พบผลลัพธ์ทั้งหมด 856 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 507/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การหมิ่นประมาททางวาจา: การพิจารณาเจตนาและความหมายของคำพูดตามบริบท
ข้อความที่จำเลยกล่าวว่า"สำหรับอ.นั้นขอให้พิจารณาเป็นพิเศษด้วยเดินหากินจุ้นจ้านที่ศาลเพราะสำนักงานร้างไปแล้ว"คำว่า"จุ้นจ้าน"เป็นคำกริยาตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถานพ.ศ.2525มีความหมาย2นัยนัยแรกคือเข้าไปยุ่งเกี่ยวในสถานที่หรือนัยที่สองเข้าไปยุ่งเกี่ยวในเรื่องที่ไม่ใช่หน้าที่ของตัวจนน่าเกลียดเมื่อพิจารณาทั้งประโยคที่ว่า"เดินหากินจุ้นจ้านที่ศาล"จึงน่าจะมีความตามความนัยแรกคือโจทก์เข้าไปเดินหากินยุ่งเกี่ยวในศาลในลักษณะพลุกพล่านยุ่มย่ามจนน่าเกลียดเพราะสำนักงานร้างไปแล้วเมื่อได้ความว่าจำเลยได้ติดต่อให้โจทก์เป็นทนายความที่ศาลจังหวัดนครศรีธรรมราชและจำเลยเอาเงินค่าจ้างว่าความส่วนหนึ่งไปให้โจทก์ที่บ้านโดยไม่ได้ความชัดว่าโจทก์มีสำนักงานทนายความแยกจากบ้านที่พักอาศัยหรือไม่ส่วนจำเลยไม่เคยติดต่อโจทก์ที่สำนักงานทนายความของโจทก์ดังนั้นการที่จำเลยกล่าวว่าโจทก์ไปเดินหากินจุ้นจ้านที่ศาลเพราะสำนักงานร้างไปแล้วจึงเป็นการกล่าวไปตามความเข้าใจของจำเลยว่าโจทก์ไม่มีสำนักงานเป็นหลักแหล่งต้องใช้ศาลเป็นที่ทำมาหากินมิได้มีความหมายไปในทางที่ว่าโจทก์เป็นทนายความที่ไม่ซื่อสัตย์สุจริตหรืออาศัยวิชาชีพหลอกลวงฉ้อโกงจำเลยหรือประชาชนจึงฟังไม่ได้ว่าจำเลยมีเจตนาใส่ความโจทก์ให้เสียหายหรือถูกดูหมิ่นเกลียดชังคำกล่าวดังกล่าวจึงยังถือไม่ได้ว่าเป็นการหมิ่นประมาทใส่ความโจทก์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 489/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องเท็จฐานหมิ่นประมาท ต้องมีเจตนาและข้อความเป็นเท็จ โดยพิจารณาจากบริบทของเอกสารและพฤติการณ์
การกระทำที่จะเป็นความผิดตาม ป.อ.มาตรา 175นอกจากจะต้องเอาข้อความเป็นเท็จฟ้องผู้อื่นต่อศาลว่ากระทำความผิดอาญาแล้ว ผู้กระทำจะต้องมีเจตนาตาม ป.อ.มาตรา 59 ด้วย เมื่อปรากฏว่าหนังสือตามเอกสารหมาย ล.1 ที่โจทก์ทำและนำไปปิดประกาศที่หน้าบ้านโจทก์ซึ่งบุคคลอื่นที่ผ่านไปมาสามารถพบเห็นได้โดยง่ายมีข้อความว่า ป.ผู้เช่าบ้านของ ก.ภริยาโจทก์ซึ่งถูกฟ้องขับไล่ทนต่อความละอายไม่ได้ ได้ออกจากบ้านเช่าไปอยู่ที่อื่นแล้ว แต่จำเลยกับมารดาและน้อง ๆ ของจำเลยบริวารของ ป.ยังคงอาศัยอยู่ในบ้านเช่าตามลำพังโดยไม่จ่ายค่าเช่า และจำเลยได้นำป้ายชื่อและอาชีพของตนไปติดไว้ที่ฝาบ้านโดยเปิดเผยแสดงเจตนาครอบครองบ้านเช่าเช่นนี้ ย่อมมีเหตุผลให้จำเลยเชื่อว่าโจทก์ใส่ความจำเลยต่อบุคคลที่สามโดยการโฆษณาด้วยเอกสารว่า แม้ผู้เช่าบ้านได้ยอมออกจากบ้านไปแล้ว จำเลยซึ่งเป็นบริวารยังดื้อดึงอาศัยอยู่ในบ้านเช่าตามลำพังโดยไม่จ่ายค่าเช่าให้แก่ผู้เช่า ทั้งยังเอาป้ายชื่อและอาชีพของจำเลยไปติดไว้แสดงเจตนาครอบครองบ้านเช่า เป็นการกระทำที่น่าจะทำให้จำเลยเสียชื่อเสียงถูกดูหมิ่นหรือถูกเกลียดชังและตามหนังสือเอกสารหมาย ล.1 ก็เป็นหนังสือของโจทก์ถึงจำเลยโดยตรงข้อความที่ว่า ป.ผู้เช่าได้ออกจากบ้านเช่าไปอยู่ที่อื่นแล้วนั้น ก็มีความหมายอยู่ในตัวว่า ป.ไม่มีหน้าที่ต้องชำระค่าเช่าบ้านอีกต่อไป ผู้ที่ตัองรับผิดชำระค่าเช่าบ้านคือผู้ที่อยู่ในบ้านเช่า ซึ่งก็หมายถึงตัวจำเลยนั่นเอง ทั้งจำเลยได้แนบเอกสารหมาย ล.1 เป็นเอกสารท้ายฟ้องของคดีอาญาที่โจทก์กล่าวหาว่าเป็นฟ้องเท็จด้วย จำเลยจึงมิได้บรรยายฟ้องคดีหมิ่นประมาทโดยการบิดเบือนข้อเท็จจริง พฤติการณ์แห่งคดีไม่พอฟังว่าจำเลยมีเจตนาฟ้องเท็จ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 489/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาฟ้องเท็จในคดีหมิ่นประมาท การตีความข้อความในเอกสารและหลักการรับฟังพยาน
การกระทำที่จะเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา175นอกจากจะต้องเอาข้อความเป็นเท็จฟ้องผู้อื่นต่อศาลว่าการกระทำความผิดอาญาแล้วผู้กระทำจะต้องมีเจตนาตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา59ด้วยเมื่อปรากฏว่าหนังสือตามเอกสารหมายล.1ที่โจทก์ทำและนำไปปิดประกาศที่หน้าบ้านโจทก์ซึ่งบุคคลอื่นที่ผ่านไปมาสามารถพบเห็นได้โดยง่ายมีข้อความว่าป.ผู้เช่าบ้านของก. ภริยาโจทก์ซึ่งถูกฟ้องขับไล่ทนต่อความละอายไม่ได้ได้ออกจากบ้านเช่าไปอยู่ที่อื่นแล้วแต่จำเลยกับมารดาและน้องๆของจำเลยบริวารของป. ยังคงอาศัยอยู่ในบ้านเช่าตามลำพังโดยไม่จ่ายค่าเช่าและจำเลยได้นำป้ายชื่อและอาชีพของตนไปติดไว้ที่ฝาบ้านโดยเปิดเผยแสดงเจตนาครอบครองบ้านเช่าเช่นนี้ย่อมมีเหตุผลให้จำเลยเชื่อว่าโจทก์ใส่ความจำเลยต่อบุคคลที่สามโดยการโฆษณาด้วยเอกสารว่าแม้ผู้เช่าบ้านได้ยอมออกจากบ้านไปแล้วจำเลยซึ่งเป็นบริวารยังดื้อดึงอาศัยอยู่ในบ้านเช่าตามลำพังโดยไม่จ่ายค่าเช่าให้แก่ผู้ให้เช่าทั้งยังเอาป้ายชื่อและอาชีพของจำเลยไปติดไว้แสดงเจตนาครอบครองบ้านเช่าเป็นการกระทำที่น่าจะทำให้จำเลยเสียชื่อเสียงถูกดูหมิ่นหรือถูกเกลียดชังและตามหนังสือเอกสารหมายล.1ก็เป็นหนังสือของโจทก์ถึงจำเลยโดยตรงข้อความที่ว่าป.ผู้เช่าได้ออกจากบ้านเช่าไปอยู่ที่อื่นแล้วนั้นก็มีความหมายอยู่ในตัวว่าป.ไม่มีหน้าที่ต้องชำระค่าเช่าบ้านอีกต่อไปผู้ที่ต้องรับผิดชำระค่าเช่าบ้านคือผู้ที่อยู่ในบ้านเช่าซึ่งก็หมายถึงตัวจำเลยนั้นเองทั้งจำเลยได้แนบเอกสารหมายล.1เป็นเอกสารท้ายฟ้องของคดีอาญาที่โจทก์กล่าวหาเป็นฟ้องเท็จด้วยจำเลยจึงมิได้บรรยายฟ้องคดีหมิ่นประมาทโดยการบิดเบือนข้อเท็จจริงพฤติการณ์แห่งคดีไม่พอฟังว่าจำเลยมีเจตนาฟ้องเท็จ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4879/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การใช้คำด่าว่าที่ไม่ถึงขั้นหมิ่นประมาทอย่างร้ายแรง ไม่ถือเป็นเนรคุณจนถึงขั้นถอนคืนการให้
