเนินกิจการสาธารณูปโภคซึ่งต้องคำนึงถึงความปลอดภัย ประโยชน์ของรัฐและประชาชน ดังที่บัญญัติไว้ตามพระราชบัญญัติการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคพ.ศ.2503 มาตรา 6,8,41 หาใช่เป็นการประกอบกิจการค้าหากำไรตามปกติไม่ โจทก์จึงมิใช่เป็นพ่อค้าตามนัยแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 165(1) สิทธิเรียกร้องค่ากระแสไฟฟ้าของโจทก์ไม่อยู่ในบังคับอายุความสองปี และโดยที่ค่ากระแสไฟฟ้าประจำเดือนมิใช่จำนวนเงินที่ตกลงไว้แน่นอน แม้จะกำหนดจ่ายเป็นระยะเวลากรณีก็ไม่ต้องด้วยอายุความห้าปีตามมาตรา 166 จึงต้องนำอายุความทั่วไปซึ่งมีกำหนดสิบปีตามมาตรา 164มาใช้บังคับ
การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคโจทก์ดำเนินกิจการสาธารณูปโภคซึ่งต้องคำนึงถึงความปลอดภัย ประโยชน์ของรัฐและประชาชน ดังที่บัญญัติไว้ตามพระราชบัญญัติการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคพ.ศ.2503 มาตรา 6,8,41 หาใช่เป็นการประกอบกิจการค้าหากำไรตามปกติไม่ โจทก์จึงมิใช่เป็นพ่อค้าตามนัยแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 165(1) สิทธิเรียกร้องค่ากระแสไฟฟ้าของโจทก์ไม่อยู่ในบังคับอายุความสองปี และโดยที่ค่ากระแสไฟฟ้าประจำเดือนมิใช่จำนวนเงินที่ตกลงไว้แน่นอน แม้จะกำหนดจ่ายเป็นระยะเวลากรณีก็ไม่ต้องด้วยอายุความห้าปีตามมาตรา 166 จึงต้องนำอายุความทั่วไปซึ่งมีกำหนดสิบปีตามมาตรา 164มาใช้บังคับ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1009/2520
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การยกเลิกสัญญาประนีประนอมยอมความ ย่อมไม่กระทบสิทธิในสัญญาจะซื้อขายเดิม และฟ้องไม่เคลือบคลุม
โจทก์จำเลยตกลงยกเลิกสัญญาประนีประนอมยอมความตามเอกสารที่ทางอำเภอเปรียบเทียบโดยขอรับสัญญาจะซื้อขายที่ดินไปดำเนินการกันทางศาลต่อไป ดังนั้นสิทธิของโจทก์ตามสัญญาจะซื้อขายที่ดินดังกล่าวจึงไม่ระงับ โจทก์มีสิทธิฟ้องบังคับให้จำเลยปฏิบัติตามสัญญา และเรียกค่าเสียหายเพราะเหตุจำเลยผิดสัญญาทำให้โจทก์เสียหายได้
จำเลยฎีกาเรื่องค่าฤชาธรรมเนียม ค่าทนายความ ถึงแม้ว่าชั้นอุทธรณ์จำเลยมิได้อุทธรณ์ในข้อนี้ แต่ก็ปรากฏว่าศาลชั้นต้นกำหนดค่าทนายความผิดกฎหมาย ศาลฎีกาเห็นสมควรกำหนดใหม่ให้ถูกต้องได้
จำเลยฎีกาเรื่องค่าฤชาธรรมเนียม ค่าทนายความ ถึงแม้ว่าชั้นอุทธรณ์จำเลยมิได้อุทธรณ์ในข้อนี้ แต่ก็ปรากฏว่าศาลชั้นต้นกำหนดค่าทนายความผิดกฎหมาย ศาลฎีกาเห็นสมควรกำหนดใหม่ให้ถูกต้องได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1028/2519 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องไม่เคลือบคลุม, บัญชีเดินสะพัด, อายุความ 10 ปี, ศาลพิพากษาตามจำนวนหนี้จริง
