คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
หลักประกัน

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 183 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 458/2535 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเรียกค่าปรับจากสัญญา แม้มีข้อตกลงให้หักจากหลักประกัน ก็ต้องสงวนสิทธิในการเรียกค่าปรับตามกฎหมาย
สัญญาระหว่างโจทก์จำเลยมีข้อความว่า อ.ม.ท. (ชื่อย่อของจำเลย) มีสิทธิบอกเลิกสัญญานี้ได้ทันที ฯลฯ เว้นแต่ อ.ม.ท. เห็นว่าตัวแทนรวบรวม (รับซื้อ) แร่ได้กระทำหรืองดเว้นการกระทำ โดยไม่จงใจ ตัวแทนรวบรวม (รับซื้อ) แร่ยินยอมให้ อ.ม.ท. ปรับ ตามจำนวนที่ อ.ม.ท. กำหนด แต่ต้องไม่เกินครั้งละ 100,000 บาทต่อการปฏิบัติผิดสัญญาข้อหนึ่ง ๆ โดย อ.ม.ท. มีสิทธิหักเงินค่าปรับจากหลักประกันได้ทันที โดยไม่ต้องเรียกร้องให้ตัวแทนรวบรวม (รับซื้อ) แร่ชำระก่อน ตามข้อสัญญาดังกล่าวไม่มีข้อความตอนใด บ่งบอกว่ายกเว้นไม่ต้องปฏิบัติตาม ป.พ.พ. มาตรา 381 วรรคท้ายที่ว่า ถ้าเจ้าหนี้ยอมรับชำระหนี้แล้วจะเรียกเอาเบี้ยปรับได้ต่อเมื่อ ได้บอกสงวนสิทธิไว้เช่นนั้น ในเวลารับชำระหนี้ข้อความในสัญญา ระหว่างโจทก์จำเลยมีเพียงว่าจำเลยมีสิทธิหักเงินค่าปรับได้ทันที เท่านั้น ดังนั้นเรื่องอื่น ๆจำเลยจะต้องปฏิบัติตามกฎหมาย คือ สงวนสิทธิที่จะเรียกเบี้ยปรับไว้เมื่อจำเลยไม่ได้สงวนสิทธิไว้ จำเลยก็ปรับไม่ได้.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 458/2535

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเรียกค่าปรับจากสัญญาตัวแทน: จำเป็นต้องสงวนสิทธิแม้มีข้อตกลงให้หักจากหลักประกันได้ทันที
จำเลยทำสัญญาตั้งโจทก์เป็นตัวแทนรับซื้อแร่ มีข้อตกลงให้โจทก์ชำระค่าตอบแทนให้จำเลยตามจำนวนแร่ที่รับซื้อภายในเวลาที่กำหนดไว้หากผิดนัดโจทก์ยินยอมให้จำเลยปรับได้ครั้งละไม่เกิน 100,000 บาทโดยจำเลยมีสิทธิหักค่าปรับจากเงินประกันที่โจทก์วางไว้ได้ทันทีโดยไม่ต้องเรียกร้องก่อน ข้อตกลงดังกล่าวเป็นเพียงว่าในกรณีที่โจทก์ผิดนัดจำเลยมีสิทธิหักเงินค่าปรับได้ทันทีเท่านั้น มิได้เป็นข้อตกลงยกเว้นข้อบัญญัติประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 381 วรรคท้าย ที่ไม่ต้องสงวนสิทธิเรียกเบี้ยปรับในกรณีผิดนัดไว้ในขณะรับชำระหนี้ เมื่อจำเลยไม่ได้สงวนสิทธิเรียกเบี้ยปรับไว้จำเลยจึงไม่มีสิทธิหักเงินค่าปรับจากเงินประกันของโจทก์ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2085/2535

