คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
โต้แย้ง

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 251 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3055/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การพิสูจน์การใช้ยานพาหนะในการกระทำความผิดและการโต้แย้งคำพิพากษาเดิมของผู้ร้อง
ในชั้นพิจารณาที่จำเลยถูกฟ้องว่ากระทำความผิดจำเลยได้ให้การสารภาพตามฟ้อง ศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยได้ใช้รถจักรยานยนต์ของกลางเพื่อสะดวกแก่การกระทำผิดและการพาทรัพย์ของผู้เสียหายที่ถูกวิ่งราวทรัพย์ไปคดีถึงที่สุดแล้ว แม้คำพิพากษาศาลชั้นต้นดังกล่าวไม่ผูกพันผู้ร้องซึ่งเป็นเจ้าของรถจักรยานยนต์ของกลางก็ตามแต่การที่ผู้ร้องยื่นคำร้องขอคืนของกลางแล้วกล่าวอ้างว่าในขณะกระทำความผิดจำเลยมิได้ใช้รถจักรยานยนต์เป็นยานพาหนะในการกระทำผิดเป็นการโต้แย้งคำพิพากษาเช่นนี้ ผู้ร้องจะต้องนำสืบให้ได้ความดังที่กล่าวอ้าง แต่ทางพิจารณาผู้ร้องนำสืบไม่ได้ว่ารถจักรยานยนต์ของกลางมิใช่ทรัพย์ที่จำเลยใช้ในการกระทำผิดในทางตรงกันข้ามจำเลยทั้งสองกลับเบิกความเป็นพยานผู้ร้องว่าจำเลยใช้รถยนต์ของกลางไปกระทำความผิดฐานวิ่งราวทรัพย์ดังนี้จึงต้องฟังว่ารถจักรยานยนต์ของกลางเป็นทรัพย์สินที่ได้ใช้ในการกระทำผิด

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2981/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การไม่อนุญาตซักค้านพยานในคดีตั้งผู้จัดการมรดก ศาลมีดุลพินิจในการพิจารณาคำร้องและไม่ชอบด้วยกฎหมายหากไม่ได้โต้แย้งคำสั่ง
คดีร้องขอเป็นผู้จัดการมรดก ประเด็นมีเพียงว่า สมควรตั้งผู้ร้องเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตายหรือไม่ การที่จะซักค้านพยานผู้ร้องในเรื่องเกี่ยวกับการจัดการมรดกเดิมและการจะจัดการมรดกต่อไปอย่างไรนั้น จึงไม่เป็นประโยชน์แก่การวินิจฉัยคดีประกอบกับการที่ศาลจะตั้งผู้ใดเป็นผู้จัดการมรดกเป็นดุลพินิจของศาลโดยเฉพาะ ดังนั้น ที่ศาลไม่อนุญาตให้ผู้คัดค้านซักค้านพยานผู้ร้องในเรื่องดังกล่าวนั้นชอบแล้ว คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ไม่อนุญาตให้ผู้คัดค้านซักค้านพยานผู้ร้องเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา เมื่อผู้คัดค้านไม่ได้โต้แย้งคำสั่งไว้ จึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 226(1) ประกอบมาตรา 247

