พบผลลัพธ์ทั้งหมด 356 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5987/2540
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เปลี่ยนแปลงกฎหมายระหว่างการพิจารณาคดี: ผลกระทบต่อความผิดและโทษทางอาญา
จำเลยขับรถบรรทุกเสพเมทแอมเฟตามีน โจทก์ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทพระราชบัญญัติจราจรทางบก และพระราชบัญญัติการขนส่งทางบกต่อมามีประกาศกระทรวงสาธารณสุขให้เมทแอมเฟตามีนเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก ศาลต้องยกฟ้องข้อหานี้และให้ยกคำขอพักใช้ใบอนุญาตขับขี่ เสพเมทแอมเฟตามีนขับรถบรรทุกเป็นภัยร้ายแรงไม่รอการลงโทษ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5827/2540 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
พยายามวางเพลิงฯ ไม่ต้องวินิจฉัยทำให้เสียทรัพย์ โทษคำนวณจากอัตราโทษเดิม
เมื่อการกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานพยายามวางเพลิงเผาทรัพย์ผู้อื่นตาม ป.อ.มาตรา 218 (1), 80 แล้ว ก็ไม่จำต้องวินิจฉัยว่าจำเลยกระทำผิดