พบผลลัพธ์ทั้งหมด 101 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 99/2519
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความสัมพันธ์คดีอาญาและคดีแพ่งเรื่องเช็ค, ผู้ทรงเช็ค
ศาลในคดีอาญาเรื่องความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยออกเช็คประกันหนี้ ในคดีแพ่งเรื่องความรับผิดตามเช็คไม่ต้องอาศัยมูลคดีอาญานั้นแต่ประการใดจึงไม่ต้องฟังข้อเท็จจริงตามคดีอาญา
จำเลยออกเช็คสั่งจ่ายเงินแก่ ก. แต่มิได้ขีดฆ่าคำว่าผู้ถือโจทก์เป็นผู้ครอบครองเช็ค จึงเป็นผู้ทรงตามมาตรา 904
จำเลยออกเช็คสั่งจ่ายเงินแก่ ก. แต่มิได้ขีดฆ่าคำว่าผู้ถือโจทก์เป็นผู้ครอบครองเช็ค จึงเป็นผู้ทรงตามมาตรา 904
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5/2514 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแปลกฎหมายและการฟ้องคดี การพิจารณาประเภทมูลคดีและอายุความ
คำฟ้องที่โต้เถียงการแปลกฎหมายของจำเลยว่าจำเลยแปลกฎหมายมาใช้บังคับกับโจทก์ไม่ถูกต้อง มิใช่เป็นคำฟ้องให้จำเลยรับผิดต่อโจทก์ฐานละเมิด แม้ตามคำฟ้องจะเขียนว่าเป็นการฟ้องเรื่องละเมิด และในคำบรรยายฟ้องได้กล่าวว่า จำเลยใช้อำนาจโดยมิชอบด้วยกฎหมายและงดเว้นไม่ปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมาย เป็นเหตุให้โจทก์เสียประโยชน์อันพึงมีพึงได้ ก็ไม่เป็นเหตุที่จะทำให้ฟ้องของโจทก์กลายเป็นฟ้องในมูลละเมิด เพราะต้องถือเอาคำบรรยายฟ้องเป็นสำคัญ
เมื่อมูลคดีที่โจทก์ต้องไม่ใช่เป็นเรื่องละเมิดจะนำเอาบทบัญญัติเรื่องอายุความอันเกิดแต่มูลละเมิดมาใช้บังคับแก่คดีไม่ได้
เมื่อมูลคดีที่โจทก์ต้องไม่ใช่เป็นเรื่องละเมิดจะนำเอาบทบัญญัติเรื่องอายุความอันเกิดแต่มูลละเมิดมาใช้บังคับแก่คดีไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 967-969/2512 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาของจำเลยร่วมผูกพันจำเลยร่วมอื่น เมื่อมูลคดีเกี่ยวกับการชำระหนี้และสิทธิการเช่า
ในกรณีที่จำเลยและจำเลยร่วมอีก 2 สำนวนแต่งตั้งทนายคนเดียวกัน และทนายได้ยื่น ฎีกาเฉพาะในนามของจำเลยร่วม 2 สำนวน โดยทนายเป็นผู้เซ็นชื่อในฐานะผู้ฎีกา เมื่อปรากฏว่าฎีกาฉบับนี้เสียค่าธรรมเนียมชั้นฎีกามา 3 สำนวน และในฎีกามีข้อความว่า "จำเลยอาศัยสิทธิของจำเลยร่วม โจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องจำเลย" ดังนี้ ก็ย่อมถือได้ว่าฎีกาที่ทนายยื่นนั้นเป็นฎีกาของจำเลยด้วย
เมื่อศาลฎีกาเห็นว่าที่พิพาทฟังไม่ได้ว่าเป็นของโจทก์ โจทก์ก็ไม่อาจขับไล่จำเลยได้ ดังนั้น แม้จำเลยร่วมคนหนึ่งจะไม่ได้ฎีกาก็ตาม แต่เมื่อจำเลยฎีกา และจำเลยร่วมนั้นเป็นผู้รับโอนสิทธิการเช่าที่พิพาทจากจำเลย จำเลยร่วมนั้นก็ไม่จำต้องถูกขับไล่ด้วย เพราะมูลคดีเกี่ยวด้วยการชำระหนี้อันไม่อาจแบ่งแยกได้
