พบผลลัพธ์ทั้งหมด 153 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5629/2534
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิในการขอคืนรถยนต์ที่ถูกริบ: เจ้าของกรรมสิทธิ์ ณ เวลาที่กระทำผิดเป็นผู้มีสิทธิ
ขณะจำเลยกระทำความผิด ผู้ร้องเป็นผู้เช่าซื้อรถยนต์ของกลางยังไม่ใช่เจ้าของผู้ร้องจึงไม่มีสิทธิขอคืน. (อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 1578/2522).
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 483/2534
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องคดีเช่าซื้อ: เจ้าของกรรมสิทธิ์, สัญญาประธาน, อายุความค่าขาดประโยชน์
จำเลยให้การต่อสู้ไว้แล้วว่าโจทก์ไม่ใช่เจ้าของรถยนต์พิพาทและศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทไว้ว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องคดีนี้หรือไม่ แต่เมื่อศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาได้วินิจฉัยแต่เพียงว่าโจทก์เป็นนิติบุคคลจึงมีอำนาจฟ้อง โดยมิได้วินิจฉัยเรื่องโจทก์เป็นเจ้าของรถยนต์พิพาทหรือไม่ อันจะเป็นข้อเท็จจริงที่นำไปสู่การปรับบทกฎหมายว่าโจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่ตามที่ศาลชั้นต้นได้กำหนดประเด็นข้อพิพาทไว้ การที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าอุทธรณ์ของโจทก์ในปัญหานี้เป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นไม่รับวินิจฉัย จึงไม่ชอบ โจทก์เป็นคู่สัญญากับจำเลย แม้ขณะทำสัญญาเช่าซื้อโจทก์ยังไม่ได้เป็นเจ้าของรถยนต์พิพาทที่ให้เช่าซื้อก็ตาม แต่บริษัท ท.เจ้าของรถยนต์พิพาทยอมให้โจทก์นำรถยนต์พิพาทออกให้ผู้อื่นเช่าซื้อได้และโจทก์สามารถโอนกรรมสิทธิ์ในรถยนต์พิพาทให้แก่จำเลยได้ หากจำเลยชำระเงินค่าเช่าซื้อครบตามสัญญา ดังนี้จำเลยต้องผูกพันตามสัญญาเช่าซื้อ จำเลยซึ่งเป็นฝ่ายผิดสัญญาจะกลับมาอ้างว่าขณะทำสัญญาโจทก์ไม่ใช่เจ้าของทรัพย์ที่ให้เช่าซื้อจึงไม่มีอำนาจฟ้องหาได้ไม่ ค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถยนต์พิพาทกับค่าใช้จ่ายในการติดตามรถยนต์พิพาท ไม่มีกฎหมายกำหนดอายุความไว้เป็นอย่างอื่นจึงมีอายุความ 10 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 164.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4762/2534
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิในการติดตามคืนเงินส่วนเกินที่ส่งชำระหนี้ตามคำสั่งศาล แม้ส่งเงินทั้งหมดก่อนโต้แย้ง
การที่ผู้ร้องนำเงินของจำเลยที่ 1 ซึ่งอยู่ที่ผู้ร้องส่งศาลตามที่ศาลมีคำสั่งอายัดชั่วคราวนั้น เป็นการปฏิบัติตามคำสั่งของศาลที่ออกหมายอายัดไป แม้ในตอนแรกมิได้โต้แย้งคัดค้านก็ตาม แต่เมื่อภายหลังพบว่าได้ส่งไปให้เกินกว่าจำนวนเงินของจำเลยที่ 1 จะถือว่าผู้ร้องยอมรับว่าเป็นเงินของจำเลยที่ 1 ทั้งหมดหาได้ไม่ เมื่อผู้ร้องอ้างว่าเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในเงินจำนวนที่ได้ส่งเฉพาะส่วนที่เกินไป จึงเท่ากับอ้างว่ามิใช่ทรัพย์ของจำเลยที่ 1 ผู้ร้องจึงมีสิทธิติดตามเอาคืนในฐานที่เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ โดยขอให้ศาลทำการไต่สวนและมีคำสั่งคืนให้แก่ผู้ร้องได้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2583/2534
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การประเมินภาษีจากชื่อในโฉนด: เจ้าของกรรมสิทธิ์ต้องเสียภาษีแม้มีการร่วมทุน
