พบผลลัพธ์ทั้งหมด 195 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2091/2497
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การสืบพยานความผิดสมคบร่วมกันกระทำความผิดอาญา ต้องไม่เกินกรอบคำฟ้องเดิม
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยทั้งสองกระทำความผิดอาญา จำเลยคนหนึ่งรับสารภาพ แต่อีกคนหนึ่งปฏิเสธ โจทก์จะขอสืบพยานว่าจำเลยคนที่ปฏิเสธได้สมคบกับจำเลยที่รับสารภาพกระทำความผิดอาญานั้นก็ได้ เฉพาะในความหมายของการสมคบในนัยที่ว่า จำเลยนั้นได้ลงมือกระทำผิดตามฟ้องนั้นเอง เพราะคำว่าสมคบนั้นเป็นคำที่มีความหมายกว้าง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 208/2497
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สมคบกันลักทรัพย์ การกระทำความผิดเพิ่มเติมและการพิสูจน์ความร่วมมือ
สมคบกันมาลักทรัพย์ คนหนึ่งล้วงกระเป๋าลักทรัพย์ได้แล้วส่งให้อีกคนหนึ่งพาหนีไปคนแรกควักมีดออกแทงเจ้าทรัพย์เป็นเวลาภายหลังที่คนแรกพาทรัพย์หนีไปแล้ว ยังไม่พอฟังว่าคนหลังสมคบด้วย ในการที่คนแรกใช้มีดแทงคนหลังมีความผิดเพียงฐานลักทรัพย์ ไม่ผิดฐานชิงทรัพย์ด้วย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1791/2497 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
วิวาททำร้ายร่างกาย: ความผิดฐานสมคบกันทำร้ายร่างกายโดยไม่ปรากฏว่าใครเป็นผู้เริ่ม
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยสองฝ่ายแต่ละฝ่ายได้สมคบกันทำร้ายอีกฝ่ายหนึ่ง จำเลยทุกคนรับตามฟ้อง ข้อเท็จจริงต้องฟังว่าจำเลยทุกคนเข้าวิวาทต่อสู้กันไม่ปรากฎว่า ใครทำใครความผิดจำเลยจึงต้องด้วยกฎหมายอาญา ม.258
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1791/2497
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
วิวาททำร้ายร่างกาย: ความผิดตามมาตรา 258 อาญา
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยสองฝ่ายแต่ละฝ่ายได้สมคบกันทำร้ายอีกฝ่ายหนึ่ง จำเลยทุกคนรับตามฟ้อง ข้อเท็จจริงต้องฟังว่าจำเลยทุกคนเข้าวิวาทต่อสู้กันไม่ปรากฏว่า ใครทำใครความผิดจำเลยจึงต้องด้วยกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 258
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1329/2497 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สมคบปล้นทรัพย์ทำให้ถึงแก่ความตาย
จำเลยสมคคบกับพวกปล้นทรัพย์แล้วจับเจ้าทรัพย์มัดตัวให้เดินพาไปส่งระหว่างทางห่างจากที่เกิดเหตุราว 30 เมตร พวกจำเลยคนหนึ่งได้ยิงเจ้าทรัพย์ตาย ย่อมถือได้ว่าในการปล้นนั้นทำให้เขาถึงตาย จำเลยจึงมีผิดตาม ก.ม.อาญา ม.301 ตอน 1
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1329/2497
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สมคบปล้นทรัพย์ทำให้ถึงแก่ความตาย ความรับผิดทางอาญา
จำเลยสมคบกับพวกปล้นทรัพย์ แล้วจับเจ้าทรัพย์มัดตัวให้เดินพาไปส่งระหว่างทางห่างจากที่เกิดเหตุราว 30 เมตร พวกจำเลยคนหนึ่งได้ยิงเจ้าทรัพย์ตาย ย่อมถือได้ว่าในการปล้นนั้นทำให้เขาถึงตายจำเลยจึงมีผิดตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 301 ตอน 3
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1250/2497