เมื่อศาลฎีกาเห็นว่าที่พิพาทฟังไม่ได้ว่าเป็นของโจทก์ โจทก์ก็ไม่อาจขับไล่จำเลยได้ ดังนั้น แม้จำเลยร่วมคนหนึ่งจะไม่ได้ฎีกาก็ตาม แต่เมื่อจำเลยฎีกา และจำเลยร่วมนั้นเป็นผู้รับโอนสิทธิการเช่าที่พิพาทจากจำเลย จำเลยร่วมนั้นก็ไม่จำต้องถูกขับไล่ด้วย เพราะมูลคดีเกี่ยวด้วยการชำระหนี้อันไม่อาจแบ่งแยกได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 967-969/2512 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาของทนายมีผลถึงจำเลยร่วม แม้ไม่ได้ร่วมฎีกา หากมูลคดีเกี่ยวเนื่องกับการชำระหนี้
ในกรณีที่จำเลยและจำเลยร่วมอีก 2 สำนวนแต่งตั้งทนายคนเดียวกัน และทนายได้ยื่นฎีกาเฉพาะในนามของจำเลยร่วม 2สำนวน โดยทนายเป็นผู้เซ็นชื่อในฐานะผู้ฎีกา เมื่อปรากฏว่าฎีกาฉบับนี้เสียค่าธรรมเนียมชั้นฎีกามา 3 สำนวนและในฎีกามีข้อความว่า "จำเลยอาศัยสิทธิของจำเลยร่วมโจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องจำเลย" ดังนี้ ก็ย่อมถือได้ว่าฎีกาที่ทนายยื่นนั้นเป็นฎีกาของจำเลยด้วย
เมื่อศาลฎีกาเห็นว่าที่พิพาทฟังไม่ได้ว่าเป็นของโจทก์ โจทก์ก็ไม่อาจขับไล่จำเลยได้ ดังนั้น แม้จำเลยร่วมคนหนึ่งจะไม่ได้ฎีกาก็ตาม แต่เมื่อจำเลยฎีกา และจำเลยร่วมนั้นเป็นผู้รับโอนสิทธิการเช่าที่พิพาทจากจำเลย จำเลยร่วมนั้นก็ไม่จำต้องถูกขับไล่ด้วย เพราะมูลคดีเกี่ยวด้วยการชำระหนี้อันไม่อาจแบ่งแยกได้
เมื่อศาลฎีกาเห็นว่าที่พิพาทฟังไม่ได้ว่าเป็นของโจทก์ โจทก์ก็ไม่อาจขับไล่จำเลยได้ ดังนั้น แม้จำเลยร่วมคนหนึ่งจะไม่ได้ฎีกาก็ตาม แต่เมื่อจำเลยฎีกา และจำเลยร่วมนั้นเป็นผู้รับโอนสิทธิการเช่าที่พิพาทจากจำเลย จำเลยร่วมนั้นก็ไม่จำต้องถูกขับไล่ด้วย เพราะมูลคดีเกี่ยวด้วยการชำระหนี้อันไม่อาจแบ่งแยกได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 115/2509 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การอุทธรณ์คดีอาญา: ศาลชั้นต้นวินิจฉัยข้อเท็จจริงเป็นหลัก การพิจารณาว่ามีมูลคดีหรือไม่เป็นอุทธรณ์ข้อเท็จจริง
ศาลชั้นต้นเห็นว่า โจทก์ไม่มีพยานหลักฐานนำสืบพาดพิงว่าจำเลยที่ 3 ได้เกี่ยวข้องกับการยักยอกตั๋วสัญญาใช้เงินที่โจทก์ฟ้อง ดังนี้ เท่ากับฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยที่ 3 ไม่ได้กระทำการตามที่โจทก์ฟ้อง มิได้ฟังว่าจำเลยที่ 3 กระทำการตามที่โจทก์ฟ้องแล้ว แต่เห็นว่าการกระทำนั้นไม่เป็นผิดกฎหมาย ดังนั้น อุทธรณ์ของโจทก์ที่ว่าศาลชั้นต้นก็ได้สั่งว่าคดีมีมูลสำหรับจำเลยที่ 1 - 2 ฉะนั้นมูลคดีที่โจทก์กล่าวหาในฟ้องเป็นฐานความผิดเดียวกัน การกระทำของจำเลยทั้ง 3 เป็นกรณีเดียวกันซึ่งเข้าข้อกฎหมายเข้าในเหตุลักษณะคดี คดีของโจทก์ต้องมีมูลทั้ง 3 คนนั้น จึงเป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง
ข้อที่ว่าตั๋วสัญญาใช้เงินไม่ใช่ตั๋วใช้เงินธรรมดาแต่เป็นตั๋วมีเงื่อนไขให้หักเงินค่าจ้างจากผลงานชดใช้เงินตามตั๋วได้ ซึ่งจำเลยก็ทราบดี เป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง
ข้อที่ว่า เท่าที่โจทก์นำพยานบุคคลและพยานเอกสารเข้าสืบต่อศาล พอฟังได้ว่าในชั้นไต่สวนมูลฟ้องว่าคดีโจทก์มีมูล ก็เป็นการเถียงข้อเท็จจริง
ข้อที่ว่าตั๋วสัญญาใช้เงินไม่ใช่ตั๋วใช้เงินธรรมดาแต่เป็นตั๋วมีเงื่อนไขให้หักเงินค่าจ้างจากผลงานชดใช้เงินตามตั๋วได้ ซึ่งจำเลยก็ทราบดี เป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง
ข้อที่ว่า เท่าที่โจทก์นำพยานบุคคลและพยานเอกสารเข้าสืบต่อศาล พอฟังได้ว่าในชั้นไต่สวนมูลฟ้องว่าคดีโจทก์มีมูล ก็เป็นการเถียงข้อเท็จจริง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 108/2499 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เขตอำนาจศาล: โจทก์เลือกฟ้องศาลที่มูลคดีเกิด ไม่จำเป็นต้องระบุในคำฟ้อง
การที่ศาลจะรับคำฟ้องไว้พิจารณาจะต้องตรวจดูคำฟ้องตาม ป.วิ.แพ่ง ม.2(2) ว่าคดีอยู่ในเขตศาลนั้น
ในกรณีที่โจทก์ประสงค์จะยื่นคำฟ้องต่อศาลที่มูลดคีเกิดขึ้นในเขตศาลนั้น ไม่มี ก.ม.บังคับให้โจทก์ต้องบรรยายไว้ในคำฟ้องให้ปรากฏว่ามูลกรณีเกิดขึ้นในเขตศาลนั้น.ในกรณีเช่นนี้โจทก์จะบรรยายในคำฟ้องหรือในคำร้องก็ย่อมทราบได้ ฉะนั้นจะบังคับให้โจทก์ต้องบรรยายในคำฟ้องโดยเฉพาะถึงสถานที่เกิดมูลคดีด้วยหาชอบไม่.
ในกรณีที่โจทก์ประสงค์จะยื่นคำฟ้องต่อศาลที่มูลดคีเกิดขึ้นในเขตศาลนั้น ไม่มี ก.ม.บังคับให้โจทก์ต้องบรรยายไว้ในคำฟ้องให้ปรากฏว่ามูลกรณีเกิดขึ้นในเขตศาลนั้น.ในกรณีเช่นนี้โจทก์จะบรรยายในคำฟ้องหรือในคำร้องก็ย่อมทราบได้ ฉะนั้นจะบังคับให้โจทก์ต้องบรรยายในคำฟ้องโดยเฉพาะถึงสถานที่เกิดมูลคดีด้วยหาชอบไม่.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 108/2499
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เขตอำนาจศาล: การบรรยายสถานที่เกิดเหตุในคำฟ้องไม่จำเป็น หากโจทก์ประสงค์ฟ้องต่อศาลที่เกิดเหตุ
การที่ศาลจะรับคำฟ้องไว้พิจารณาจะต้องตรวจดูคำฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา2(2) ว่าคดีอยู่ในเขตศาลนั้น
ในกรณีที่โจทก์ประสงค์จะยื่นคำฟ้องต่อศาลที่มูลคดีเกิดขึ้นในเขตศาลนั้นไม่มี กฎหมายบังคับให้โจทก์ต้องบรรยายไว้ในคำฟ้องให้ปรากฏว่ามูลกรณีเกิดขึ้นในเขตศาลนั้น ในกรณีเช่นนี้โจทก์จะบรรยายในคำฟ้องหรือในคำร้องก็ย่อมทราบได้ฉะนั้นจะบังคับให้โจทก์ต้องบรรยายในคำฟ้องโดยเฉพาะถึงสถานที่เกิดมูลคดีด้วยหาชอบไม่
