พบผลลัพธ์ทั้งหมด 2,045 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 256/2548
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเลิกจ้างลูกจ้างด้วยเหตุผลอันสมควร กรณีละเลยหน้าที่จนเกิดความเสียหายต่อธนาคาร
โจทก์เป็นหัวหน้าสินเชื่อมีหน้าที่ในการพิจารณา กลั่นกรอง ตรวจสอบ ควบคุมการปล่อยสินเชื่อให้ถูกต้องเป็นไปตามระเบียบ แบบแผน คำสั่ง และวิธีปฏิบัติของธนาคารจำเลยอย่างเคร่งครัด แต่โจทก์กลับปล่อยปละละเลยให้มีการปล่อยสินเชื่อไปอย่างเร่งรีบ ไม่ตรวจสอบการวิเคราะห์สินเชื่อและผ่านงานเสนอขออนุมัติสินเชื่อไปโดยไม่พิจารณากลั่นกรองตรวจสอบให้รอบคอบ การปล่อยสินเชื่อโครงการมีการตีราคาประเมินสูงกว่าความเป็นจริง งดเว้น ละเลย ไม่ตรวจสอบเอกสารให้ถูกต้องตรงตามระเบียบของธนาคารจำเลย การกระทำของโจทก์เป็นการฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามระเบียบคำสั่งและข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของจำเลย จนทำให้จำเลยได้รับความเสียหายเกิดหนี้ค้างชำระเป็นจำนวนมาก แม้จะไม่มีพฤติการณ์ว่าโจทก์ตั้งใจหรือเจตนาเอื้อประโยชน์ให้บุคคลเป็นพิเศษ แต่การทำงานที่ไม่รับผิดชอบต่อหน้าที่และทำงานผิดพลาดของโจทก์เช่นนี้ ย่อมมีเหตุที่จำเลยจะไม่ไว้วางใจให้โจทก์ทำงานกับจำเลยต่อไป จำเลยเลิกจ้างโจทก์ด้วยเหตุดังกล่าวจึงเป็นการเลิกจ้างที่มีเหตุผลอันสมควร มิใช่เป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม จำเลยไม่ต้องรับผิดจ่ายค่าเสียหายหรือรับโจทก์กลับเข้าทำงานกับจำเลย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2229/2548
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเลิกจ้างพนักงานรัฐวิสาหกิจเนื่องจากการละทิ้งหน้าที่ และอำนาจการสั่งการของผู้อำนวยการที่ถูกจำกัด
สัญญาจ้างผู้อำนวยการระหว่างจำเลยที่ 1 กับ พ. กำหนดว่า พ. มีอำนาจหน้าที่ความรับผิดชอบตามระเบียบข้อบังคับและกฎหมาย ภายใต้นโยบายและการควบคุมดูแลของคณะกรรมการจำเลยที่ 1 พ. ต้องปฏิบัติตามมติของคณะกรรมการจำเลยที่ 1 ที่ยับยั้งหรือสั่งการเมื่อเห็นว่า พ. ปฏิบัติงานใด ๆ ขัดต่อกฎหมาย นโยบายหรือมติของคณะกรรมการ หรือเป็นไปในทางที่อาจทำให้เสียประโยชน์ของจำเลยที่ 1 และในระหว่างอายุสัญญา คณะกรรมการของจำเลยที่ 1 จะพิจารณาประเมินผลการปฏิบัติงานของ พ. ทุกปี ตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้ท้ายสัญญา คณะกรรมการของจำเลยที่ 1 จึงให้มีการประเมินผลการปฏิบัติงานของ พ. ได้ เมื่อผลการปฏิบัติงานของ พ. ไม่เป็นที่พอใจของคณะกรรมการและคณะกรรมการเห็นว่าการปฏิบัติงานของ พ. เป็นไปในทางที่อาจทำให้จำเลยที่ 1 เสียประโยชน์ จึงสามารถยับยั้งการปฏิบัติหน้าที่ของ พ. ได้ และ พ. ต้องปฏิบัติตามไม่ว่าจะได้ทำผิดระเบียบ ข้อบังคับ หรือกฎหมายหรือไม่
คณะกรรมการมีมติเห็นชอบให้ พ. รับตำแหน่งที่ปรึกษาโดยให้การดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาของ พ. มีผลเมื่อกระทรวงการคลังอนุมัติตำแหน่ง และแต่งตั้งจำเลยที่ 2 เป็นผู้ทำการแทน พ. ให้มีอำนาจเต็มในการบริหารจัดการองค์การจำเลยที่ 1 โดย พ. ไม่ต้องรับผิดชอบในผลการดำเนินการตั้งแต่วันที่ 7 มกราคม 2545 เป็นต้นไป ส่วนหนึ่งเป็นการยับยั้งการปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งผู้อำนวยการของ พ. อีกส่วนหนึ่งเป็นการให้ พ. ไปรับตำแหน่งที่ปรึกษาเมื่อกระทรวงการคลังอนุมัติ ซึ่งแยกต่างหากจากกัน ดังนั้น ไม่ว่ากระทรวงการคลังจะได้อนุมัติตำแหน่งที่ปรึกษาของ พ. แล้วหรือไม่ และจะได้มีการถอดถอน พ. ออกจากตำแหน่งผู้อำนวยการหรือไม่ พ. ก็ไม่อาจทำหน้าที่ผู้อำนวยการต่อไปได้ จึงเป็นกรณีที่ผู้อำนวยการไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ ซึ่ง พ.