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจ้าพนักงานทุจริต, ยักยอกทรัพย์, จดทะเบียนเท็จ: ความผิดตามมาตรา 230 และการสมคบกระทำผิด
จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 3 เป็นพนักงานสังกัดกรมการสัตว์ทหารบก จำเลยที่ 1 เป็นผู้แก้เลขจำนวนของ(ผ้าสีกากีนวล) ในต้นขั้วใบสั่งจ่าย(จาก 107 ผืนเป็น 307 ผืน) และจำเลยที่ 1 ได้ยักยอกผ้ากากีนวลปูนอนที่เจ้าหน้าที่กองคลังจ่ายเกิน (200 ผืนตามจำนวนที่แก้) จากฎีกาที่ตั้งเบิกไปนั้นเสีย ดังนี้เมื่อจำเลยที่3 ซึ่งมีหน้าที่ควบคุมและจดบัญชีสิ่งของ(แอ๊กมี่2) กับเขียนต้นขั้วใบสั่งจ่ายใบสั่งจ่ายของ ใบนำออกและใบแจ้งจำนวนได้คิดราคาผ้าใส่ไว้ในต้นขั้วใบสั่งจ่ายและใบสั่งจ่ายเป็นเงิน 5076 บาทอันเป็นราคาของผ้าจำนวน 307 ผืนตั้งแต่แรก และเมื่อลงบัญชีแอ๊กมี่2จำเลยที่ 3 ยังเอาความเท็จมาแทงจำหน่ายว่าได้จ่ายผ้าให้กรมการสัตว์ทหารบกไป 307 ผืนราคา 5,176 บาท ให้ตรงกันอีกโดยไม่มีข้อแก้ตัว ดังนี้จำเลยที่ 3 ได้ชื่อว่าสมคบกับจำเลยที่ 1 กระทำความผิด
อนึ่ง เมื่อจำเลยที่ 3 รู้อยู่ว่าฎีกา (ที่2/2495) ของกรมการสัตว์ทหารบกได้รับอนุญาตให้เบิกผ้าสีกากีนวลปูนอนได้เพียง 107 ผืน แต่จำเลยที่ 3 กลับนำความซึ่งรู้อยู่ว่าเท็จมาจดลงในใบสั่งจ่ายของและบัญชีแอ๊กมี่2ว่าได้จ่ายผ้าสีกากีนวลปูนอนให้กรมการสัตว์ทหารบก 307 ผืนเช่นนี้ จำเลยที่ 3 จึงมีความผิดตามมาตรา 230 ไม่ใช่ตามมาตรา 133 เพราะจำเลยที่ 3 ไม่ใช่เจ้าพนักงานที่มีหน้าที่จัดการหรือดูแลกิจการใดๆ แล้วไปกระทำการเกี่ยวข้องหาผลประโยชน์หรือกำไรโดยเอาส่วนลดและกำไรในการซื้อขายหรือเข้าหุ้นส่วนกันซื้อ และไม่ใช่ตามมาตรา 317 ที่โจทก์อ้าง
ความผิดของจำเลยที่ 3 ตามมาตรา 230 นั้นมิใช่ทำต่อทรัพย์ของรัฐบาลที่จำเลยที่ 1 เอาไป จึงไม่ต้องด้วยมาตรา 89 พระราชบัญญัติพระธรรมนูญศาลทหาร 2477 ดังนี้ศาลก็ไม่บังคับให้จำเลยที่ 3 ใช้ราคาทรัพย์ตามที่โจทก์ขอ
อนึ่ง เมื่อจำเลยที่ 3 รู้อยู่ว่าฎีกา (ที่2/2495) ของกรมการสัตว์ทหารบกได้รับอนุญาตให้เบิกผ้าสีกากีนวลปูนอนได้เพียง 107 ผืน แต่จำเลยที่ 3 กลับนำความซึ่งรู้อยู่ว่าเท็จมาจดลงในใบสั่งจ่ายของและบัญชีแอ๊กมี่2ว่าได้จ่ายผ้าสีกากีนวลปูนอนให้กรมการสัตว์ทหารบก 307 ผืนเช่นนี้ จำเลยที่ 3 จึงมีความผิดตามมาตรา 230 ไม่ใช่ตามมาตรา 133 เพราะจำเลยที่ 3 ไม่ใช่เจ้าพนักงานที่มีหน้าที่จัดการหรือดูแลกิจการใดๆ แล้วไปกระทำการเกี่ยวข้องหาผลประโยชน์หรือกำไรโดยเอาส่วนลดและกำไรในการซื้อขายหรือเข้าหุ้นส่วนกันซื้อ และไม่ใช่ตามมาตรา 317 ที่โจทก์อ้าง
ความผิดของจำเลยที่ 3 ตามมาตรา 230 นั้นมิใช่ทำต่อทรัพย์ของรัฐบาลที่จำเลยที่ 1 เอาไป จึงไม่ต้องด้วยมาตรา 89 พระราชบัญญัติพระธรรมนูญศาลทหาร 2477 ดังนี้ศาลก็ไม่บังคับให้จำเลยที่ 3 ใช้ราคาทรัพย์ตามที่โจทก์ขอ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1001/2496 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเปลี่ยนแปลงโทษอาญาในชั้นอุทธรณ์และการฎีกาในข้อเท็จจริงเกี่ยวกับความผิดสมคบทำร้ายร่างกาย
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 ผิดตาม ก.ม.ลักษณะอาญามาตรา 256 จำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 2 ปี เพิ่มโทษ 1 ใน 3 เป็นโทษจำคุก 2 ปี 8 เดือน จำเลยที่ 2 จำคุก 2 ปี 6 เดือน ลดฐานเป็นเด็ก 1 ใน 3 คงจำคุก 1 ปี 8 เดือน.
