คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
ศาลยืน

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 196 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 483/2533

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาหมั้นผิดนัด: เหตุผลเรื่องสติสัมปชัญญะไม่พอฟัง ศาลยืนตามคำพิพากษาเดิม
จำเลยที่ 3 ไม่ยอมจดทะเบียนสมรสกับโจทก์ที่ 1 อ้างว่าเนื่องจากโจทก์ที่ 1 มีสติไม่บริบูรณ์เหมือนคนธรรมดาและคล้ายกับปัญญาอ่อน แต่พฤติการณ์ที่ปรากฏในสำนวนยังไม่พอฟังว่าโจทก์ที่ 1เป็นเช่นนั้น อันจะเป็นข้ออ้างที่มีเหตุสำคัญในการไม่ยอมจดทะเบียนสมรส จำเลยจึงเป็นฝ่ายผิดสัญญาหมั้น จำเลยทั้งสามตกลงรับหมั้นจากฝ่ายโจทก์พร้อมทั้งรับของหมั้นไว้เรียบร้อยแล้ว แม้จำเลยที่ 1 ที่ 2 มอบของหมั้นทั้งหมดให้แก่จำเลยที่ 3 เมื่อจำเลยที่ 3 ไม่ยอมจดทะเบียนสมรสกับโจทก์ที่ 1อันเป็นการผิดสัญญาหมั้น จำเลยทั้งสามซึ่งรับของหมั้นไว้ก็ต้องร่วมกันคืนของหมั้นแก่ฝ่ายโจทก์.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3849/2533

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การกระทำความผิดฐานพรากผู้เยาว์เพื่ออนาจารและข่มขืนกระทำชำเรา ศาลยืนตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าความผิดฐานหน่วงเหนี่ยวกักขังผู้อื่นตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 310 เป็นการกระทำกรรมเดียวกับความผิดฐานพรากผู้เยาว์ไปเพื่อการอนาจารตามมาตรา 318 วรรคสาม ให้ลงโทษตามมาตรา 318 วรรคสามอันเป็นบทหนัก ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน แต่โจทก์มิได้อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์จึงกำหนดโทษไม่ได้ เพียงแต่ปรับบทลงโทษและระบุวรรคให้ถูกต้อง อันเป็นการแก้ไขเล็กน้อย แม้ศาลล่างทั้งสองจะมิได้กำหนดโทษในความผิดตามมาตรา 310 วรรคแรกไว้ แต่ความผิดฐานนี้มีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี ศาลจะกำหนดโทษเกิน 3 ปี ย่อมไม่ได้ ดังนั้นการที่จำเลยที่ 1 ฎีกาว่ามิได้กระทำความผิดตามฟ้องอันเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ฎีกาของจำเลยที่ 1 เฉพาะในความผิดข้อหานี้จึงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 218

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3053/2533 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ภูมิลำเนา, การฟ้องคดี, ดอกเบี้ยผิดนัด: ศาลยืนตามคำพิพากษาเดิม โจทก์มีอำนาจฟ้องต่อศาลจังหวัดบุรีรัมย์ และมีสิทธิได้รับดอกเบี้ยตามกฎหมาย
การที่จำเลยแจ้งย้ายออกจากบ้านเดิมที่จังหวัดบุรีรัมย์แล้วไม่แจ้งแย้งเข้าบ้านตามที่แจ้งไว้ในกรุงเทพมหานคร จึงไม่อาจทราบได้ว่าจำเลยไปอยู่ที่ใด ทั้งยังได้ความว่า จำเลยแจ้งย้ายออกเฉพาะตัวจำเลยคนเดียว มิได้แจ้งย้ายครอบครัวไปด้วย แสดงว่าไม่มีเจตนาย้ายถิ่นที่อยู่ และจงใจจะเปลี่ยนภูมิลำเนา ต้องถือว่าจำเลยมีภูมิลำเนาครั้งสุดท้ายอยู่ในเขตอำนาจศาลจังหวัดบุรีรัมย์ โจทก์มีอำนาจฟ้องจำเลยต่อศาลจังหวัดบุรีรัมย์ได้
แม้ข้อตกลงในสัญญากู้ที่ให้โจทก์คิดดอกเบี้ยเกินอัตราที่กฎหมายกำหนดจะตกเป็นโมฆะมีผลให้โจทก์หมดสิทธิที่จะเรียกดอกเบี้ยตามสัญญาได้ก็ตาม แต่เมื่อเป็นหนี้เงินซึ่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 224 ให้คิดดอกเบี้ยระหว่างผิดนัดได้ร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี โจทก์จึงมีสิทธิที่จะได้ดอกเบี้ยตามบทกฎหมายดังกล่าว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2480/2533 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การต่อเติมอาคารโดยไม่ได้รับอนุญาตและฝ่าฝืนข้อบัญญัติควบคุมการก่อสร้าง ศาลยืนตามคำพิพากษาเดิม
จำเลยทั้งสองให้การว่า ได้ทำการต่อเติมดัดแปลงอาคารในส่วนด้านหลังของอาคารจริง แต่มิได้ทำเชื่อมปิดคลุมทางเดินด้านหลังอาคารตามฟ้องโจทก์จำเลยเข้าใจโดยสุจริตว่าไม่ต้องขออนุญาตจากใคร เนื่องจากได้ต่อเติมอาคารของตนเองในที่ดินของตนเอง และอาคารใกล้เคียงก็ได้มีการต่อเติมไว้ก่อนแล้วเช่นกันจำเลยจึงต้องต่อเติมอาคารของตนเองด้วยเพื่อมิให้เกิดความเสียหาย โดยจำเลยไม่ได้ให้การปฏิเสธว่า ไม่ได้ต่อเติมอาคารด้านหลังเป็นแนวไปถึงรั้วหลังอาคารทั้งสองด้าน และมุงหลังคากระเบื้องตามฟ้อง คำให้การของจำเลยมีผลเท่ากับเป็นการรับว่าได้กระทำการฝ่าฝืนพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 มาตรา 22 และฝ่าฝืนข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เรื่อง ควบคุมการก่อสร้างอาคาร พ.ศ. 2522 ข้อ 76 (4) แล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2480/2533

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การต่อเติมอาคารโดยไม่ขออนุญาตและฝ่าฝืนข้อบัญญัติควบคุมการก่อสร้าง ศาลยืนตามคำพิพากษาเดิม
จำเลยทั้งสองให้การว่า ได้ ทำการต่อเติมดัด แปลงอาคารในส่วนด้านหลังของอาคารจริง แต่ มิได้ทำเชื่อมปิดคลุมทางเดินด้านหลังอาคารตาม ฟ้องโจทก์จำเลยเข้าใจโดย สุจริตว่าไม่ต้องขออนุญาตจากใคร เนื่องจากได้ต่อเติม อาคารของตนเองในที่ดินของตนเอง และอาคารใกล้เคียงก็ได้ มีการต่อเติม ไว้ก่อนแล้วเช่นกันจำเลยจึงต้องต่อเติม อาคารของตนเองด้วย เพื่อมิให้เกิดความเสียหายโดย จำเลยไม่ได้ให้การปฏิเสธว่า ไม่ได้ต่อเติม อาคารด้านหลังเป็นแนวไปถึง รั้วหลังอาคารทั้งสองด้าน และมุงหลังคากระเบื้องตาม ฟ้อง คำให้การของจำเลยมีผลเท่ากับเป็นการรับว่าได้ กระทำการฝ่าฝืนพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 มาตรา 22 และฝ่าฝืนข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เรื่อง ควบคุมการก่อสร้างอาคารพ.ศ. 2522 ข้อ 76(4) แล้ว.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2364/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเลิกจ้างลูกจ้างฐานผิดระเบียบข้อบังคับซ้ำคำเตือน ศาลยืนตามคำพิพากษาเดิม
ตามระเบียบและข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของจำเลยได้กำหนดไว้ว่าพนักงานซึ่งไม่ปฏิบัติตามระเบียบวินัย และข้อบังคับอาจถูกผู้บังคับบัญชา หรือฝ่ายบุคคลพิจารณาลงโทษได้ตามลักษณะความผิดเป็นกรณี ๆ ไป ดังนั้น เมื่อโจทก์มิได้มาทำงานและมิได้ยื่นใบลากิจหรือลาป่วยโดยไม่มีเหตุจำเป็น จำเลยเคยมีหนังสือตักเตือนโจทก์ระบุการกระทำของโจทก์ว่าหยุดงานโดยไม่ลา และไม่มีเหตุอันควรเป็นการฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับของบริษัทจำเลยในเรื่องการหยุดงานโดยไม่มีเหตุอันสมควร โจทก์ได้ขาดงานอีกรวม 7 วัน โดยไม่มีเหตุอันสมควร โดยไม่ยื่นใบลากิจ หรือลาป่วยเช่นเดียวกัน การกระทำผิดของโจทก์จึงเป็นการซ้ำคำเตือน จำเลยจึงมีสิทธิเลิกจ้างโจทก์โดยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยและสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1811/2533 เวอร์ชัน 4 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ หนี้สินล้นพ้นตัว: ศาลยืนตามคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด แม้จำเลยอ้างถูกหลอกลวง
จำเลยให้การว่า จำเลยไม่เคยกู้เงินและรับเงินไปจากโจทก์ไม่เคยทำหนังสือรับสภาพหนี้และสัญญาประนีประนอมยอมความให้ไว้กับโจทก์ ลายมือชื่อในสัญญารับสภาพหนี้และสัญญาประนีประนอมยอมความไม่ใช่ลายมือชื่อจำเลย แต่นำสืบว่าได้ลงชื่อในสัญญากู้กับสัญญารับสภาพหนี้และสัญญาประนีประนอมยอมความจริง แต่ทำไปเพราะความโง่ เขลาเบาปัญญาถูกนาย ว. หลอกลวง ทางนำสืบของจำเลยต่างกับคำให้การจึงรับฟังเป็นความจริงไม่ได้
การฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยเป็นหนี้โจทก์หรือไม่เป็นเรื่องโจทก์ จำเลยต่างมีหน้าที่นำพยานหลักฐานมาพิสูจน์ตามคำฟ้องและคำให้การ เมื่อข้อต่อสู้ของจำเลยรับฟังไม่ได้และข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยเป็นหนี้โจทก์อยู่จริง จึงมีข้อพิจารณาต่อไปว่าจำเลยมีหนี้สินล้นพ้นตัวตามมาตรา 14 และมาตรา 9 หรือไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 50/2532 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจตนาฆ่าจากการแทงต่อเนื่อง แม้ไม่ถึงแก่ชีวิต ศาลพิพากษายืนฐานพยายามฆ่า
จำเลยแทงผู้เสียหายเนื่องจากจำเลยโกรธผู้เสียหายที่ไม่ยอมรับผิดชอบต่อจำเลยและไม่ยอมเจรจากับจำเลยโดยดีถึงเรื่องที่เกิดขึ้นมาก่อนแล้ว กรณีที่เกิดแทงกันขึ้นจึงมิใช่เป็นเรื่องที่จำเลยถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม การกระทำของจำเลยจึงไม่ใช่เป็นการบันดาลโทสะ การที่จำเลยใช้อาวุธมีดปลายแหลม ซึ่งมีความยาวส่วนใบมีด5 นิ้วครึ่ง ความกว้างตรงส่วนกลางของใบมีด 1 นิ้วแทงถูกผู้เสียหายที่ท้องลึก 2 เซนติเมตร ซึ่งความลึกส่วนนี้แม้ไม่ถึงอวัยวะภายในที่จะเป็นเหตุให้ถึงแก่ความตายได้ก็ตาม แต่เมื่อผู้เสียหายวิ่งหนีจำเลยไปล้มนอนหงาย จำเลยได้ติดตามไปนั่งคร่อมผู้เสียหายแล้วเงื้อมีดจะแทงผู้เสียหายอีก แต่ผู้เสียหายจับมือของจำเลยไว้ทันแล้วแย่งมีดกัน โดยมีบุคคลอื่นได้มาช่วยแย่งมีดด้วยซึ่งหากผู้เสียหายจับมือของจำเลยไม่ได้ จำเลยจะต้องแทงผู้เสียหายที่บริเวณอกและอาจทะลุถึงอวัยวะภายในซึ่งเป็นอวัยวะที่สำคัญและอาจเป็นผลให้ผู้เสียหายถึงแก่ความตายได้ แสดงว่าจำเลยมีเจตนาฆ่าผู้เสียหาย การที่ผู้เสียหายและบุคคลอื่นมาช่วยแย่งเอามีดไปจากจำเลยได้ทันทำให้การกระทำของจำเลยไม่บรรลุผลดังเจตนาของจำเลย จำเลยจึงมีความผิดฐานพยายามฆ่า