จำเลยเป็นน้องสาวโจทก์ ก่อนที่จำเลยจะด่าว่าโจทก์ โจทก์และจำเลยทั้งสองโต้เถียงกันเรื่องที่จำเลยจะขายที่ดินพิพาท แต่โจทก์ไม่ยอมให้ขายการที่จำเลยด่าโจทก์ว่า อีเหี้ย อีสัตว์ อีดอกทอง และไอ้หมา เป็นเพียงคำหยาบคายดูถูกเหยียดหยาม และสบประมาทโจทก์เท่านั้น ยังไม่เป็นการหมิ่นประมาทโจทก์อย่างร้ายแรงอันเป็นการประพฤติเนรคุณอันโจทก์จะเรียกถอนคืนการให้เพราะเหตุดังกล่าวได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4879/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำด่าด้วยถ้อยคำหยาบคายระหว่างพี่น้อง ไม่ถือเป็นการหมิ่นประมาทร้ายแรงจนถึงขั้นเพิกถอนการให้
จำเลยเป็นน้องสาวโจทก์ก่อนที่จำเลยจะด่าว่าโจทก์โจทก์และจำเลยทั้งสองโต้เถียงกันเรื่องที่จำเลยจะขายที่ดินพิพาทแต่โจทก์ไม่ยอมให้ขายการที่จำเลยด่าโจทก์ว่าอีเหี้ยอีสัตว์อีดอกทองและไอ้หมาเป็นเพียงคำหยาบคายดูถูกเหยียดหยามและสบประมาทโจทก์เท่านั้นยังไม่เป็นการหมิ่นประมาทโจทก์อย่างร้ายแรงอันเป็นการประพฤติเนรคุณอันโจทก์จะเรียกถอนคืนการให้เพราะเหตุดังกล่าวได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4853/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
หมิ่นประมาททางหนังสือพิมพ์: การลงข้อความใส่ความโจทก์โดยไม่ตรวจสอบความจริง
จำเลยในฐานะบรรณาธิการหนังสือพิมพ์ ลงพิมพ์ข้อความเกี่ยวกับโจทก์ในหนังสือพิมพ์ว่า "ผู้ที่ไปรายงานให้อุปทูตซาอุดีอาระเบียทราบมีเหตุผลอะไรที่ต้องแอบไปขายเพื่อนให้กับอุปทูต..." และข้อความว่า "...สาเหตุที่พันตำรวจเอกคนนั้นแอบไปสารภาพไถ่บาปกับอุปทูตเพื่อสร้างความดีความชอบให้กับตนเอง พันตำรวจโทสมคิดรู้เต็มอกว่า เพื่อนนายตำรวจในทีมคนไหนแอบใช้มีดปักหลังเพื่อน..." กับข้อความว่า "...และต่อมานายโมจาเอ็ด เอ อัลโนไวเซอร์ อุปทูตซาอุ ฯ ได้ยื่นหนังสือร้องทุกข์กล่าวโทษ พ.ต.ท.สมคิด บุญถนอมว่าเป็นผู้มีส่วนรู้เห็นในการหายตัวลึกลับของนายโมฮัมเหม็ด อัลรู ไวรี่ นักธุรกิจชาวซาอุ ฯ โดยอ้างจากคำบันทึกของ พ.ต.อ.เทพรัตน์ รัตนวานิช ว่าเป็นผู้รายงานให้ทราบ..." ข้อความดังกล่าว มีลักษณะเป็นการใส่ความว่าโจทก์เป็นคนไม่ดี โดยนำเรื่องไปบอกอุปทูตซาอุดีอาระเบีย เป็นคนขายเพื่อนเพื่อหาความดีให้ตน จึงเป็นกรณีน่าจะทำให้โจทก์เสียชื่อเสียงถูกดูหมิ่นหรือถูกเกลียดชัง ซึ่งจำเลยเองก็ยอมรับว่า จำเลยไม่ทราบว่าข้อความดังกล่าวนั้นจะเป็นความจริงหรือไม่ฉะนั้น จำเลยจะอ้างว่าแสดงความคิดเห็นโดยสุจริต ติชมด้วยความเป็นธรรมอันเป็นวิสัยของจำเลยซึ่งมีวิชาชีพของหนังสือพิมพ์ไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3992/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
บรรณาธิการหนังสือพิมพ์ต้องรับผิดในฐานะตัวการ หากลงพิมพ์ข้อความหมิ่นประมาท แม้จะไม่มีเจตนา