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2752/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การนำสืบพยานหลักฐานโต้แย้งเอกสารในคดีแพ่ง และหลักการไม่ต้องวินิจฉัยประเด็นที่ไม่เป็นประโยชน์
การที่โจทก์นำสืบถึงหนังสือมอบอำนาจเป็นการนำสืบพยานหลักฐานที่เกี่ยวข้องกับข้อเท็จจริงในประเด็นที่พิพาท เมื่อจำเลยให้การปฏิเสธข้ออ้างของโจทก์เป็นประเด็นไว้แล้ว แม้จะไม่ให้การปฏิเสธหนังสือมอบอำนาจซึ่งโจทก์ได้กล่าวอ้างไว้ในคำฟ้อง ก็จะถือว่าจำเลยยอมรับข้อเท็จจริงในเอกสารดังกล่าวหาได้ไม่ จำเลยย่อมนำสืบหักล้างเอกสารดังกล่าวได้ เพราะเป็นการนำสืบโต้เถียงในประเด็นเดียวกัน หาใช่เป็นการนำสืบนอกเหนือคำให้การไม่ และกรณีก็มิใช่เรื่องการคัดค้านการนำเอกสารมาสืบตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 125 เมื่อโจทก์แพ้คดีในประเด็นข้อสำคัญแล้ว ประเด็นอื่นที่ไม่เป็นประโยชน์แก่คดีโจทก์ก็ไม่จำต้องได้รับการวินิจฉัยจากศาลอีกศาลจึงไม่จำต้องวินิจฉัยคดีทุกประเด็น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2421/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การแต่งทนายความ: ผู้ร้องยินยอมให้ดำเนินกระบวนพิจารณาโดยทนายความที่แต่งตั้งโดยชอบ เมื่อไม่โต้แย้งในชั้นต้น จะมาโต้แย้งในชั้นอุทธรณ์/ฎีกาไม่ได้
ทนายผู้คัดค้านยื่นใบแต่งทนายความลงชื่อผู้คัดค้านเป็นผู้แต่งทนายพร้อมกับยื่นคำคัดค้านไม่ปรากฏว่า ผู้ร้องได้คัดค้านว่าผู้คัดค้านไม่ได้ลงลายมือชื่อแต่งตั้งทนายความโดยชอบและขอให้ศาลมีคำสั่งไต่สวนแต่อย่างไร แต่กลับยินยอมให้มีการดำเนินกระบวนพิจารณามาโดยตลอดจนศาลชั้นต้นพิพากษาคดี ผู้ร้องจึงยกขึ้นคัดค้านในชั้นอุทธรณ์ไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1965/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาไม่ชัดแจ้ง: การโต้แย้งค่าเสียหายและอำนาจฟ้องต้องระบุรายละเอียดชัดเจน
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาให้จำเลยทั้งสามร่วมกันรับผิดในค่าเสียหาย 4 รายการ รายการแรกเป็นค่าขาดประโยชน์ 30,000 บาท รายการที่ 2 ค่าเสื่อมราคารถยนต์ของโจทก์ที่ถูกชน 10,000 บาท รายการที่ 3 ค่าระวางพาหนะ 2,500 บาท และรายการที่ 4 ค่าเสียหายเกี่ยวกับสินค้าที่รับขน41,358 บาท ที่จำเลยที่ 2 และที่ 3 กล่าวในฎีกาเพียงว่าศาลล่างกำหนดค่า-เสียหายให้โจทก์สูงเกินไปไม่ควรเกิน 40,000 บาท นั้นไม่มีรายละเอียดว่ารายการไหนที่มีจำนวนสูงและสูงอย่างไร ถือไม่ได้ว่าเป็นฎีกาโต้แย้งคัดค้านคำพิพากษาศาล-อุทธรณ์ภาค 1 และที่กล่าวว่าโจทก์ได้รับของที่เสียหายไปแล้ว และทรัพย์สินเสียหายไม่มากนั้นก็ไม่ระบุว่าของหรือทรัพย์สินรายการใดที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 วินิจฉัยไม่ถูกต้องหรือควรกำหนดให้ต่ำลงมาอีก จึงเป็นฎีกาที่ไม่ชัดแจ้ง ส่วนที่จำเลยที่ 2 และที่ 3 ฎีกาว่ารถพิพาทและจำเลยที่ 1 มิใช่รถและลูกจ้างของจำเลยที่ 2 และที่ 3โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องนั้น จำเลยที่ 2 และที่ 3 มิได้โต้แย้งคัดค้านคำพิพากษา-ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ที่วินิจฉัยปัญหาดังกล่าวว่า จำเลยที่ 3 โดยจำเลยที่ 2 หุ้นส่วนผู้จัดการเป็นผู้ครอบครองใช้ประโยชน์รถพิพาท จำเลยที่ 1 เป็นลูกจ้างขับรถพิพาทในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 3 ว่าไม่ถูกต้องหรือผิดพลาดอย่างไรจึงเป็นฎีกาไม่ชัดแจ้งเช่นกัน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1487/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาไม่ชอบด้วยกฎหมาย: การฎีกาโดยไม่ระบุเหตุผลโต้แย้งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์
จำเลยที่ 2 ฎีกาเพียงว่าไม่เห็นพ้องกับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ขอยื่นฎีกาเพราะจำเลยที่ 2 ไม่ได้กระทำผิด แม้การต่อสู้คดีของจำเลย พยานและคำให้การของจำเลยไม่สามารถหักล้างพยานโจทก์จำเลยก็ขอยืนยันคำให้การเดิมที่ให้การไว้ในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์โดยจำเลยที่ 2 ไม่ได้ระบุข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายที่ประสงค์จะอ้างอิงในชั้นฎีกา และไม่ได้กล่าวอ้างว่าศาลอุทธรณ์พิพากษาคดีไม่ถูกต้องในข้อใดอย่างใดดังนี้ ฎีกาของจำเลยที่ 2 ไม่เป็นการคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ เป็นฎีกาที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 193 วรรคสอง ประกอบด้วยมาตรา 225 และ 216