โจทก์ร่วมลงทุนกับ ว. ซื้อที่ดินจากการขายทอดตลาดของศาลโดยใส่ชื่อโจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในโฉนดแต่เพียงผู้เดียวแม้ว่าต่อมาจะได้ขายที่ดังกล่าวไปและแบ่งปันเงินที่ได้จากการขายที่ดินกันตามอัตราส่วนที่ลงหุ้นแล้วก็ตาม เจ้าพนักงานประเมินก็มีอำนาจที่จะประเมินให้โจทก์เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและภาษีการค้าจากเงินได้ที่ได้จากการขายที่ดินทั้งหมดได้ เพราะโจทก์มีชื่อในโฉนดที่ดินอันก่อให้เกิดเงินได้พึงประเมินแต่เพียงผู้เดียวและโจทก์เป็นผู้ได้รับเงินได้พึงประเมินนั้นไว้ ตามประมวลรัษฎากรมาตรา 61 ดังนั้น แม้ศาลภาษีอากรกลางจะยอมให้โจทก์นำสมุห์บัญชีธนาคาร และ ว.มาสืบยืนยันข้อเท็จจริงว่าว. ร่วมลงทุนและได้รับทุนและส่วนแบ่งกำไรคืนไปแล้ว ก็ไม่ทำให้โจทก์หลุดพ้นหน้าที่ที่จะต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา และภาษีการค้าจากการขายที่ดินทั้งหมดได้ การสืบพยานทั้งสองปากดังกล่าวจึงไม่เป็นประโยชน์แก่คดีของโจทก์ จึงชอบที่ศาลภาษีอากรกลางจะมีคำสั่งไม่อนุญาตให้หมายเรียกสมุห์บัญชีธนาคาร และตัดพยานปากนาย ว. เสียได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 807/2533 เวอร์ชัน 4 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องในสัญญาประกันภัย: เจ้าของกรรมสิทธิ์/ผู้ครอบครองรถ ณ เวลาทำสัญญาเป็นสำคัญ
โจทก์บรรยายฟ้องแต่เพียงว่า โจทก์เป็นเจ้าของรถยนต์คันเกิดเหตุซึ่งได้เอาประกันภัยค้ำจุนไว้กับจำเลยเท่านั้น จึงเป็นการกล่าวอ้างว่า โจทก์มีส่วนได้เสียในรถยนต์ที่เอาประกันภัยไว้ในฐานะเจ้าของกรรมสิทธิ์ เมื่อจำเลยให้การว่าโจทก์ไม่ได้เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์หรือผู้ครอบครองรถยนต์คันดังกล่าว โจทก์ไม่มีส่วนได้เสียในรถยนต์ที่เอาประกันภัย ประเด็นจึงมีเพียงว่าโจทก์มีส่วนได้เสียในฐานะที่เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์หรือผู้ครอบครองรถยนต์ที่เอาประกันภัยไว้กับจำเลยหรือไม่เท่านั้นที่โจทก์นำสืบและฎีกาว่า เจ้าของรถยนต์คันที่โจทก์เอาประกันภัยไว้กับจำเลยได้นำรถยนต์คันดังกล่าวเข้าร่วมในกิจการของโจทก์โดยแบ่งผลประโยชน์กัน โจทก์จึงมีส่วนต้องรับผิดในผลแห่งการกระทำละเมิดด้วยนั้น เป็นเรื่องนอกคำฟ้อง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
โจทก์ไม่ได้เป็นเจ้าของหรือผู้ครอบครองรถยนต์ที่เอาประกันภัยไว้ในขณะที่ทำสัญญาประกันภัย โจทก์จึงไม่ใช่ผู้มีส่วนได้เสียในรถยนต์คันดังกล่าวกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ระหว่างโจทก์กับจำเลยจึงไม่ผูกพันคู่กรณีตาม ป.พ.พ. มาตรา 863 โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง
เรื่องอำนาจฟ้องเป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกา ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยเองได้
โจทก์ไม่ได้เป็นเจ้าของหรือผู้ครอบครองรถยนต์ที่เอาประกันภัยไว้ในขณะที่ทำสัญญาประกันภัย โจทก์จึงไม่ใช่ผู้มีส่วนได้เสียในรถยนต์คันดังกล่าวกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ระหว่างโจทก์กับจำเลยจึงไม่ผูกพันคู่กรณีตาม ป.พ.พ. มาตรา 863 โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง
เรื่องอำนาจฟ้องเป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกา ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยเองได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 807/2533 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การไม่มีส่วนได้เสียในรถยนต์ที่เอาประกันภัยทำให้ขาดอำนาจฟ้องในสัญญาประกันภัย
โจทก์ไม่ได้เป็นเจ้าของ หรือผู้ครอบครองรถยนต์ที่เอาประกันภัยในขณะที่ทำสัญญาประกันภัย โจทก์จึงไม่มีส่วนได้เสียในรถยนต์คันดังกล่าว กรมธรรม์ประกันภัยระหว่างโจทก์กับจำเลยไม่ผูกพันคู่กรณี ตาม ป.พ.พ. มาตรา 863 ดังนี้ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกา แต่อำนาจฟ้องเป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้เอง.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5278/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องของเจ้าของกรรมสิทธิ์เดิมยังคงมีอยู่แม้มีการโอนกรรมสิทธิ์ และผู้รับโอนมีสิทธิเข้าร่วมเป็นโจทก์