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจ้าหนี้มีประกันมีสิทธิรับชำระหนี้จากหลักประกันก่อนเจ้าหนี้อื่น การชำระหนี้ไม่ทำให้เจ้าหนี้สามัญเสียเปรียบ
ลูกหนี้กู้เงินจากผู้คัดค้านโดยจดทะเบียนจำนองที่ดินและสิ่งปลูกสร้างรวม 2 โฉนด เป็นประกัน แต่สัญญาจำนองมีข้อความว่าลูกหนี้ตกลงจำนองที่ดินและสิ่งปลูกสร้างเพื่อประกันหนี้เงินกู้และหนี้สินประเภทอื่น ๆ ของผู้จำนอง ทั้งมีอยู่แล้วในขณะทำสัญญาหรือที่จะมีขึ้นต่อไปในภายหน้าด้วย สัญญาจำนองจึงมีผลเป็นการประกันหนี้ตามสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีที่ลูกหนี้เป็นผู้คัดค้านอยู่ก่อนแล้วด้วยและถือว่าผู้คัดค้านเป็นเจ้าหนี้มีประกันในหนี้ดังกล่าวทั้งสองจำนวน เมื่อผู้คัดค้านนำเงินค่าขายที่ดินและสิ่งปลูกสร้างทั้งสองโฉนดมาหักหนี้เงินกู้แล้วคงเหลือเงินอีก 60,000 บาท ผู้คัดค้านย่อมนำเงินที่เหลือมาหักหนี้ตามสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีซึ่งผู้คัดค้านมีฐานะเป็นเจ้าหนี้มีประกันด้วยได้ ไม่ทำให้เจ้าหนี้อื่นซึ่งเป็นเพียงเจ้าหนี้สามัญเสียเปรียบ จึงเพิกถอนการไถ่ถอนจำนองและการรับชำระหนี้ของผู้คัดค้านตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 115 ไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 934/2534

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเพิกถอนยึดทรัพย์เพื่อบรรเทาความเสียหายแก่ผู้ร้อง โดยมีหลักประกันเพียงพอและโจทก์ไม่เสียหาย
ที่ดินที่โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาของจำเลยนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดและอายัด ผู้ร้องมีภาระที่จะต้องจัดสรรขายและทำนิติกรรมให้แก่ผู้อื่น หากไม่เพิกถอนการยึดผู้ร้องและบุคคลภายนอกย่อมได้รับความเสียหาย และสมุดเงินฝากธนาคารที่ผู้ร้องเสนอเพื่อนำมาวางเป็นประกันและจะนำมาทำสัญญาค้ำประกันต่อศาลก็มีจำนวนเงินมากกว่าราคาที่ดินที่พิพาทที่เจ้าพนักงานบังคับคดีประเมินไว้เฉพาะส่วนที่จำเลยมีสิทธิได้รับ และหลักประกันสมุดเงินฝากธนาคารดังกล่าวโจทก์สามารถยึดชำระหนี้ได้เมื่อผู้ร้องแพ้คดี นอกจากนี้ห้าง บ. ได้นำเงินที่จำเลยมีสิทธิเรียกร้องส่งศาลเป็นประจำทุกเดือนตามที่ผู้ร้องกับโจทก์ได้ตกลงกัน โจทก์จึงไม่ได้รับความเสียหายและแม้จะมีการเพิกถอนการยึดและอายัดแล้วศาลก็ยังคงพิจารณาไต่สวนเรื่องการร้องขอปล่อยทรัพย์ต่อไป หาทำให้เหตุพิพาทในเรื่องร้องขัดทรัพย์ที่ผู้ร้องร้องหมดไปไม่ ศาลจึงชอบที่จะสั่งให้เพิกถอนการยึดทรัพย์พิพาท ทั้งนี้ โดยอาศัยเหตุเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม และเพื่อบรรเทาความเสียหายให้ผู้ร้องซึ่งเป็นการสั่งโดยอำนาจของศาลที่จะสั่งได้.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 34/2534 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การรับอุทธรณ์คำสั่งที่ไม่รับอุทธรณ์ - หน้าที่ศาลในการพิจารณามูลค่าความเสียหายและหลักประกัน
จำเลยยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งที่ไม่รับอุทธรณ์โดยมิได้นำเงินมาชำระตามคำพิพากษาหรือหาประกันให้ไว้ต่อศาล การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งดังคำร้องอุทธรณ์คำสั่งที่ไม่รับอุทธรณ์ของจำเลยโดยยังไม่ได้สั่งเกี่ยวกับเรื่องที่จำเลยไม่วางเงินหรือหาประกันมาวางเพื่อใช้ค่าฤชาธรรมเนียมและหนี้ตามคำพิพากษา โดยไม่ได้ส่งไปให้ศาลอุทธรณ์สั่งย่อมเป็นการไม่ชอบเพราะเป็นอำนาจหน้าที่ของศาลอุทธรณ์ และถือว่าจำเลยไม่มีเจตนาฝ่าฝืนไม่นำเงินค่าฤชาธรรมเนียมและเงินที่ต้องชำระตามคำพิพากษามาวางศาลหรือหาประกันให้ต่อศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 234 จึงชอบที่จะสั่งให้จำเลยนำเงินค่าฤชาธรรมเนียมและเงินที่จะต้องชำระตามคำพิพากษาหรือหาประกันให้ไว้ต่อศาลชั้นต้นภายในกำหนดเวลาที่ศาลเห็นสมควร

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 119/2534 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การประเมินราคาศุลกากร, การสำแดงเท็จ, และการระงับคดีอาญา: สิทธิในการโต้แย้งและการคืนหลักประกัน
เมื่อพนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยตรวจสินค้าที่โจทก์นำเข้ามาในราชอาณาจักร เห็นว่าโจทก์ยื่นใบขนสินค้าขาเข้าและสำแดงราคาสินค้าไม่ถูกต้อง โจทก์จะต้องเสียภาษีอากรเพิ่มขึ้น ให้โจทก์นำหนังสือค้ำประกันของธนาคารไปวางเป็นประกันค่าภาษีอากรไว้ ทั้งการกระทำของโจทก์มีความผิดฐานสำแดงเท็จตามพระราชบัญญัติศุลกากรพ.ศ. 2469 มาตรา 27 และ 99 จึงมีหนังสือเรียกให้โจทก์ไปตกลงระงับคดีอาญา ซึ่งหากโจทก์ยอมเสียค่าปรับ 2 เท่า ของอากรที่ขาดโดยคำนวณจากราคาอันแท้จริงในท้องตลาดของสินค้าที่โจทก์นำเข้าตามคำเปรียบเทียบของพนักงานเจ้าหน้าที่ก็ย่อมทำให้คดีอาญาระงับตามมาตรา 102 และ 102 ทวิ เมื่อโจทก์ไม่ยินยอมให้เปรียบเทียบปรับจำเลยจึงส่งเรื่องให้พนักงานสอบสวนดำเนินคดีแก่โจทก์ ซึ่งเป็นการปฏิบัติตามขั้นตอนที่พระราชบัญญัติศุลกากรกำหนดไว้ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องขอให้เพิกถอนข้อกล่าวหาหรือคำสั่งของจำเลยที่ตีราคาสินค้าโจทก์แล้วนำไปกำหนดค่าปรับ และโจทก์ไม่มีสิทธิจะบังคับให้จำเลยคืนหลักประกันค่าภาษีอากรจนกว่าโจทก์จะชำระเงินอากรตามจำนวนที่ได้รับแจ้งให้ครบตามมาตรา 112 ทวิ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 632/2533 เวอร์ชัน 4 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การชำระหนี้และส่งมอบหุ้นเป็นหลักประกัน: สิทธิในการรับเงินชำระหนี้ขึ้นอยู่กับการส่งมอบหุ้นตามคำพิพากษา
ศาลฎีกาพิพากษาว่า เมื่อจำเลยทั้งสองชำระเงินให้โจทก์แล้วให้จำเลยทั้งสองรับใบหุ้นจำนวน 2,000 หุ้นที่สั่งให้โจทก์ซื้อไว้ไปจากโจทก์ด้วย เมื่อจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นลูกหนี้ร่วมได้ชำระหนี้ตามคำพิพากษาศาลฎีกาดังกล่าวโดยนำเงินมาวางไว้ต่อศาลแล้ว โจทก์ต้องนำใบหุ้นจำนวนดังกล่าวมาวางต่อศาลเสียก่อนจึงจะมีสิทธิรับเงินที่จำเลยที่ 1 นำมาวางไว้ไปจากศาลได้ ส่วนที่โจทก์อ้างว่าโจทก์ตีราคาหุ้นดังกล่าวซึ่งเป็นหลักประกันหักกับหนี้ของจำเลยที่ 2 ในคดีล้มละลายแล้วนั้นไม่เกี่ยวข้องกับคดีนี้ หากโจทก์มีข้ออ้างที่จะไม่ต้องชำระหนี้แก่จำเลยทั้งสองอย่างไร ก็ชอบที่จะไปว่ากล่าวกันเป็นคดีใหม่ต่างหาก

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 632/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การชำระหนี้และการส่งมอบหลักประกัน: โจทก์ต้องส่งมอบหุ้นให้จำเลยก่อนรับเงินชำระหนี้
ศาลฎีกาพิพากษาว่า เมื่อจำเลยทั้งสองชำระเงินให้โจทก์แล้วให้จำเลยทั้งสองรับใบหุ้นจำนวน 2,000 หุ้น ที่สั่งให้โจทก์ซื้อไว้ไปจากโจทก์ด้วย เมื่อจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นลูกหนี้ร่วมได้ชำระหนี้ตามคำพิพากษาศาลฎีกาดังกล่าว โดยนำเงินมาวางไว้ต่อศาลแล้วโจทก์ต้องนำใบหุ้นจำนวนดังกล่าวมาวางต่อศาลเสียก่อนจึงจะมีสิทธิรับเงินที่จำเลยที่ 1 นำมาวางไว้ไปจากศาลได้ ส่วนที่โจทก์อ้างว่าโจทก์ตีราคาหุ้นดังกล่าวซึ่งเป็นหลักประกันหักกับหนี้ของจำเลยที่ 2ในคดีล้มละลายแล้วนั้นไม่เกี่ยวข้องกับคดีนี้ หากโจทก์มีข้ออ้างที่จะไม่ต้องชำระหนี้แก่จำเลยทั้งสองอย่างไร ก็ชอบที่จะไปว่ากล่าวกันเป็นคดีใหม่ต่างหาก