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1130/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาไม่ชอบ เนื่องจากมิได้โต้แย้งเหตุเกินกำหนดเวลาอุทธรณ์ และไม่ได้ยกขึ้นในศาลอุทธรณ์
จำเลยยื่นฎีกาคำสั่งของศาลอุทธรณ์ที่สั่งไม่รับอุทธรณ์ของจำเลยโดยอ้างว่าอุทธรณ์ของจำเลยมีข้อความครบถ้วนตามกฎหมาย ที่ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับอุทธรณ์ของจำเลยเป็นการพิจารณาที่ผิดระเบียบดังนี้ ฎีกาของจำเลยมิได้โต้แย้งคำสั่งของศาลอุทธรณ์ในข้อที่ว่าจำเลยมิได้ยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับอุทธรณ์ภายในกำหนด ทั้งเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาในศาลอุทธรณ์ เป็นฎีกาที่ไม่ชอบจึงต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา249 วรรคแรก

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 964/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ศาลมีอำนาจตรวจสอบลายมือชื่อเองได้ และไม่จำเป็นต้องใช้ผู้เชี่ยวชาญเสมอไป การโต้แย้งคำวินิจฉัยต้องชัดเจน
การวินิจฉัยลายมือชื่อในเอกสารว่าเป็นลายมือชื่อปลอมหรือไม่ไม่มีกฎหมายบังคับว่าศาลต้องฟังข้อพิสูจน์เป็นหลักฐานจากผู้เชี่ยวชาญก่อนแต่อย่างใดและสิ่งใดที่บุคคลธรรมดาอาจตรวจเห็นได้แล้ว ศาลก็ย่อมตรวจเห็นเองได้ ดังนั้นศาลจึงมีอำนาจตรวจสอบลายมือชื่อของโจทก์ในเอกสารหลายฉบับในสำนวนเปรียบเทียบกันเพื่อวินิจฉัยชี้ขาดว่าลายมือชื่อเจ้าของรถในคู่มือการจดทะเบียนรถยนต์ไม่ใช่ลายมือชื่อของโจทก์ได้ เมื่อข้ออ้างตามฎีกาของจำเลยไม่ตรงตามคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ ย่อมถือไม่ได้ว่าจำเลยโต้แย้งคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์โดยชัดแจ้งศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4952/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาไม่รับวินิจฉัยประเด็นป้องกันตัว เหตุโจทก์มิได้โต้แย้งข้อเท็จจริงในคำพิพากษาศาลอุทธรณ์
โจทก์มิได้บรรยายข้อเท็จจริงโต้แย้งคำพิพากษาศาลฎีกามาในฎีกาเลยว่า ข้อเท็จจริงอย่างไรที่ถือว่าการกระทำของจำเลยไม่เป็นการป้องกันโดยชอบ ฎีกาของโจทก์จึงไม่ชอบด้วย ป.วิ.อ. มาตรา 193ประกอบด้วยมาตรา 225

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2555/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การโต้แย้งมติที่ประชุมเจ้าหนี้ต้องทำตั้งแต่แรก หากเพิ่งยื่นหลังศาลตัดสินถือว่าสายเกินไป
คำร้องที่จำเลยยื่นต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เป็นการโต้แย้งคำขอรับชำระหนี้ของโจทก์ โดยขอให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ยกคำขอรับชำระหนี้ของโจทก์ มิใช่เป็นการโต้แย้งว่าการประชุมเจ้าหนี้ครั้งแรกหรือการลงมติของโจทก์เป็นการประชุมหรือการลงมติที่ไม่ชอบ ทั้งจำเลยเพิ่งยื่นคำร้องดังกล่าวภายหลังจากที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาให้จำเลยล้มละลายแล้ว จึงถือไม่ได้ว่าจำเลยได้ยกเรื่องมติที่ประชุมเจ้าหนี้ไม่ชอบขึ้นโต้แย้งต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์หรือต่อศาลชั้นต้นมาก่อน จำเลยจึงไม่อาจยกปัญหาที่เกี่ยวกับมติที่ประชุมเจ้าหนี้ว่าชอบหรือไม่ ขึ้นอุทธรณ์ได้
of 26