ร.ฎ.จัดตั้งองค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทยฯ มาตรา 24 บัญญัติให้รองผู้อำนวยการเป็นผู้ทำการแทน แม้ขณะที่ พ. ไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้จะมีจำเลยที่ 2 เป็นรองผู้อำนวยการซึ่งมาตราดังกล่าวบัญญัติให้เป็นผู้ทำการแทนไว้แล้ว การที่คณะกรรมการมีมติและคำสั่งแต่งตั้งให้จำเลยที่ 2 เป็นผู้ทำการแทน พ. อีก ก็ไม่ทำให้จำเลยที่ 2 ไม่มีฐานะเป็นผู้ทำการแทน พ. เพราะมติและคำสั่งของคณะกรรมการเป็นไปตามที่กฎหมายบัญญัติ จำเลยที่ 2 จึงมีอำนาจกระทำการแทน
จำเลยที่ 2 ออกคำสั่ง อ.ส.ค. ที่ 102/2545 ให้โจทก์ไปปฏิบัติหน้าที่ ณ สำนักงาน อ.ส.ค. ภาคเหนือตอนล่าง โจทก์ได้โต้แย้งเฉพาะเรื่องตำแหน่งที่ให้โจทก์ไปดำรงโดยมิได้กล่าวถึงอำนาจหน้าที่ของผู้ออกคำสั่ง ถือได้ว่าโจทก์ยอมรับว่า พ. ไม่มีอำนาจหน้าที่ในฐานะผู้อำนวยการของจำเลยที่ 1 แล้ว เมื่อ พ. สั่งการให้โจทก์ไปช่วยปฏิบัติงานที่สำนักงาน อ.ส.ค. กรุงเทพมหานครในวันที่ 28 พ.ค. 2545 ภายหลังจากที่โจทก์ได้โต้แย้งคำสั่ง อ.ส.ค. ที่ 102/2545 และจำเลยที่ 2 ได้แก้ไขข้อผิดพลาดในคำสั่งดังกล่าวด้วยการออกคำสั่ง อ.ส.ค. ที่ 107/2545 แล้วโจทก์จะอ้างว่าโจทก์เชื่อโดยสุจริตว่า พ. ยังมีอำนาจหน้าที่ในฐานะผู้อำนวยการของจำเลยที่ 1 และโจทก์ต้องปฏิบัติตามคำสั่งของ พ. ไม่ได้ การที่โจทก์ปฏิบัติตามคำสั่งของ พ. และไม่เดินทางไปปฏิบัติหน้าที่ตามคำสั่ง อ.ส.ค. ที่ 107/2545 จึงเป็นการละทิ้งหน้าที่การงานเกินกว่า 7 วัน โดยไม่มีเหตุอันสมควรซึ่งการละทิ้งหน้าที่การงานโดยไม่มีเหตุอันสมควรของพนักงานรัฐวิสาหกิจ แม้เพียง 3 วันทำงานติดต่อกัน ระเบียบคณะกรรมการรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ เรื่อง มาตรฐานของสิทธิประโยชน์พนักงานรัฐวิสาหกิจฯ ข้อ 46 (4) ก็กำหนดให้รัฐวิสาหกิจไม่ต้องจ่ายค่าชดเชย การละทิ้งหน้าที่การงานเกินกว่า 7 วันโดย ไม่มีเหตุอันสมควรของโจทก์จึงเป็นความผิดร้ายแรง จำเลยที่ 1 เลิกจ้างโจทก์เพราะเหตุดังกล่าวจึงไม่เป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม
2/2
คณะกรรมการมีมติเห็นชอบให้ พ. รับตำแหน่งที่ปรึกษาโดยให้การดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาของ พ. มีผลเมื่อกระทรวงการคลังอนุมัติตำแหน่ง และแต่งตั้งจำเลยที่ 2 เป็นผู้ทำการแทน พ. ให้มีอำนาจเต็มในการบริหารจัดการองค์การจำเลยที่ 1 โดย พ. ไม่ต้องรับผิดชอบในผลการดำเนินการตั้งแต่วันที่ 7 มกราคม 2545 เป็นต้นไป ส่วนหนึ่งเป็นการยับยั้งการปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งผู้อำนวยการของ พ. อีกส่วนหนึ่งเป็นการให้ พ. ไปรับตำแหน่งที่ปรึกษาเมื่อกระทรวงการคลังอนุมัติ ซึ่งแยกต่างหากจากกัน ดังนั้น ไม่ว่ากระทรวงการคลังจะได้อนุมัติตำแหน่งที่ปรึกษาของ พ. แล้วหรือไม่ และจะได้มีการถอดถอน พ. ออกจากตำแหน่งผู้อำนวยการหรือไม่ พ. ก็ไม่อาจทำหน้าที่ผู้อำนวยการต่อไปได้ จึงเป็นกรณีที่ผู้อำนวยการไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ ซึ่ง พ.ร.ฎ.จัดตั้งองค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทยฯ มาตรา 24 บัญญัติให้รองผู้อำนวยการเป็นผู้ทำการแทน แม้ขณะที่ พ. ไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้จะมีจำเลยที่ 2 เป็นรองผู้อำนวยการซึ่งมาตราดังกล่าวบัญญัติให้เป็นผู้ทำการแทนไว้แล้ว การที่คณะกรรมการมีมติและคำสั่งแต่งตั้งให้จำเลยที่ 2 เป็นผู้ทำการแทน พ. อีก ก็ไม่ทำให้จำเลยที่ 2 ไม่มีฐานะเป็นผู้ทำการแทน พ. เพราะมติและคำสั่งของคณะกรรมการเป็นไปตามที่กฎหมายบัญญัติ จำเลยที่ 2 จึงมีอำนาจกระทำการแทน
จำเลยที่ 2 ออกคำสั่ง อ.ส.ค. ที่ 102/2545 ให้โจทก์ไปปฏิบัติหน้าที่ ณ สำนักงาน อ.ส.ค. ภาคเหนือตอนล่าง โจทก์ได้โต้แย้งเฉพาะเรื่องตำแหน่งที่ให้โจทก์ไปดำรงโดยมิได้กล่าวถึงอำนาจหน้าที่ของผู้ออกคำสั่ง ถือได้ว่าโจทก์ยอมรับว่า พ. ไม่มีอำนาจหน้าที่ในฐานะผู้อำนวยการของจำเลยที่ 1 แล้ว เมื่อ พ. สั่งการให้โจทก์ไปช่วยปฏิบัติงานที่สำนักงาน อ.ส.ค. กรุงเทพมหานครในวันที่ 28 พ.ค. 2545 ภายหลังจากที่โจทก์ได้โต้แย้งคำสั่ง อ.ส.ค. ที่ 102/2545 และจำเลยที่ 2 ได้แก้ไขข้อผิดพลาดในคำสั่งดังกล่าวด้วยการออกคำสั่ง อ.ส.ค. ที่ 107/2545 แล้วโจทก์จะอ้างว่าโจทก์เชื่อโดยสุจริตว่า พ. ยังมีอำนาจหน้าที่ในฐานะผู้อำนวยการของจำเลยที่ 1 และโจทก์ต้องปฏิบัติตามคำสั่งของ พ. ไม่ได้ การที่โจทก์ปฏิบัติตามคำสั่งของ พ. และไม่เดินทางไปปฏิบัติหน้าที่ตามคำสั่ง อ.ส.ค. ที่ 107/2545 จึงเป็นการละทิ้งหน้าที่การงานเกินกว่า 7 วัน โดยไม่มีเหตุอันสมควรซึ่งการละทิ้งหน้าที่การงานโดยไม่มีเหตุอันสมควรของพนักงานรัฐวิสาหกิจ แม้เพียง 3 วันทำงานติดต่อกัน ระเบียบคณะกรรมการรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ เรื่อง มาตรฐานของสิทธิประโยชน์พนักงานรัฐวิสาหกิจฯ ข้อ 46 (4) ก็กำหนดให้รัฐวิสาหกิจไม่ต้องจ่ายค่าชดเชย การละทิ้งหน้าที่การงานเกินกว่า 7 วันโดย ไม่มีเหตุอันสมควรของโจทก์จึงเป็นความผิดร้ายแรง จำเลยที่ 1 เลิกจ้างโจทก์เพราะเหตุดังกล่าวจึงไม่เป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม
2/2
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2191/2548
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเลิกจ้างลูกจ้าง: การประมาทเลินเล่อในการปฏิบัติหน้าที่, เหตุอันสมควร, และค่าชดเชย
โจทก์ในฐานะผู้จัดการฝ่ายบริหารของจำเลยกล่าวหาว่า น. และ ม. ลูกจ้างของจำเลยปลอมเอกสารอันเป็นความผิดอาญาและเสนอให้จำเลยดำเนินคดีแก่บุคคลทั้งสอง ทั้งๆ ที่โจทก์ยังตรวจสอบพยานหลักฐานเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวไม่ครบถ้วน จึงเป็นการกระทำโดยประมาทเลินเล่อไม่ใช้ความระมัดระวังให้เพียงพอ ผลของการกระทำของโจทก์คือจำเลยได้เลิกจ้าง น. และ ม. โดยไม่จำเลยค่าชดเชยซึ่งย่อมมีผลกระทบต่อขวัญและกำลังใจในการปฏิบัติงานของลูกจ้างจำเลย ทำให้ระบบบริหารงานบุคคลของจำเลยเสียหาย และการดำเนินงานของจำเลยในส่วนที่เกี่ยวกับการทำงานของบุคคลทั้งสองที่ถูกเลิกจ้างต้องหยุดชะงักไปด้วย
ข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของจำเลยระบุว่าลูกจ้างที่ประมาทเลินเล่อเป็นเหตุให้ทรัพย์สินของจำเลยเสียหายจะถูกลงโทษขั้นปลดออกจากงาน แสดงว่าจำเลยมุ่งประสงค์ลงโทษลูกจ้างที่ทำงานประมาทเลินเล่อถึงขั้นเลิกจ้างเฉพาะกรณีทำให้ทรัพย์สินของจำเลยเสียหายเท่านั้น จำเลยเลิกจ้างโจทก์ด้วยเหตุประมาทเลินเล่อทำให้จำเลยเสียหายในระบบการบริหารงานบุคคลและการดำเนินงานซึ่งไม่ใช่ความเสียหายเป็นทรัพย์สินตามความประสงค์ของข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของจำเลย กรณีจึงถือไม่ได้ว่าโจทก์กระทำโดยประมาทเลินเล่อเป็นเหตุให้จำเลยได้รับความเสียหายอย่างร้ายแรงตาม พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงานฯ มาตรา 119 (3) เมื่อจำเลยเลิกจ้างโจทก์จึงต้องจ่ายค่าชดเชยแก่โจทก์ตามมาตรา 118 (1) แต่การกระทำของโจทก์ดังกล่าวเป็นการกระทำที่ไม่สมแก่การปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งผู้จัดการฝ่ายบริหารให้ลุล่วงไปโดยถูกต้องและสุจริต จำเลยจึงเลิกจ้างโจทก์ได้โดยไม่ต้องบอกกล่าวล่วงหน้าและไม่ต้องจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าแก่โจทก์ตาม ป.พ.พ. มาตรา 583 จำเลยเลิกจ้างโจทก์ด้วยสาเหตุปฏิบัติงานด้วยความประมาทเลินเล่อ เป็นการเลิกจ้างโดยมีเหตุอันสมควรไม่ใช่การเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม จำเลยจึงไม่ต้องจ่ายค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมแก่โจทก์เช่นกัน