ในกรณีที่โจทก์ประสงค์จะยื่นคำฟ้องต่อศาลที่มูลคดีเกิดขึ้นในเขตศาลนั้นไม่มี กฎหมายบังคับให้โจทก์ต้องบรรยายไว้ในคำฟ้องให้ปรากฏว่ามูลกรณีเกิดขึ้นในเขตศาลนั้น ในกรณีเช่นนี้โจทก์จะบรรยายในคำฟ้องหรือในคำร้องก็ย่อมทราบได้ฉะนั้นจะบังคับให้โจทก์ต้องบรรยายในคำฟ้องโดยเฉพาะถึงสถานที่เกิดมูลคดีด้วยหาชอบไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1371/2494 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาช่วยเหลือทางแพ่ง: ความเกี่ยวพันในมูลคดี ไม่ถือเป็นการแสวงหาประโยชน์
พี่ชายได้จัดการแบ่งนามรดกให้แก่น้องชายและน้องสาวตามคำสั่งของบิดามารดา แต่น้องสาวไม่ยอม พี่จึงพาน้องชายไปหาทนายความ ต่อมาน้องชายขอให้พี่ออกเงินให้ตนดำเนินคดี โดยสัญญาว่าถ้าคดีถึงที่สุดน้องชายได้รับส่วนแบ่งนามาจะแบ่งนาให้พี่ชายครึ่งหนึ่ง ถ้าไม่ต้องการก็จะขายนาเอาเงินใช้ทุนให้ ดังนี้ ย่อมถือได้ว่า พี่ชายช่วยเหลือน้องชายให้ได้รับความยุติธรรมจากโรงศาล และควรนับได้ว่าพี่ชายมีความเกี่ยวพันอยู่ในมูลคดีนั้นด้วย ไม่ใช่เรื่องพี่ชายแสวงหาประโยชน์ใส่ตนด้วยการยุยงส่งเสริมให้เขาเป็นความกันในกรณีที่ตนมิได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับมูลคดีนั้นด้วย จึงทำให้นิติกรรมสัญญานั้นตกเป็นโมฆะตาม ป.ม.แพ่งฯมาตรา 113 เมื่อคดีถึงที่สุดน้องชายได้รับส่วนแบ่งนามาแล้วไม่แบ่งนาให้พี่ชาย พี่ชายย่อมมีอำนาจฟ้องเรียกเอาได้ตามสัญญา
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1371/2494
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาช่วยเหลือทางกฎหมาย: ความเกี่ยวพันในมูลคดีและการเรียกร้องผลประโยชน์
พี่ชายได้จัดการแบ่งนามรดกให้แก่น้องชายและน้องสาวตามคำสั่งของบิดามารดา แต่น้องสาวไม่ยอม พี่จึงพาน้องชายไปหาทนายความ ต่อมาน้องชายขอให้พี่ออกเงินให้ตนดำเนินคดี โดยสัญญาว่าถ้าคดีถึงที่สุดน้องชายได้รับส่วนแบ่งนามาจะแบ่งนาให้พี่ชายครึ่งหนึ่ง ถ้าไม่ต้องการก็จะขายนาเอาเงินใช้ทุนให้ ดังนี้ ย่อมถือได้ว่า พี่ชายช่วยเหลือน้องชายให้ได้รับความยุติธรรมจากโรงศาล และควรนับได้ว่าพี่ชายมีความเกี่ยวพันอยู่ในมูลคดีนั้นด้วย ไม่ใช่เรื่องพี่ชายแสวงหาประโยชน์ใส่ตนด้วยการยุยงส่งเสริมให้เขาเป็นความกันในกรณีที่ตนมิได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับมูลคดีนั้นด้วย จึงไม่ทำให้นิติกรรมสัญญานั้นตกเป็นโมฆะตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 113 เมื่อคดีถึงที่สุดน้องชายได้รับส่วนแบ่งนามาแล้วไม่แบ่งนาให้พี่ชาย พี่ชายย่อมมีอำนาจฟ้องเรียกเอาได้ตามสัญญา
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 925/2485 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การขอดีการ่วมกับสถานะคนอนาถา ต้องพิจารณามูลคดีควบคู่ไปด้วย
การขอว่าความหย่างคนอนาถาชั้นดีกานั้น นอกจากจะพิจารนาได้ความว่าจำเลยเปนคนอนาถาแล้วจะต้องพิจารนาว่าคดีของจำเลยมีมูลที่จะชนะได้หรือไม่ด้วย