โจทก์บรรยายฟ้องกล่าวถึงการที่จำเลยตกลงจ้างโจทก์ทำการบรรทุกมันสำปะหลังส่งถึงโรงงานจำเลย โดยกำหนดราคาให้ตามน้ำหนักของมันและระยะทางที่นำส่ง ได้มีการหักค่าบรรทุกไว้ตอนที่จะขายมัน เมื่อคิดบัญชีกันแล้วจำเลยเป็นหนี้โจทก์อยู่ขอให้ใช้ เช่นนี้ เป็นการบรรยายถึงสภาพของข้อตกลงที่จะให้จำเลยรับผิดพอที่จะทำให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดีแล้ว ฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุม
โจทก์จำเลยมีบัญชีต่อกัน และมีการตัดทอนบัญชีอันเกิดแก่กิจการระหว่างกัน ถือได้ว่าเป็นบัญชีเดินสะพัด อายุความย่อมมีกำหนด 10 ปี
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยชำระเงินตามบัญชีหนี้สินที่จะลงบัญชีกันไว้ตามเอกสารที่อ้างอิงเป็นเงิน 33,494 บาท เมื่อศาลอุทธรณ์ได้ตรวจหลักฐานแล้ว เห็นว่ามีจำนวนที่เป็นหนี้กันอยู่จริงเพียง 29,030 บาท ศาลอุทธรณ์ก็มีอำนาจพิพากษาให้โจทก์ได้รับตามจำนวนที่แท้จริงได้ ไม่เป็นการนอกฟ้องนอกคำขอของโจทก์
โจทก์จำเลยมีบัญชีต่อกัน และมีการตัดทอนบัญชีอันเกิดแก่กิจการระหว่างกัน ถือได้ว่าเป็นบัญชีเดินสะพัด อายุความย่อมมีกำหนด 10 ปี
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยชำระเงินตามบัญชีหนี้สินที่จะลงบัญชีกันไว้ตามเอกสารที่อ้างอิงเป็นเงิน 33,494 บาท เมื่อศาลอุทธรณ์ได้ตรวจหลักฐานแล้ว เห็นว่ามีจำนวนที่เป็นหนี้กันอยู่จริงเพียง 29,030 บาท ศาลอุทธรณ์ก็มีอำนาจพิพากษาให้โจทก์ได้รับตามจำนวนที่แท้จริงได้ ไม่เป็นการนอกฟ้องนอกคำขอของโจทก์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1622/2518
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดของนายจ้างต่อละเมิดของลูกจ้าง และความชัดเจนของฟ้องที่ไม่ต้องระบุชื่อลูกจ้าง
ฟ้องบรรยายว่า ลูกจ้างของจำเลยคนหนึ่งซึ่งหลบหนีไปได้ขับรถประจำทางของจำเลยในทางการที่จ้างรับส่งคนโดยสารตามเส้นทาง ได้ชนผู้ตาย ขณะเดินข้ามถนนด้วยความประมาท ดังนี้ ก็เป็นที่เข้าใจได้ว่าผู้ที่ขับรถยนต์ชนผู้ตายคือลูกจ้างของจำเลยมิใช่คนอื่นไม่จำเป็นต้องระบุชื่อก็ได้ฟ้องดังกล่าวจึงไม่เคลือบคลุม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2529/2517
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องไม่เคลือบคลุม, อำนาจฟ้อง, เบี้ยปรับสัญญา, ความผิดสัญญา, การกำหนดค่าเสียหาย
โจทก์กับ ส. ผู้ลงนามแทนโจทก์ในสัญญาท้ายฟ้องมีนิติสัมพันธ์ต่อกันอย่างไรมีอำนาจหน้าที่เกี่ยวเนื่องกันอย่างไร เป็นข้อเท็จจริงรายละเอียดที่โจทก์จะนำสืบในทางพิจารณา ไม่จำเป็นต้องบรรยายในฟ้อง ฟ้องโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม
เมื่อฟังว่า โจทก์โดย ส. เป็นคู่สัญญากับจำเลย จำเลยผิดสัญญาโจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง
เมื่อจำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญา และได้มีการกำหนดค่าเสียหายไว้ล่วงหน้าในสัญญาโจทก์ย่อมมีสิทธิเรียกร้องเบี้ยปรับตามสัญญาได้
เมื่อฟังว่า โจทก์โดย ส. เป็นคู่สัญญากับจำเลย จำเลยผิดสัญญาโจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง
เมื่อจำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญา และได้มีการกำหนดค่าเสียหายไว้ล่วงหน้าในสัญญาโจทก์ย่อมมีสิทธิเรียกร้องเบี้ยปรับตามสัญญาได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1403/2515
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องทางสาธารณะ/ภารจำยอมไม่เคลือบคลุม การนำสืบพยานบุคคลประกอบข้อเท็จจริงได้ แม้เอกสารไม่ตรง
โจทก์บรรยายฟ้องว่าทางพิพาทเป็นทางสาธารณะ แต่ตอนท้ายคำฟ้องบรรยายว่า หรือไม่เช่นนั้นทางพิพาทตกเป็นภารจำยอมโดยอายุความแล้วนั้น ไม่เป็นฟ้องเคลือบคลุม
การนำสืบเขตติดต่อที่ดินที่มีโฉนด ไม่มีกฎหมายบังคับให้ต้องมีพยานเอกสารมาแสดงย่อมนำสืบพยานบุคคลได้
โจทก์บรรยายฟ้องว่า ที่ดินของโจทก์ด้านหนึ่งติดที่ดินโฉนดของจำเลย ครั้นนำสืบกลับนำสืบว่าที่ดินของโจทก์ติดทางสาธารณะซึ่งเป็นการนำสืบในประเด็นข้อพิพาทระหว่างโจทก์กับจำเลยว่าที่ดินของจำเลยซึ่งติดกับที่ดินโจทก์ตามฟ้องตกเป็นทางสาธารณะหรือตกอยู่ในภารจำยอมไปแล้ว หาต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 94(ข) ไม่
โจทก์ฟ้องหรือนำพยานเข้าสืบโดยพยานจะเรียกทางพิพาทว่าเป็นทางสาธารณะหรือทางภารจำยอมนั้น หาทำให้ทางพิพาทเป็นทางสาธารณะหรือภารจำยอมตามที่เรียกขานไม่ หากฟังได้ว่าเป็นทางภารจำยอม ศาลย่อมจะพิพากษาได้ว่าทางพิพาทเป็นทางตกอยู่ในภารจำยอม
การนำสืบเขตติดต่อที่ดินที่มีโฉนด ไม่มีกฎหมายบังคับให้ต้องมีพยานเอกสารมาแสดงย่อมนำสืบพยานบุคคลได้
โจทก์บรรยายฟ้องว่า ที่ดินของโจทก์ด้านหนึ่งติดที่ดินโฉนดของจำเลย ครั้นนำสืบกลับนำสืบว่าที่ดินของโจทก์ติดทางสาธารณะซึ่งเป็นการนำสืบในประเด็นข้อพิพาทระหว่างโจทก์กับจำเลยว่าที่ดินของจำเลยซึ่งติดกับที่ดินโจทก์ตามฟ้องตกเป็นทางสาธารณะหรือตกอยู่ในภารจำยอมไปแล้ว หาต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 94(ข) ไม่
โจทก์ฟ้องหรือนำพยานเข้าสืบโดยพยานจะเรียกทางพิพาทว่าเป็นทางสาธารณะหรือทางภารจำยอมนั้น หาทำให้ทางพิพาทเป็นทางสาธารณะหรือภารจำยอมตามที่เรียกขานไม่ หากฟังได้ว่าเป็นทางภารจำยอม ศาลย่อมจะพิพากษาได้ว่าทางพิพาทเป็นทางตกอยู่ในภารจำยอม