ข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของจำเลยระบุว่าลูกจ้างที่ประมาทเลินเล่อเป็นเหตุให้ทรัพย์สินของจำเลยเสียหายจะถูกลงโทษขั้นปลดออกจากงาน แสดงว่าจำเลยมุ่งประสงค์ลงโทษลูกจ้างที่ทำงานประมาทเลินเล่อถึงขั้นเลิกจ้างเฉพาะกรณีทำให้ทรัพย์สินของจำเลยเสียหายเท่านั้น จำเลยเลิกจ้างโจทก์ด้วยเหตุประมาทเลินเล่อทำให้จำเลยเสียหายในระบบการบริหารงานบุคคลและการดำเนินงานซึ่งไม่ใช่ความเสียหายเป็นทรัพย์สินตามความประสงค์ของข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของจำเลย กรณีจึงถือไม่ได้ว่าโจทก์กระทำโดยประมาทเลินเล่อเป็นเหตุให้จำเลยได้รับความเสียหายอย่างร้ายแรงตาม พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงานฯ มาตรา 119 (3) เมื่อจำเลยเลิกจ้างโจทก์จึงต้องจ่ายค่าชดเชยแก่โจทก์ตามมาตรา 118 (1) แต่การกระทำของโจทก์ดังกล่าวเป็นการกระทำที่ไม่สมแก่การปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งผู้จัดการฝ่ายบริหารให้ลุล่วงไปโดยถูกต้องและสุจริต จำเลยจึงเลิกจ้างโจทก์ได้โดยไม่ต้องบอกกล่าวล่วงหน้าและไม่ต้องจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าแก่โจทก์ตาม ป.พ.พ. มาตรา 583 จำเลยเลิกจ้างโจทก์ด้วยสาเหตุปฏิบัติงานด้วยความประมาทเลินเล่อ เป็นการเลิกจ้างโดยมีเหตุอันสมควรไม่ใช่การเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม จำเลยจึงไม่ต้องจ่ายค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมแก่โจทก์เช่นกัน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1959/2548 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเลิกจ้างระหว่างลาคลอดบุตร: นายจ้างมีสิทธิเลิกจ้างได้หากไม่ใช่เพราะเหตุมีครรภ์
แม้ในระหว่างการลาเพื่อคลอดบุตร ลูกจ้างซึ่งเป็นหญิงที่ใช้สิทธิลาเพื่อคลอดบุตรจะยังมีสถานะเป็นลูกจ้าง แต่ก็ไม่มีกฎหมายคุ้มครองแรงงานใดห้ามไม่ให้นายจ้างลูกจ้างนั้นในระหว่างการลาเพื่อคลอดบุตร คงมีเพียง พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงานฯ มาตรา 43 ที่บัญญัติห้ามมิให้นายจ้างเลิกจ้างลูกจ้างซึ่งเป็นหญิงเพราะเหตุมีครรภ์ เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 เลิกจ้างโจทก์เพราะเหตุโจทก์มีครรภ์ การบอกกล่าวเลิกจ้างโจทก์ของจำเลยที่ 1 ที่กระทำในระหว่างที่โจทก์ลาคลอดบุตรจึงเริ่มมีผลตั้งแต่วันที่โจทก์ได้รับหนังสือเลิกจ้างหาใช่มีผลเมื่อวันลาคลอดบุตรของโจทก์สิ้นสุดลงไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1959/2548
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเลิกจ้างหญิงมีครรภ์ การจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า และสิทธิโบนัส/วันหยุดพักผ่อน
ในระหว่างการลาเพื่อคลอดบุตร ลูกจ้างซึ่งเป็นหญิงที่ใช้สิทธิลาเพื่อคลอดบุตรยังมีสถานะเป็นลูกจ้าง แต่ไม่มีกฎหมายคุ้มครองแรงงานใดห้ามไม่ให้นายจ้างเลิกจ้างลูกจ้างนั้นในระหว่างการลาเพื่อคลอดบุตร คงมีเพียง พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 มาตรา 43 ที่บัญญัติว่า "ห้ามมิให้นายจ้างเลิกจ้างลูกจ้างซึ่งเป็นหญิงเพราะเหตุมีครรภ์" แต่จำเลยมิได้เลิกจ้างโจทก์เพราะเหตุโจทก์มีครรภ์ กรณีจึงไม่ต้องด้วยข้อห้ามตามมาตรา 43