ขณะโจทก์ที่ 1 เสนอคำฟ้องต่อศาล โจทก์ที่ 1 เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาท จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยทั้งสองผู้กระทำละเมิด แม้ภายหลังฟ้องคดีแล้วโจทก์ที่ 1 จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทยกให้โจทก์ที่ 2 อำนาจฟ้องของโจทก์ที่ 1ที่บริบูรณ์อยู่แล้วยังคงมีผลอยู่ต่อไป ส่วนโจทก์ที่ 2 ผู้รับโอนเป็นผู้มีส่วนได้เสียในผลแห่งคดีร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ได้ตามป.วิ.พ. มาตรา 57(2).
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3033/2531 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบังคับคดีกับทรัพย์สินสมรส: ศาลอนุญาตขายทอดตลาดได้ แม้ชื่อเจ้าของกรรมสิทธิ์ไม่ตรงกับลูกหนี้
โจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินและตึกแถวอ้างว่าเป็นของจำเลย แต่ปรากฏว่าโฉนดที่ดินมีชื่อ พ. และ อ. เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ โจทก์แถลงยืนยันว่าจำเลยมีส่วนเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในฐานเป็นสินสมรส ทรัพย์สินที่โจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดมาดังกล่าวจึงเป็นทรัพย์สินที่อาจบังคับเอาชำระหนี้ตามคำพิพากษาได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 282 วรรคท้าย และเจ้าพนักงานบังคับคดีได้แจ้งการยึดโดยชอบแล้วไม่มีผู้ใดคัดค้าน ศาลชั้นต้นชอบที่จะมีคำสั่งอนุญาตให้ดำเนินการขายทอดตลาดต่อไป.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3033/2531 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบังคับคดีทรัพย์สินสมรส แม้โฉนดไม่เป็นชื่อจำเลย ศาลอนุญาตขายทอดตลาดได้หากมีหลักฐานเป็นสินสมรส
โจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินและตึกแถวอ้างว่าเป็นของจำเลย แต่ปรากฏว่าโฉนดที่ดินมีชื่อ พ.และอ. เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ โจทก์แถลงยืนยันว่าจำเลยมีส่วนเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในฐานเป็นสินสมรส ทรัพย์สินที่โจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดมาดังกล่าวจึงเป็นทรัพย์สินที่อาจบังคับเอาชำระหนี้ตามคำพิพากษาได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 282 วรรคท้าย และเจ้าพนักงานบังคับคดีได้แจ้งการยึดโดยชอบแล้วไม่มีผู้ใดคัดค้าน ศาลชั้นต้นชอบที่จะมีคำสั่งอนุญาตให้ดำเนินการขายทอดตลาดต่อไป
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3033/2531
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบังคับคดีกับทรัพย์สินสมรส: ยึดทรัพย์สินได้แม้ชื่อไม่ตรง หากพิสูจน์ได้ว่าเป็นสินสมรส
โจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินและตึกแถวอ้างว่าเป็นของจำเลย แต่ปรากฏว่าโฉนดที่ดินมีชื่อ พ.และอ. เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ โจทก์แถลงยืนยันว่าจำเลยมีส่วนเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในฐานเป็นสินสมรส ทรัพย์สินที่โจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดมาดังกล่าวจึงเป็นทรัพย์สินที่อาจบังคับเอาชำระหนี้ตามคำพิพากษาได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 282 วรรคท้าย และเจ้าพนักงานบังคับคดีได้แจ้งการยึดโดยชอบแล้วไม่มีผู้ใดคัดค้าน ศาลชั้นต้นชอบที่จะมีคำสั่งอนุญาตให้ดำเนินการขายทอดตลาดต่อไป.