จำเลยที่ 2 ให้สัมภาษณ์และได้ลงพิมพ์ในหนังสือพิมพ์กล่าวหมิ่นประมาทโจทก์ร่วมอันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326 จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นบรรณาธิการหนังสือพิมพ์ดังกล่าวต้องรับผิดเป็นตัวการตามพระราชบัญญัติการพิมพ์ พ.ศ. 2484 มาตรา 48 แม้จำเลยที่ 1จะไม่มีเจตนาหมิ่นประมาทโจทก์ร่วมและลงพิมพ์ไปตามคำสัมภาษณ์ของจำเลยที่ 2 เพื่อให้ประชาชนทั่วไปได้ทราบความเป็นไปในพรรคการเมืองก็ตาม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3992/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดของบรรณาธิการหนังสือพิมพ์ต่อการหมิ่นประมาทจากบทสัมภาษณ์ แม้ไม่มีเจตนา
แม้จำเลยที่1จะ ไม่มี เจตนา หมิ่นประมาทโจทก์ร่วมและลงพิมพ์ข้อความไปตามคำสัมภาษณ์ของจำเลยที่2ซึ่งเป็นสมาชิกพรรคการเมืองเพื่อให้ประชาชนทั่วไปได้ทราบความเป็นไปในพรรคการเมืองนั้นก็ตามแต่เมื่อหนังสือพิมพ์ซึ่งจำเลยที่1เป็น บรรณาธิการลงข้อความหมิ่นประมาทโจทก์ร่วมจำเลยที่1ก็ย่อมมีความผิดในฐานะเป็น ตัวการตามพระราชบัญญัติการพิมพ์พ.ศ.2484มาตรา48 ศาลล่างลงโทษปรับจำเลยทั้งสองตาม อัตราโทษของกฎหมายที่ใช้บังคับภายหลังการกระทำผิดซึ่งมีโทษปรับสูงกว่ากฎหมายเดิมจึงไม่เป็นคุณแก่จำเลยทั้งสองและไม่อาจนำกฎหมายดังกล่าวมาปรับบทลงโทษจำเลยทั้งสองได้ปัญหานี้เป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยศาลฎีกาแก้ไขให้ถูกต้องได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3954/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การหมิ่นประมาทกองทัพ: การระบุเจาะจงและการตีความหมายของข้อความ
ประเทศไทยมีกองทัพบก กองทัพเรือ และกองทัพอากาศจำเลยให้สัมภาษณ์และลงพิมพ์ในหนังสือพิมพ์เกี่ยวกับกองทัพโดยมิได้ระบุเจาะจงว่าเป็น กองทัพใด ข้อความที่เกี่ยวกับอาวุธปืนใหญ่ก็มีไว้ใช้ในกองทัพใดก็ได้ส่วนการซื้อเครื่องบิน รถถังและอาวุธต่าง ๆก็ไม่ได้หมายความถึงกองทัพบกโดยเฉพาะ และที่ว่าซื้อมาแล้วก็มากองที่สระบุรี ก็มีความหมายว่า ของที่กองทัพซื้อมาถูกทอดทิ้งไว้ที่จังหวัดสระบุรี ถึงแม้ในจังหวัดสระบุรีจะมีหน่วยงานกองทัพบกเท่านั้น ก็จะตีความหมายเลยไปถึงว่าเป็นกองทัพบกไม่ได้ ดังนั้น จะถือว่าจำเลยใส่ความหมิ่นประมาทกองทัพบกโดยเฉพาะหาได้ไม่ กองทัพบกจึงไม่เป็นผู้เสียหายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 2(4)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3954/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การหมิ่นประมาทกองทัพ: การระบุตัวผู้เสียหายและการตีความข้อความ
ที่จำเลยที่1กล่าวถึงกองทัพบุคคลธรรมดาทั่วไปย่อมไม่อาจเข้าใจว่าเป็นการกล่าวถึงกองทัพใดจะถือว่าจำเลยที่1ใส่ความกองทัพบกโดยเฉพาะหาได้ไม่การกระทำของจำเลยทั้งสองจึงไม่เป็นการหมิ่นประมาทกองทัพบกกองทัพบกจึงไม่เป็นผู้เสียหายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา2(4)ไม่มีสิทธิร้องทุกข์ให้พนักงานสอบสวนดำเนินคดีแก่จำเลยทั้งสองได้โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง