คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
ห้างหุ้นส่วนจำกัด

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 83 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1331/2497 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การดำเนินคดีของห้างหุ้นส่วนจำกัดที่เลิกแล้ว: สิทธิในการฎีกาและข้อยกเว้นตามกฎหมาย
จำเลยเป็นห้างหุ้นส่วนจำกัดได้ยื่นฎีกาคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์แล้วจำเลยได้จดทะเบียนเลิกห้างหุ้นส่วน ดังนี้จำเลยย่อมจะต่อสู้คดีจนถึงที่สุดได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 223/2486

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ผู้จัดการห้างหุ้นส่วนจำกัดมีความผิดฐานประกอบการออมสินโดยไม่ได้รับอนุญาต และความรับผิดชอบต่อการปิดป้ายชื่อที่ไม่ถูกต้อง
พฤติการณ์ที่ถือว่าเริ่มประกอบการออมสิน
ประกอบการออมสินโดยไม่ได้รับอนุญาต แม้จะทำในฐานะผู้จัดการห้างหุ้นส่วน ก็ไม่เป็นข้อแก้ตัวให้พ้นผิด
ปิดป้ายชื่อห้างหุ้นส่วนจำกัดโดยไม่ถูกต้อง ผู้จัดการก็มีความผิดด้วย
ผู้จัดการห้างหุ้นส่วนจำกัดย่อมเป็นพ่อค้าตามความหมายของพระราชบัญญัติ ทะเบียนพาณิชย์ 2479 มาตรา 4(5) แล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9270/2558

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้องของห้างหุ้นส่วนจำกัดหลังการเปลี่ยนแปลงผู้จัดการ และการดำเนินการเพื่อรักษากิจการ
ในวันที่ 8 มีนาคม 2544 โจทก์โดย ท. ลงลายมือชื่อในใบคำขอจดทะเบียนห้างหุ้นส่วนจำกัดโจทก์ โดยแก้ไขเพิ่มเติมผู้เป็นหุ้นส่วนจาก ท. เป็น ว. และเปลี่ยนให้ ว. เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการแทน ท. ทั้ง พ. และ น. ผู้เป็นหุ้นส่วนทุกคน ลงลายมือชื่อให้ความยินยอมแล้ว และในวันเดียวกันโจทก์โดย ท. มอบอำนาจให้ ภ. ไปจดทะเบียนเปลี่ยนแปลงหุ้นส่วนผู้จัดการดังกล่าว การจดทะเบียนที่กระทำภายหลัง เมื่อวันที่ 13 มีนาคม 2544 อันเป็นเวลาภายหลังที่ ท. ถึงแก่กรรมแล้วตั้งแต่วันที่ 10 มีนาคม 2544 ก็เป็นไปตามเจตนาของ ท. และได้แจ้งให้นายทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทเพื่อจะได้มีการประกาศการเปลี่ยนแปลงลงในราชกิจจานุเบกษาเพื่อให้บุคคลภายนอกทั่วไปทราบเท่านั้น เมื่อนายทะเบียนฯ รับจดทะเบียนไว้แล้ว ตราบใดที่ยังไม่มีการร้องขอให้เพิกถอนคำสั่งดังกล่าวหรือมีการเปลี่ยนแปลงการจดทะเบียนนั้นเป็นอย่างอื่น ก็ยังถือได้ว่า ว. เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการของโจทก์โดยชอบ การที่ ภ.ได้ดำเนินการจดทะเบียนเพื่อให้ ว. เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการคนใหม่มีจุดประสงค์ให้โจทก์ดำเนินกิจการต่อไปได้ และเป็นไปเพื่อปกปักรักษาประโยชน์ของ ท. ซึ่งเป็นตัวการตาม ป.