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1896/2548
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ลูกจ้างมีสิทธิฟ้องเรียกร้องค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม แม้ศาลแรงงานมีอำนาจพิจารณาค่าเสียหายเองได้
ตาม พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงานฯ มาตรา 49 เป็นการให้อำนาจศาลแรงงานใช้ดุลพินิจในการกำหนดค่าเสียหายที่ลูกจ้างได้รับ หาใช่เป็นการตัดสิทธิของลูกจ้างซึ่งได้รับความเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมที่จะฟ้องเรียกร้องไม่ เมื่อโจทก์ซึ่งเป็นลูกจ้างเห็นว่าจำเลยซึ่งเป็นนายจ้างเลิกจ้างด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรมแล้ว กรณีย่อมถือว่าเป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ซึ่งเป็นลูกจ้างตาม ป.วิ.พ. มาตรา 55 ประกอบ พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงานฯ มาตรา 31 และ 49 โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องและชอบที่จะเสนอคดีของตนต่อศาลแรงงานได้
โจทก์ฟ้องเรียกค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม โดยโจทก์ได้บรรยายฟ้องถึงความสัมพันธ์ระหว่างโจทก์กับจำเลยซึ่งเป็นนายจ้างกับลูกจ้าง และอ้างความเป็นมาของการเลิกจ้างว่า จำเลยมีหนังสือเปลี่ยนแปลงตำแหน่งหน้าที่ของโจทก์ไปเป็นตำแหน่งที่ด้อยกว่าเดิมมาก เป็นการกลั่นแกล้งโจทก์ และเมื่อโจทก์ร้องเรียนต่อสำนักงานสวัสดิการและแรงงานจังหวัดชลบุรีว่าจำเลยจ่ายค่าจ้างให้โจทก์ไม่ครบถ้วน เป็นเหตุให้สำนักงานดังกล่าวสั่งให้จำเลยจ่ายค่าจ้างให้โจทก์เพิ่มเติม จำเลยจึงมีหนังสือเลิกจ้างโจทก์โดยไม่เป็นธรรม ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ขอคิดค่าเสียหายโดยคำนวณจากเงินเดือนที่เคยได้รับและค่าตรวจรักษาคนไข้เป็นเวลา 5 ปี ดังนี้ คำฟ้องของโจทก์จึงเป็นการบรรยายฟ้องที่แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับ ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาแล้วฟ้องโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม
โจทก์ฟ้องเรียกค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม โดยโจทก์ได้บรรยายฟ้องถึงความสัมพันธ์ระหว่างโจทก์กับจำเลยซึ่งเป็นนายจ้างกับลูกจ้าง และอ้างความเป็นมาของการเลิกจ้างว่า จำเลยมีหนังสือเปลี่ยนแปลงตำแหน่งหน้าที่ของโจทก์ไปเป็นตำแหน่งที่ด้อยกว่าเดิมมาก เป็นการกลั่นแกล้งโจทก์ และเมื่อโจทก์ร้องเรียนต่อสำนักงานสวัสดิการและแรงงานจังหวัดชลบุรีว่าจำเลยจ่ายค่าจ้างให้โจทก์ไม่ครบถ้วน เป็นเหตุให้สำนักงานดังกล่าวสั่งให้จำเลยจ่ายค่าจ้างให้โจทก์เพิ่มเติม จำเลยจึงมีหนังสือเลิกจ้างโจทก์โดยไม่เป็นธรรม ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ขอคิดค่าเสียหายโดยคำนวณจากเงินเดือนที่เคยได้รับและค่าตรวจรักษาคนไข้เป็นเวลา 5 ปี ดังนี้ คำฟ้องของโจทก์จึงเป็นการบรรยายฟ้องที่แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับ ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาแล้วฟ้องโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1785/2548
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรวมพิจารณาฟ้องแย้งเรื่องค่าเสียหายจากความประมาทเลินเล่อ กับฟ้องเดิมเรื่องเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม
โจทก์ฟ้องว่าโจทก์เป็นลูกจ้างจำเลย จำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยโจทก์ไม่มีความผิดเป็นการเลิกจ้างโดยไม่เป็นธรรม ขอให้จำเลยจ่ายค่าชดเชย ค่าเสียหายและเงินอื่นๆ จำเลยให้การว่าจำเลยเลิกจ้างเพราะโจทก์ฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามระเบียบการทำงานของจำเลยเป็นกรณีร้ายแรง และยังประมาทเลินเล่อทำให้เงินของจำเลยสูญหายไป จึงมิใช่การเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม และฟ้องแย้งเรียกเอาเงินจำนวนที่สูญหายไป เงินที่โจทก์เรียกร้องตามฟ้องแย้งจึงเป็นเงินที่โจทก์ทำสูญหายไปเพราะโจทก์ประมาทเลินเล่อไม่ปฏิบัติตามระเบียบของจำเลยในขณะที่โจทก์เป็นลูกจ้างจำเลย ซึ่งจำเลยยกขึ้นต่อสู้ไว้ในคำให้การเพื่อไม่ต้องจ่ายค่าชดเชย ค่าเสียหายและเงินอื่น มิใช่เป็นการเรียกร้องเอาเงินอื่นที่ไม่เกี่ยวข้องกับการทำงานของโจทก์ตามสัญญาจ้างเป็นอีกส่วนหนึ่งต่างหาก ฟ้องแย้งของจำเลยจึงเกี่ยวข้องกับฟ้องเดิมพอที่จะรวมพิจารณาและชี้ขาดตัดสินเข้าด้วยกันได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1724/2548
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเบิกเงินบริษัทเพื่อข่มขู่ทำสัญญาชำระค่าชดเชยถือเป็นเหตุให้สัญญาเป็นโมฆียะและเลิกจ้างได้โดยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชย
โจทก์เป็นกรรมการผู้จัดการซึ่งมีอำนาจเบิกถอนเงินของจำเลยจากธนาคาร โจทก์ได้เบิกเงินของจำเลยจากธนาคารมาใช้ต่อรองกับ ค. กรรมการของจำเลยให้ยอมทำสัญญาชำระค่าชดเชยแก่โจทก์เนื่องจากจำเลยมีมติให้โจทก์ออกจากการเป็นกรรมการผู้จัดการของจำเลย เป็นการกระทำนอกเหนืออำนาจหน้าที่ของโจทก์เพื่อประโยชน์ส่วนตัวของโจทก์ ทำให้จำเลยเสียหายเพราะเงินขาดหายไปจากบัญชี ซึ่งหากไม่ได้เงินนั้นคืนมา ความเสียหายที่เกิดขึ้นแล้วก็ยังมีอยู่ต่อไป การที่ ค. ยอมทำสัญญาชำระค่าชดเชยแก่โจทก์ก็เพื่อให้ได้เงินดังกล่าวกลับคืนมา สัญญาดังกล่าวจึงเกิดจากการที่โจทก์นำเงินที่เบิกไปเก็บไว้มาข่มขู่โดยแท้ การข่มขู่จึงนับว่าร้ายแรงถึงขนาดที่ทำให้สัญญาชำระค่าชดเชยเป็นโมฆียะและนับเป็นการกระทำที่ฝ่าฝืนข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของจำเลยเป็นกรณีร้ายแรง จำเลยย่อมเลิกจ้างโจทก์ได้โดยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยตาม พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 มาตรา 119 (4)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1641-1642/2548
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเลิกจ้างลูกจ้างกรณีรับค่าตอบแทนจากบริษัทอื่นขัดต่อหน้าที่และข้อบังคับของบริษัท
จำเลยที่ 1 มอบหมายให้โจทก์ดำรงตำแหน่งผู้จัดการส่วนเรือขนส่ง มีหน้าที่กำกับดูแลการขนส่งทางทะเลและท่าเทียบเรือของจำเลยที่ 1 รับผิดชอบความปลอดภัยของเรือที่รับขนส่งน้ำมันให้แก่จำเลยที่ 1 ซึ่งก่อนทำสัญญากับผู้รับขนส่ง โจทก์ต้องตรวจเรือที่มารับขนส่งให้ได้มาตรฐานเสียก่อน โดยจำเลยที่ 1 มีนโยบายให้ตรวจปีละครั้งโดยเคร่งครัดเพื่อความปลอดภัยในการขนส่งและเพื่อประโยชน์ของจำเลยที่ 1 ตำแหน่งหน้าที่ของโจทก์จึงมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการรักษาผลประโยชน์ของจำเลยที่ 1 การที่โจทก์รับเงินค่าที่ปรึกษาจากบริษัท ป. ซึ่งนำเรือมารับขนส่งน้ำมันให้แก่จำเลยที่ 1 ย่อมเห็นได้ว่าเป็นการกระทำที่ขัดต่อตำแหน่งหน้าที่ อาจส่งผลกระทบต่อความปลอดภัยในการขนส่งน้ำมันในท่าเทียบเรือของจำเลยที่ 1 ทำให้ลูกค้าของจำเลยที่ 1 เสียความเชื่อถือในการให้บริการท่าเทียบเรือ การกระทำของโจทก์ดังกล่าวจึงเป็นการฝ่าฝืนต่อข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานข้อ 8.1 (6) ของจำเลยที่ 1 ที่ระบุว่า "เสนอหรือรับของมีค่าหรือประโยชน์อื่นใด เพื่อแลกกับการบรรจุเข้าทำงาน ตำแหน่งหน้าที่ การประมูลการเช่า การทำสัญญาหรือสิ่งอื่นใดที่เกี่ยวข้องกับบริษัทโดยมิชอบผู้อื่น" เป็นความผิดซึ่งนับเป็นกรณีร้ายแรง จำเลยที่ 1 ย่อมเลิกจ้างโจทก์ได้ทันทีโดยไม่ต้องบอกกล่าวล่วงหน้า และไม่ต้องจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าตาม ป.