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 632/2533

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การชำระหนี้และการส่งมอบหลักประกัน: โจทก์ต้องส่งมอบหุ้นก่อนรับเงินชำระหนี้
ศาลฎีกาพิพากษาว่า เมื่อจำเลยทั้งสองชำระเงินให้โจทก์แล้วให้จำเลยทั้งสองรับใบหุ้นจำนวน 2,000 หุ้นที่สั่งให้โจทก์ซื้อไว้ไปจากโจทก์ด้วย เมื่อจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นลูกหนี้ร่วมได้ชำระหนี้ตามคำพิพากษาศาลฎีกาดังกล่าวโดยนำเงินมาวางไว้ต่อศาลแล้วโจทก์ต้องนำใบหุ้นจำนวนดังกล่าวมาวางต่อศาลเสียก่อนจึงจะมีสิทธิรับเงินที่จำเลยที่ 1 นำมาวางไว้ไปจากศาลได้ ส่วนที่โจทก์อ้างว่าโจทก์ตีราคาหุ้นดังกล่าวซึ่งเป็นหลักประกันหักกับหนี้ของจำเลยที่ 2ในคดีล้มละลายแล้วนั้นไม่เกี่ยวข้องกับคดีนี้ หากโจทก์มีข้ออ้างที่จะไม่ต้องชำระหนี้แก่จำเลยทั้งสองอย่างไร ก็ชอบที่จะไปว่ากล่าวกันเป็นคดีใหม่ต่างหาก.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3438/2533

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การตีความคำสั่งทุเลาการบังคับ: หลักประกันต้องครอบคลุมเฉพาะหนี้ของลูกหนี้แต่ละราย
จำเลยที่ 3 ฎีกาอ้างว่า ศาลล่างทั้งสองแปลคำสั่งของศาลอุทธรณ์ไม่ถูกต้อง มิใช่ฎีกาโต้แย้งดุลพินิจในการสั่งเรื่องการขอทุเลาการบังคับซึ่งเป็นอำนาจแต่ละชั้นของศาล จึงเป็นเรื่องที่พิพาทกันเกี่ยวกับการดำเนินกระบวนพิจารณาของศาลในชั้นบังคับคดีว่าเป็นไปโดยชอบหรือไม่ ซึ่งไม่มีบทกฎหมายห้ามมิให้ฎีกา ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 2 ต้องรับผิดในต้นเงิน496,396.80 บาท จำเลยที่ 3 ต้องร่วมรับผิดในต้นเงินไม่เกิน100,000 บาท และดอกเบี้ยในต้นเงินดังกล่าว จำเลยที่ 2 ที่ 3ยื่นคำร้องขอทุเลาการบังคับรวมเป็นฉบับเดียวกัน ศาลอุทธรณ์สั่งคำร้องว่า ถ้าจำเลยที่ 2 หรือที่ 3 คนใดคนหนึ่งหรือร่วมกันหาประกันสำหรับจำนวนเงินที่จะต้องชำระตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นพร้อมด้วยดอกเบี้ยมีกำหนด 5 ปี มาให้จนเป็นที่พอใจและภายในเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนดก็อนุญาตให้ทุเลาการบังคับไว้ในระหว่างอุทธรณ์มิฉะนั้นให้ยกคำร้อง การปฏิบัติตามคำสั่งของศาลอุทธรณ์ในเรื่องขอทุเลาการบังคับสำหรับจำเลยที่ 3 จึงต้องพิจารณาจากจำนวนหนี้ของจำเลยที่ 3 ที่จะต้องรับผิดตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น การแปลคำสั่งของศาลอุทธรณ์โดยนำเอาจำนวนหนี้ของจำเลยที่ 2 ที่ขอทุเลาไว้เป็นภาระตกแก่จำเลยที่ 3 ด้วยนั้น ทำให้จำเลยที่ 3 ต้องรับผิดชอบเกินกว่าจำนวนหนี้ที่จำเลยที่ 3 จะต้องรับผิดตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น จึงเป็นการแปลที่ไม่ชอบ
of 19