พ.พ. มาตรา 828 ประกอบกับปรากฏจากคำเบิกความของ ว. พยานโจทก์ว่า ว. เป็นบุตรชายคนโตของ ท. จึงนับว่าเป็นทายาทของ ท. หุ้นส่วนผู้จัดการโจทก์คนเดิม ทั้งผู้เป็นหุ้นส่วนทั้งหมดตกลงให้ ว. เข้ามาเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการคนใหม่และตกลงให้ห้างฯ ยังคงอยู่ต่อไปมิได้ให้ห้างฯ เลิกไป ว. ย่อมเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการโจทก์โดยชอบ ทั้งยังได้ความว่าก่อนฟ้องคดีนี้ห้างฯ โจทก์ยังดำเนินกิจการอยู่โดย ว. เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการ โดยยังมิได้เลิกห้างฯ โจทก์ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องคดีนี้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7055/2558

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การแบ่งทรัพย์สินมรดก: การพิสูจน์ความเป็นเจ้าของที่ดินที่ซื้อด้วยเงินลงทุนของห้างหุ้นส่วนจำกัด
การที่ ก. เจ้ามรดกขอจดทะเบียนตั้งห้างหุ้นส่วนจำกัด ต. ขึ้นและมี ก. เจ้ามรดกเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการและมีทายาททุกคนร่วมกันทำธุรกิจให้ห้างฯ ดังกล่าวตลอดมา ต่อมา ก. เจ้ามรดกได้นำเงินของห้างฯ ไปซื้อที่ดินพิพาททั้งสองแปลง แต่เงินที่นำไปซื้อก็เป็นเงินลงทุนที่ ก. เจ้ามรดกพร้อมภริยาและบุตรต่างร่วมลงทุนและลงแรงงานทำมาด้วยกัน ทั้งยังได้ความอีกว่า ก. เจ้ามรดกกับ อ. ภริยาร่วมกันรวมเงินเพื่อขอจดทะเบียนห้างหุ้นส่วนจำกัด ต. เพื่อดำเนินธุรกิจการค้า จัดตั้งโรงงานอัดมันเม็ดแล้วส่งออกต่างประเทศ โดยมีทายาททุกคนต่างช่วยเหลือกิจการในห้างฯ และโรงงานมาโดยตลอด โดยมี ก. เจ้ามรดกเป็นหัวหน้าครอบครัว ซึ่งโจทก์และจำเลยทุกคนซึ่งต่างเป็นบุตรต้องเคารพเชื่อฟังและยอมรับการตัดสินใจและไม่เคยโต้แย้งคัดค้าน ดังนั้น เงินรายได้จากห้างฯ ที่มาเป็นค่าใช้จ่ายส่วนรวมของครอบครัว จึงเรียกได้ว่าเป็น "กงสี" นั่นเอง การจัดตั้งห้างหุ้นส่วนจำกัด ต. ของ ก. เจ้ามรดกก็เพื่อความสะดวกในการทำนิติกรรมสัญญากับบุคคลอื่นและเจ้าพนักงานรวมถึงการยื่นภาษีเงินได้เท่านั้น ดังนั้น การที่ ก. เจ้ามรดกนำเงินของห้างไปใช้จ่ายรวมถึงนำไปซื้อที่ดินพิพาททั้งสองแปลงแล้วให้จำเลยที่ 2 และที่ 4 เป็นผู้รับโอน แม้จะนำที่ดินพิพาทมาใช้ประโยชน์ในกิจการของห้างฯ แต่ก็ได้ทำสัญญาให้ห้างฯ เป็นผู้เช่า ย่อมบ่งบอกได้ว่า ก. เจ้ามรดกต้องการให้ที่ดินพิพาททั้งสองแปลงเป็นทรัพย์สินส่วนตัวแยกต่างหากจากทรัพย์สินของห้างฯ ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าที่ดินพิพาทโฉนดเลขที่ 6064 และ 6065 ไม่ใช่ทรัพย์สินของห้างหุ้นส่วนจำกัด ต.
ตามหนังสือตกลงให้แบ่งที่ดินพิพาทตามเอกสารหมาย จ.11 ที่ ก. เจ้ามรดกให้แบ่งทรัพย์สินให้บุตรทั้ง 6 คน เท่า ๆ กัน ซึ่งมี ก. เจ้ามรดกลงลายมือชื่อไว้พร้อมกับโจทก์ จำเลยที่ 1 ที่ 3 และที่ 4 ลงลายมือรับรองข้อความในเอกสาร แม้ข้อความในหนังสือตกลงตามเอกสารหมาย จ.11 ในข้อ (1) มีข้อความว่า ที่ดินเลขที่ 6064 และสิ่งปลูกสร้าง แม่น้ำ 10 ไร่ ? 6 = 1.66 ไร่ มีรอยน้ำยาลบคำผิดข้อความ "แม่น้ำ" ออกไป ข้อ 2 มีข้อความเดิมว่า ที่ดินเลขที่ 6065 และสิ่งปลูกสร้างริมแม่น้ำประมาณ 67 - 10 = 57 ? 3 = 19 ไร่ ? 6 คนละ 3.16 ไร่ มีรอยน้ำยาลบคำผิดข้อความว่า "ริมแม่น้ำ" ออกไป เมื่อจำเลยที่ 1 รับสำเนาหนังสือตกลงตามเอกสารหมาย จ.13 เป็นหลักฐานมายึดถือไว้ก็ไม่ปรากฏข้อความเดิมอีกต่อไป แสดงว่า มีการใช้น้ำยาลบคำผิดบางข้อความก่อนที่ทุกคนจะลงลายมือชื่อ ดังนั้น ทายาทของ ก. เจ้ามรดกย่อมเข้าใจข้อความที่แก้ไขดีแล้ว ข้อความที่ถูกลบออกไปจึงไม่ใช่ข้อความอันสำคัญแต่อย่างใด นอกจากนี้หนังสือตกลงดังกล่าวนี้ ไม่มีกฎหมายบังคับให้ผู้เขียนหรือลบข้อความบางตอนต้องลงลายมือชื่อกำกับไว้ หนังสือตกลงตามเอกสาร จ.11 จึงเป็นเอกสารที่สมบูรณ์ โจทก์สามารถใช้อ้างเป็นพยานได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 10525/2558

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเลิกห้างหุ้นส่วนจำกัดเมื่อหุ้นส่วนถึงแก่ความตาย และการตั้งผู้ชำระบัญชี
ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1055 (5) ประกอบมาตรา 1080 ห้างหุ้นส่วนจำกัดย่อมเลิกกันเมื่อผู้เป็นหุ้นส่วนคนใดคนหนึ่งถึงแก่ความตาย เมื่อ อ. หุ้นส่วนผู้จัดการของห้างหุ้นส่วนจำกัด ส. ถึงแก่ความตายลงย่อมเป็นเหตุให้ห้างดังกล่าวเลิกกัน อันเป็นไปตามผลของกฎหมาย โดยมิจำต้องพิจารณาว่ามีข้อขัดแย้งกันระหว่างทายาทผู้เป็นหุ้นส่วนที่ถึงแก่ความตายกับหุ้นส่วนที่เหลือหรือไม่ และแม้มาตรา 1060 จะบัญญัติว่าในกรณีห้างหุ้นส่วนจำกัดเลิกกันเพราะเหตุตามมาตรา 1055 (4) หรือ (5) ถ้าผู้เป็นหุ้นส่วนที่ยังอยู่รับซื้อหุ้นของผู้ที่ออกจากหุ้นส่วนไป สัญญาหุ้นส่วนนั้นก็ยังคงใช้ได้ต่อไปในระหว่างผู้เป็นหุ้นส่วนที่ยังคงอยู่ด้วยกัน แต่ก็ได้ความว่าหุ้นของ อ. ยังไม่มีการดำเนินการโอนไปยังทายาทหรือหุ้นส่วนอื่นแต่อย่างใด เหตุที่ทายาทยังไม่อาจรับโอนหุ้นของ อ. และห้างไม่อาจดำเนินกิจการต่อไปได้เพราะค้างชำระค่าภาษีนั้นก็มิใช่เหตุอันจะยกขึ้นอ้างเพื่อให้ห้างยังคงอยู่ต่อไป