พ.พ. มาตรา 583 ประกอบ พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงานฯ มาตรา 17 วรรคท้าย และไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยตาม พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงานฯ มาตรา 119 (4) ทั้งมิใช่การเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม จำเลยที่ 1 จึงไม่ต้องจ่ายค่าเสียหายให้แก่โจทก์ด้วย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1620/2548
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเลิกจ้างเนื่องจากความผิดทางอาญาและอายุความค่าชดเชย แรงงานต้องยื่นคำขอรับชำระหนี้ภายในอายุความ
ลูกหนี้เลิกจ้างเจ้าหนี้เมื่อวันที่ 30 มีนาคม 2536 เจ้าหนี้จึงอาจบังคับเรียกร้องให้ลูกหนี้ชำระหนี้ได้ตั้งแต่วันดังกล่าว และหนี้ค่าชดเชยและสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าตามคำขอรับชำระหนี้ของเจ้าหนี้มีขึ้นเนื่องจากการบอกเลิกสัญญาจ้างของลูกหนี้มิใช่เงินที่กำหนดจ่ายเป็นค่าตอบแทนการทำงานหรือต้องจ่ายเพื่อเป็นค่าตอบแทนแก่ลูกจ้างตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่องการคุ้มครองแรงงาน หนี้ค่าชดเชยและสินค้าจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าจึงมิใช่ค่าจ้างและไม่มีกฎหมายบัญญัติกำหนดอายุความไว้เป็นการเฉพาะจึงมีกำหนดอายุความ 10 ปี ตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/30 ส่วนหนี้ค่าจ้างวันหยุดพักผ่อนประจำปี เป็นเงินที่ลูกหนี้จะต้องจ่ายเป็นค่าตอบแทนแก่เจ้าหนี้ซึ่งเป็นลูกจ้างตามสัญญาจ้างแรงงาน จึงเป็นสินจ้างตามมาตรา 575 ซึ่งมีอายุความ 2 ปี ตามมาตรา 193/34 (9) เมื่อนับแต่วันที่ 30 มีนาคม 2536 ถึงวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2545 ซึ่งเป็นวันที่เจ้าหนี้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปีตามคำขอรับชำระหนี้ของเจ้าหนี้จึงขาดอายุความแล้ว ไม่อาจขอรับชำระหนี้เฉพาะหนี้ค่าชดเชยและสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า
มีคนร้ายลักทรัพย์เงินสดจำนวน 93,013 บาท ของลูกหนี้ไป ลูกหนี้ได้มอบอำนาจให้พนักงานการเงินและบัญชีไปแจ้งความต่อเจ้าพนักงานตำรวจ ผลจากการสืบสวนได้ตรวจพบรอยนิ้วมือและฝ่ามือแฝงของเจ้าหนี้ในที่เกิดเหตุ เจ้าพนักงานตำรวจจึงดำเนินคดีแก่เจ้าหนี้ ลูกหนี้จึงได้เลิกจ้างเจ้าหนี้ และต่อมาพนักงานอัยการได้ยื่นฟ้องเจ้าหนี้ต่อศาลอาญากรุงเทพใต้ ในความผิดข้อหาลักทรัพย์การที่เจ้าหนี้ถูกฟ้องเป็นคดีอาญาล้วนมีขึ้นจากดุลพินิจในการปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมายของเจ้าพนักงานตำรวจและพนักงานอัยการ การที่ลูกหนี้ร้องขอจนศาลใช้ดุลพินิจอนุญาตให้ลูกหนี้เข้าเป็นโจทก์ร่วมกับพนักงานอัยการล้วนเป็นการใช้สิทธิตามกฎหมายไม่เป็นการละเมิดโดยเฉพาะอย่างยิ่งด้วยข้อเท็จจริงและพฤติการณ์ที่เจ้าพนักงานตำรวจสืบสวนสอบสวนแล้วดำเนินคดีแก่เจ้าหนี้ย่อมบ่งชี้และทำให้ลูกหนี้เข้าใจได้ว่าเจ้าหนี้เป็นผู้ลักทรัพย์ของลูกหนี้ไป ซึ่งเป็นเหตุอันสมควรที่ลูกหนี้จะเลิกจ้างเจ้าหนี้ได้ แม้ต่อมาศาลอาญากรุงเทพใต้และศาลอุทธรณ์จะมีคำพิพากษาถึงที่สุดให้ยกฟ้อง ก็ไม่มีผลทำให้การเลิกจ้างของลูกหนี้กลับเป็นการเลิกจ้างไม่เป็นธรรม
ประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงานซึ่งเป็นบทกฎหมายที่กำหนดให้สิทธิแก่เจ้าหนี้ในขณะมีการเลิกสัญญาจ้างแรงงาน มิได้กำหนดอัตราดอกเบี้ยที่ลูกหนี้จะต้องรับผิดชดใช้ให้แก่เจ้าหนี้ดังเช่น พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 มาตรา 9 วรรคหนึ่ง ที่กำหนดอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 15 ไว้โดยชัดแจ้ง ศาลล้มละลายกลางกำหนดดอกเบี้ยให้ในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ตาม ป.พ.พ. มาตรา 224 จึงชอบแล้ว
เมื่อลูกหนี้เลิกจ้างเจ้าหนี้ ลูกหนี้จะต้องจ่ายค่าชดเชยแก่เจ้าหนี้ทันที เมื่อไม่จ่ายให้ ลูกหนี้จึงตกเป็นผู้ผิดนัดต้องชำระดอกเบี้ยนับแต่วันเลิกจ้างเป็นต้นไป แต่สิทธิเรียกร้องดอกเบี้ยค้างชำระดังกล่าวมีกำหนดอายุความ 5 ปี นับย้อนหลังแต่วันยื่นคำขอรับชำระหนี้ในคดีล้มละลายตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/33 สิทธิเรียกร้องที่พ้นกำหนดอายุความดังกล่าวเจ้าหนี้จึงไม่มีสิทธิได้รับชำระหนี้ ส่วนสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าไม่ปรากฏว่าเจ้าหนี้มีการทวงถามก่อน ศาลฎีกาเห็นควรกำหนดดอกเบี้ยให้นับถัดจากวันยื่นคำขอรับชำระหนี้เป็นต้นไป
มีคนร้ายลักทรัพย์เงินสดจำนวน 93,013 บาท ของลูกหนี้ไป ลูกหนี้ได้มอบอำนาจให้พนักงานการเงินและบัญชีไปแจ้งความต่อเจ้าพนักงานตำรวจ ผลจากการสืบสวนได้ตรวจพบรอยนิ้วมือและฝ่ามือแฝงของเจ้าหนี้ในที่เกิดเหตุ เจ้าพนักงานตำรวจจึงดำเนินคดีแก่เจ้าหนี้ ลูกหนี้จึงได้เลิกจ้างเจ้าหนี้ และต่อมาพนักงานอัยการได้ยื่นฟ้องเจ้าหนี้ต่อศาลอาญากรุงเทพใต้ ในความผิดข้อหาลักทรัพย์การที่เจ้าหนี้ถูกฟ้องเป็นคดีอาญาล้วนมีขึ้นจากดุลพินิจในการปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมายของเจ้าพนักงานตำรวจและพนักงานอัยการ การที่ลูกหนี้ร้องขอจนศาลใช้ดุลพินิจอนุญาตให้ลูกหนี้เข้าเป็นโจทก์ร่วมกับพนักงานอัยการล้วนเป็นการใช้สิทธิตามกฎหมายไม่เป็นการละเมิดโดยเฉพาะอย่างยิ่งด้วยข้อเท็จจริงและพฤติการณ์ที่เจ้าพนักงานตำรวจสืบสวนสอบสวนแล้วดำเนินคดีแก่เจ้าหนี้ย่อมบ่งชี้และทำให้ลูกหนี้เข้าใจได้ว่าเจ้าหนี้เป็นผู้ลักทรัพย์ของลูกหนี้ไป ซึ่งเป็นเหตุอันสมควรที่ลูกหนี้จะเลิกจ้างเจ้าหนี้ได้ แม้ต่อมาศาลอาญากรุงเทพใต้และศาลอุทธรณ์จะมีคำพิพากษาถึงที่สุดให้ยกฟ้อง ก็ไม่มีผลทำให้การเลิกจ้างของลูกหนี้กลับเป็นการเลิกจ้างไม่เป็นธรรม
ประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงานซึ่งเป็นบทกฎหมายที่กำหนดให้สิทธิแก่เจ้าหนี้ในขณะมีการเลิกสัญญาจ้างแรงงาน มิได้กำหนดอัตราดอกเบี้ยที่ลูกหนี้จะต้องรับผิดชดใช้ให้แก่เจ้าหนี้ดังเช่น พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 มาตรา 9 วรรคหนึ่ง ที่กำหนดอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 15 ไว้โดยชัดแจ้ง ศาลล้มละลายกลางกำหนดดอกเบี้ยให้ในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ตาม ป.พ.พ. มาตรา 224 จึงชอบแล้ว
เมื่อลูกหนี้เลิกจ้างเจ้าหนี้ ลูกหนี้จะต้องจ่ายค่าชดเชยแก่เจ้าหนี้ทันที เมื่อไม่จ่ายให้ ลูกหนี้จึงตกเป็นผู้ผิดนัดต้องชำระดอกเบี้ยนับแต่วันเลิกจ้างเป็นต้นไป แต่สิทธิเรียกร้องดอกเบี้ยค้างชำระดังกล่าวมีกำหนดอายุความ 5 ปี นับย้อนหลังแต่วันยื่นคำขอรับชำระหนี้ในคดีล้มละลายตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/33 สิทธิเรียกร้องที่พ้นกำหนดอายุความดังกล่าวเจ้าหนี้จึงไม่มีสิทธิได้รับชำระหนี้ ส่วนสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าไม่ปรากฏว่าเจ้าหนี้มีการทวงถามก่อน ศาลฎีกาเห็นควรกำหนดดอกเบี้ยให้นับถัดจากวันยื่นคำขอรับชำระหนี้เป็นต้นไป