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ว่า จำเลยที่ 1 ผิดตามมาตรา 254 จำคุก 15 วัน ปรับ 120 บาท เพิ่มโทษ 1 ใน 3 เป็นจำคุก 20 วัน ปรับ 160 บาท โทษจำให้ยกเสีย ส่วนจำเลยที่ 2 ผิดตามมาตรา 256 จำคุก 2 ปี ลดฐานเป็นเด็กกึ่งหนึ่งคงจำ คุก 1 ปี และให้รอการลงอาญาไว้ ดังนี้ คดีเฉพาะจำเลยที่ 1 ศาลอุทธรณ์แก้ทั้งบทและทั้งกำหนดโทษ ถือว่า เป็นการ แก้ไขมาก โจทก์ย่อมฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงได้และคดีเฉพาะจำเลยที่ 2 แม้ศาลอุทธรณ์เพียงแต่แก้ไขกำหนดโทษ เท่านั้น แต่ก็ให้รอการลงอาญาแก่จำเลยไว้ จึงเป็นการแก้ไขมาก ฎีกาในข้อเท็จจริงได้เช่นเดียวกัน./
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ว่า จำเลยที่ 1 ผิดตามมาตรา 254 จำคุก 15 วัน ปรับ 120 บาท เพิ่มโทษ 1 ใน 3 เป็นจำคุก 20 วัน ปรับ 160 บาท โทษจำให้ยกเสีย ส่วนจำเลยที่ 2 ผิดตามมาตรา 256 จำคุก 2 ปี ลดฐานเป็นเด็กกึ่งหนึ่งคงจำ คุก 1 ปี และให้รอการลงอาญาไว้ ดังนี้ คดีเฉพาะจำเลยที่ 1 ศาลอุทธรณ์แก้ทั้งบทและทั้งกำหนดโทษ ถือว่า เป็นการ แก้ไขมาก โจทก์ย่อมฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงได้และคดีเฉพาะจำเลยที่ 2 แม้ศาลอุทธรณ์เพียงแต่แก้ไขกำหนดโทษ เท่านั้น แต่ก็ให้รอการลงอาญาแก่จำเลยไว้ จึงเป็นการแก้ไขมาก ฎีกาในข้อเท็จจริงได้เช่นเดียวกัน./
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 896/2495
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดทางอาญาในความผิดสมคบกันลักทรัพย์ และผลของการรับสารภาพ
โจทก์ฟ้องหาว่าจำเลยทั้งสามสมคบกันลักทรัพย์ของผู้มีชื่อ ขอให้ลงโทษ จำเลยคนหนึ่งรับสารภาพตามฟ้อง ส่วนจำเลยอีกสองคนปฏิเสธ ครั้นเมื่อพิจารณาไป ศาลสงสัยพยานโจทก์จึงปล่อยจำเลยทั้ง 2 คนที่ปฏิเสธไป ส่วนจำเลยที่รับสารภาพนั้น ศาลย่อมพิพากษาลงโทษฐานลักทรัพย์โดยมีพรรคพวกได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 399/2495 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความสมบูรณ์ของฟ้องอาญา กรณีระบุตัวผู้กระทำผิดที่ไม่ชัดเจน ฟ้องไม่เคลือบคลุมหรือไม่
ฟ้องโจทก์บรรยายหาว่าจำเลยได้สมคบกันทำไม้แปรรูปไม้และชักลากไม้โดยใช้อุบายหรือจ้างวานให้ผู้อื่นทำไม้ แปรรูปไม้และชักลากไม้โดยไม่ได้รับอนุณาต และได้สมคบกับพวกที่หลบหนีไปลักไม้ ขอให้ลงโทษดังนี้ ผู้อื่นที่จำเลยใช้อุบายจ้างวานและพวกที่หลบหนีไปจะเป็นใครและมีจำนวนกี่คนนั้น ไม่ใช่ข้อสำคัญแห่งคดีที่จะทำให้จำเลยเข้าใจผิดหลงว่า จำเลยไม่ได้กระทำผิดดังที่โจทก์บรรยายมาในฟ้อง ฟ้องเช่นนี้จึงสมบูรณ์ไม่เคลือบคลุม