ในกรณีที่ห้างหุ้นส่วนจำกัดเลิกกันย่อมต้องมีการชำระบัญชีเพื่อประโยชน์ของผู้เป็นหุ้นส่วน ตลอดจนเจ้าหนี้ รวมทั้งบรรดาผู้ติดต่อค้าขายกับห้างหุ้นส่วนภายหลังจากห้างหุ้นส่วนจำกัดพ้นสภาพนิติบุคคลตามกฎหมาย โดยผู้ชำระบัญชีจะเป็นผู้ชำระสะสางการงานของห้างหุ้นส่วน จัดการใช้หนี้ และแจกจำหน่ายสินทรัพย์ของห้างหุ้นส่วนนั้น โดยมาตรา 1249 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ให้ถือว่าห้างหุ้นส่วนนั้นยังคงตั้งอยู่ตราบเท่าเวลาที่จำเป็นเพื่อการชำระบัญชี และเมื่อห้างหุ้นส่วนเลิกกันเพราะเหตุอื่นนอกจากล้มละลาย หุ้นส่วนผู้จัดการห้างย่อมเข้าเป็นผู้ชำระบัญชี เว้นไว้แต่สัญญาของห้างจะมีกำหนดไว้เป็นสถานอื่น แต่ถ้าไม่มีผู้ชำระบัญชีดังว่ามานี้ เมื่อพนักงานอัยการหรือบุคคลอื่นผู้มีส่วนได้เสียในการนี้ร้องขอ ศาลย่อมตั้งผู้ชำระบัญชีให้ได้ ตามมาตรา 1251 ซึ่งในกรณีของห้างหุ้นส่วนจำกัด ส. นี้ เมื่อเลิกกันเพราะ อ. หุ้นส่วนผู้จัดการถึงแก่ความตายและไม่ปรากฏว่ามีสัญญาหรือข้อบังคับของห้างกำหนดให้บุคคลใดเป็นผู้ชำระบัญชี ทั้งไม่มีผู้ใดเข้าเป็นผู้ชำระบัญชีของห้าง พนักงานอัยการ หรือผู้มีส่วนได้เสียย่อมร้องขอให้ศาลตั้งผู้ชำระบัญชีได้ ซึ่งผู้มีส่วนได้เสียตามบทบัญญัติดังกล่าว นอกจากจะเป็นผู้เป็นหุ้นส่วนที่เหลือ ทายาท หรือผู้จัดการมรดกของผู้เป็นหุ้นส่วนที่ถึงแก่ความตายแล้ว ย่อมหมายรวมถึงบรรดาเจ้าหนี้ของห้างด้วยเพราะการชำระบัญชีย่อมเป็นไปเพื่อประโยชน์ของเจ้าหนี้ หรือบรรดาผู้ติดต่อค้าขายกับห้างเป็นสำคัญ หากไม่มีการตั้งผู้ชำระบัญชีเพื่อสะสางทรัพย์สินหนี้สินของห้าง ผู้เป็นเจ้าหนี้หรือติดต่อค้าขายกับห้างอาจได้รับความเสียหายได้ เมื่อได้ความจากคำเบิกความผู้ร้องว่า ก่อน อ. ถึงแก่ความตาย ผู้ร้องได้เป็นโจทก์ฟ้องเรียกให้ห้างหุ้นส่วนจำกัด ส. ชำระหนี้ตามสัญญาจ้างทำของต่อศาลจังหวัดอุทัยธานี อันเป็นการตั้งสิทธิเรียกร้องเพื่อบังคับชำระหนี้เอาจากทรัพย์สินของห้าง เช่นนี้ผู้ร้องจึงมีอำนาจยื่นคำร้องขอให้ศาลตั้งผู้ชำระบัญชีห้างได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2892/2557

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้องกำจัดหุ้นส่วนออกจากห้างหุ้นส่วนจำกัด กรณีล่วงละเมิดสัญญาหุ้นส่วน และเจตนารมณ์ของกฎหมาย
ป.พ.พ. มาตรา 1058 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า "เมื่อเหตุอันใดอันหนึ่งเกิดขึ้นเกี่ยวด้วยผู้เป็นหุ้นส่วนคนหนึ่ง ซึ่งตามความในมาตรา 1057 หรือมาตรา 1067 เป็นเหตุให้ผู้เป็นหุ้นส่วนทั้งหลายนอกนั้นมีสิทธิจะเรียกให้เลิกห้างหุ้นส่วนได้ไซร้ ในเมื่อผู้เป็นหุ้นส่วนเหล่านั้นยื่นคำร้อง ท่านว่าศาลจะสั่งให้กำจัดหุ้นส่วนผู้ต้นเหตุคนนั้นออกเสียจากห้างหุ้นส่วนแทนสั่งให้เลิกห้างหุ้นส่วนก็ได้" กับมาตรา 1057 บัญญัติว่า "ถ้าผู้เป็นหุ้นส่วนคนใดร้องขอเมื่อมีกรณีอย่างใดอย่างหนึ่งดังจะกล่าวต่อไปนี้ ศาลอาจสั่งให้หุ้นส่วนสามัญเลิกกันเสียก็ได้คือ (1) เมื่อผู้เป็นหุ้นส่วนคนใดคนหนึ่งนอกจากผู้ร้องฟ้องนั้น ล่วงละเมิดบทบังคับใด ๆ อันเป็นข้อสาระสำคัญซึ่งสัญญาหุ้นส่วนกำหนดไว้แก่ตน โดยจงใจหรือเลินเล่ออย่างร้ายแรง (2) เมื่อกิจการของห้างหุ้นส่วนนั้นจะทำไปก็มีแต่ขาดทุนอย่างเดียวและไม่มีหวังจะกลับฟื้นตัวได้อีก (3) เมื่อมีเหตุอื่นใด ๆ ทำให้ห้างหุ้นส่วนนั้นเหลือวิสัยที่จะดำรงคงอยู่ต่อไปได้" บทบัญญัติสองมาตราดังกล่าวนี้ชี้ชัดถึงเจตนารมณ์ของกฎหมายมุ่งประสงค์ให้ศาลมีอำนาจใช้ดุลพินิจว่าจะสั่งให้กำจัดผู้เป็นหุ้นส่วนแทนการให้เลิกห้าง จึงได้กำหนดในมาตรา 1058 วรรคหนึ่ง ให้ชัดแจ้งว่าศาลมีอำนาจใช้ดุลพินิจสั่งให้กำจัดผู้เป็นหุ้นส่วนแทนการเลิกห้างเพื่อคุ้มครองผู้เป็นหุ้นส่วนอันจะส่งผลก่อให้เกิดความเป็นธรรมแก่ทุกฝ่าย โจทก์ทั้งหกบรรยายฟ้องระบุว่า จำเลยล่วงละเมิดบทบังคับใด ๆ อันเป็นข้อสาระสำคัญซึ่งเป็นสัญญาหุ้นส่วน ตามมาตรา 1057 (1) คือ จำเลยได้ยักยอกเงินของห้างหุ้นส่วนจำกัด ท. ไป และโจทก์ที่ 1 ได้แจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนให้ดำเนินคดีอาญาแก่จำเลย ดังนี้ เมื่อการปรับใช้กฎหมายพึงต้องอนุวัตให้ต้องตามเจตนารมณ์ที่บัญญัติกฎหมายนั้นจึงไม่มีเหตุที่จะแปลกฎหมายในทางที่ไม่ให้อำนาจผู้เป็นหุ้นส่วนขอให้กำจัดผู้เป็นหุ้นส่วนอื่นที่เป็นเหตุให้เรียกให้เลิกห้างหุ้นส่วนแทนการขอให้เลิกห้างหุ้นส่วนแต่เพียงอย่างเดียว ผู้เป็นหุ้นส่วนจึงอาจมีคำขอให้กำจัดผู้เป็นหุ้นส่วนอื่นแทนการให้เลิกห้างหุ้นส่วนได้ ตามมาตรา 1058 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 1080 วรรคหนึ่ง
การที่หุ้นส่วนคนหนึ่งคนใดหรือหลายคนฟ้องขอให้หุ้นส่วนอื่นออกจากห้างหุ้นส่วนจำกัดเนื่องจากมีเหตุอันใดอันหนึ่งเกิดขึ้นเกี่ยวด้วยหุ้นส่วนอื่นนั้น อันเป็นเหตุให้หุ้นส่วนที่ไม่ได้กระทำผิดนั้นมีสิทธิฟ้องร้องต่อศาล กรณีจึงเป็นข้อพิพาทโดยตรงในระหว่างผู้เป็นหุ้นส่วนด้วยกันโจทก์ทั้งหกจึงมีอำนาจฟ้องจำเลยได้ หาใช่มีข้อพิพาทโต้แย้งสิทธิเกี่ยวกับห้างหุ้นส่วนจำกัดซึ่งเป็นนิติบุคคลต่างหากจากผู้เป็นหุ้นส่วนแต่อย่างใด และหากศาลมีคำสั่งหรือคำพิพากษาให้หุ้นส่วนคนหนึ่งคนใดออกจากห้างแล้ว การดำเนินการเปลี่ยนแปลงทางทะเบียนก็สามารถดำเนินการได้โดยบุคคลที่เกี่ยวข้องนั้นยื่นสำเนาคำพิพากษาต่อนายทะเบียนเพื่อดำเนินการต่อไป

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1847/2557

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจร้องทุกข์ในความผิดอันยอมความได้ ผู้เสียหายที่แท้จริงคือผู้มีอำนาจฟ้อง
เมื่อความผิดที่โจทก์ร่วมกล่าวหาว่าจำเลยกระทำความผิด เป็นความผิดอันยอมความได้ ผู้มีอำนาจร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีแก่จำเลยคือ ห้างหุ้นส่วนจำกัด จ. ซึ่งเป็นผู้เสียหายที่แท้จริง โจทก์ร่วมจึงมิใช่ผู้เสียหายและไม่มีอำนาจร้องทุกข์ เมื่อห้างหุ้นส่วนจำกัด จ. ซึ่งเป็นผู้เสียหายที่แท้จริงไม่ได้ร้องทุกข์โดยชอบ พนักงานสอบสวนจึงไม่มีอำนาจสอบสวน และพนักงานอัยการโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 11556/2557

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิในการตรวจสอบบัญชีห้างหุ้นส่วนจำกัด: เงื่อนไขความสุจริตและเหตุสมควร
ผู้เป็นหุ้นส่วนในห้างหุ้นส่วนสามัญมีความรับผิดอย่างไม่จำกัดและ ป.พ.พ. มาตรา 1038 วรรคหนึ่ง บัญญัติห้ามมิให้ผู้เป็นหุ้นส่วนประกอบกิจการอย่างหนึ่งอย่างใดซึ่งมีสภาพดุจเดียวกันและเป็นการแข่งขันกับกิจการของห้างโดยมิได้รับความยินยอมของผู้เป็นหุ้นส่วนคนอื่น ๆ แตกต่างจากผู้เป็นหุ้นส่วนประเภทจำกัดความรับผิดในห้างหุ้นส่วนจำกัดซึ่งรับผิดจำกัดเพียงไม่เกินจำนวนเงินที่ตนรับจะลงหุ้นในห้าง และตาม ป.พ.พ. มาตรา 1090 ผู้เป็นหุ้นส่วนประเภทจำกัดความรับผิดจะประกอบกิจการค้าขายอย่างใด ๆ เพื่อประโยชน์ของตนหรือเพื่อประโยชน์ของบุคคลภายนอกก็ได้ แม้ว่าการงานเช่นนั้นจะมีสภาพเป็นอย่างเดียวกับการค้าขายของห้างก็ไม่ห้าม ดังนั้น แม้ผู้เป็นหุ้นส่วนจำพวกจำกัดความรับผิดอาจไต่ถามการงานของห้างหุ้นส่วนจำกัด ตรวจดูและคัดสมุดบัญชี เอกสารของห้างหุ้นส่วนจำกัดได้ทุกเมื่อตาม ป.พ.พ. มาตรา 1037 ประกอบมาตรา 1080 แต่ก็ต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขว่ามีเหตุสมควรหรือไม่ ซึ่งต้องพิจารณาเป็นรายกรณีไป เมื่อจำเลยให้การว่า โจทก์มีตำแหน่งในการบริหารห้างหุ้นส่วนจำกัดอยู่ด้วย ย่อมทราบกิจการงานของห้างอยู่แล้ว การที่โจทก์ฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้โดยจำเลยปฏิเสธว่าโจทก์ไม่เคยขอจำเลยตรวจสอบเอกสารตามฟ้องมาก่อนโจทก์มีจุดประสงค์เพื่อให้จำเลยเสียหาย เสียชื่อเสียงทางการค้า เป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต จึงต้องฟังพยานหลักฐานทั้งสองฝ่ายให้ทราบข้อเท็จจริงเสียก่อน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8703/2553

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ผู้ชำระบัญชีต้องรับผิดในหนี้ภาษีค้างของห้างหุ้นส่วนจำกัด หากแบ่งเงินคืนผู้ถือหุ้นก่อนชำระหนี้
จำเลยที่ 3 เป็นผู้ชำระบัญชีของห้างหุ้นส่วนจำกัดจำเลยที่ 1 ทราบดีอยู่แล้วว่าจำเลยที่ 1 ค้างชำระภาษีมูลค่าเพิ่มต่อกรมสรรพากร โจทก์ตั้งแต่ก่อนจำเลยที่ 1 จดทะเบียนเลิกห้าง เมื่อในการชำระบัญชีมีเงินสดคงเหลือ 1,400,000 บาท และมีการแบ่งคืนทรัพย์สินไปแล้ว ซึ่งจำเลยที่ 3 จะแบ่งคืนให้แก่ผู้เป็นหุ้นส่วนได้แต่เพียงเท่าที่ไม่ต้องเอาไว้ใช้ในการชำระหนี้ของจำเลยที่ 1 เท่านั้น ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1269 การที่จำเลยที่ 3 แบ่งเงินคืนให้แก่ผู้ถือหุ้นโดยไม่นำไปชำระหนี้ภาษีอากรค้างให้แก่โจทก์จึงเป็นการจงใจปฏิบัติหน้าที่ในฐานะผู้ชำระบัญชีโดยฝ่าฝืนกฎหมายทำให้โจทก์เสียหายอันเป็นการกระทำละเมิดต่อโจทก์ จำเลยที่ 3 จึงต้องรับผิดในหนี้ภาษีอากรที่จำเลยที่ 1 ค้างชำระโจทก์จำนวน 961,681.80 บาท ซึ่งไม่เกินกว่าเงินสดคงเหลือจำนวน 1,400,000 ที่จำเลยที่ 3 แบ่งคืนให้แก่ผู้เป็นหุ้นส่วนไป

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 518/2552 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การแต่งตั้งผู้ชำระบัญชีหลังเพิกถอนการเลิกห้างหุ้นส่วนจำกัด ศาลมีอำนาจแต่งตั้งบุคคลอื่นที่ไม่ใช่โจทก์หรือเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้
โจทก์ในฐานะหุ้นส่วนของห้างหุ้นส่วนจำกัดฟ้องขอให้เพิกถอนการจดทะบียนเลิกห้างหุ้นส่วนจำกัดที่จำเลยซึ่งเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการเป็นผู้ชำระบัญชีและให้สั่งเลิกห้างหุ้นส่วนจำกัดโดยขอให้ตั้งโจทก์เป็นผู้ชำระบัญชี เมื่อศาลมีคำสั่งเพิกถอนและให้เลิกห้างหุ้นส่วนจำกัดตามคำขอของโจทก์แล้ว จึงเป็นกรณีผู้มีส่วนได้เสียร้องขอให้ตั้งผู้ชำระบัญชีเมื่อห้างหุ้นส่วนจำกัดเลิกกันโดยไม่มีผู้ชำระบัญชีตาม ป.พ.พ. มาตรา 1251 วรรคสอง ซึ่งศาลย่อมมีอำนาจตั้งผู้ชำระบัญชีได้ และตามบทบัญญัติดังกล่าวหาได้บัญญัติบังคับศาลให้ต้องตั้งโจทก์เป็นผู้ชำระบัญชีตามคำขอของโจทก์เท่านั้น ศาลจึงมีอำนาจแต่งตั้งบุคคลอื่นที่เห็นว่าเป็นคนกลางได้ ไม่เป็นการมีคำพิพากษา หรือคำสั่งเกินคำขอของโจทก์แต่อย่างใด อย่างไรก็ตาม เมื่อการเลิกห้างหุ้นส่วนจำกัดมิได้เกิดจากผู้เป็นหุ้นส่วนคนใดคนหนึ่งล้มละลายอันจะเป็นเหตุให้สมควรตั้งเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เป็นผู้ชำระบัญชี จึงเห็นสมควรตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดี สำนักงานบังคับคดีจังหวัดร้อยเอ็ด ซึ่งสมัครใจให้เป็นผู้ชำระบัญชีแทนเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์
of 9