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2681/2532 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การประเมินภาษีจากราคาสินค้าคงเหลือและราคาขายที่ไม่สมเหตุผล ศาลยืนตามคำพิพากษาเดิม
โจทก์จัดพิมพ์หนังสือตามที่ได้รับอนุญาตจากกระทรวงศึกษาธิการแล้วขายให้บริษัท ส. แต่ขายไม่หมดในรอบระยะเวลาบัญชีนั้นโจทก์มีหน้าที่ต้องทำบัญชีคุมสินค้าตามมาตรา 83 ทวิ แห่งประมวลรัษฎากร เมื่อโจทก์ไม่ทำบัญชีคุมสินค้า ต้องถือว่าโจทก์ขายสินค้าคงเหลือนั้นและถือมูลค่าของสินค้าดังกล่าวเป็นรายรับตามมาตรา 79 ทวิ(6) แห่งประมวลรัษฎากร
ราคาต้นทุนการผลิตหนังสือที่โจทก์จัดพิมพ์ตกประมาณ 35-37 เปอร์เซ็นต์ ของราคาหน้าปก โจทก์ขายหนังสือดังกล่าวให้บริษัทผู้จัดจำหน่ายเป็นผู้ขาย โจทก์จึงไม่มีค่าใช้จ่ายในการบริหารการขายเมื่อจำเลยไม่อาจนำสืบถึงราคาที่โจทก์ควรจะขายที่แท้จริงได้การที่โจทก์ตั้งราคาขายหนังสือที่จัดพิมพ์ขึ้นให้แก่ผู้จัดจำหน่ายในราคา 40 เปอร์เซ็นต์ ของหน้าปก หนังสือจึงหาได้มีราคาต่ำกว่าราคาที่ควรจะขายได้ และเป็นราคาที่ถูกต้องตามความเป็นจริงแล้วเจ้าพนักงานประเมินไม่มีอำนาจประเมินราคาสินค้าใหม่ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 87 ทวิ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2521-2522/2532 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข้อบังคับบริษัทจ่ายเงินบำเหน็จหรือค่าชดเชย: ศาลยืนตามเดิม หากเงินบำเหน็จน้อยกว่าค่าชดเชย ลูกจ้างได้ค่าชดเชยเท่านั้น
ข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของจำเลยที่ 1 กำหนดว่า ถ้าบริษัทเลิกจ้างโดยพนักงานไม่มีความผิด จะจ่ายเงินบำเหน็จหรือเงินค่าชดเชยตามข้อบังคับฯ ข้อ 9.9 ทั้งหมดแทนเงินค่าชดเชยตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน ข้อ 46 เพียงอย่างเดียวเท่านั้น และหากเงินบำเหน็จหรือเงินค่าชดเชยที่คำนวณไว้ตามข้อ 9.9 มีจำนวนน้อยกว่าเงินค่าชดเชยตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน ข้อ 46บริษัทก็จะจ่ายเพิ่มให้เท่ากับเงินค่าชดเชยตามประกาศหรือกฎเกณฑ์ของทางราชการเพียงอย่างเดียวเช่นกัน มีความหมายว่า หากลูกจ้างมีสิทธิได้รับเงินบำเหน็จมีจำนวนน้อยกว่าค่าชดเชยตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่องการคุ้มครองแรงงาน แล้ว ลูกจ้างก็คงมีสิทธิได้รับค่าชดเชยแต่เพียงอย่างเดียวโดยไม่มีสิทธิได้รับเงินบำเหน็จด้วย ดังนั้นเมื่อโจทก์มีสิทธิได้รับเงินบำเหน็จน้อยกว่าค่าชดเชยที่โจทก์มีสิทธิได้รับตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่องการคุ้มครองแรงงาน และโจทก์ได้รับค่าชดเชยไปถูกต้องแล้วโจทก์จึงไม่มีสิทธิได้รับเงินบำเหน็จจากจำเลยที่ 1 ตามข้อบังคับดังกล่าวอีก
of 20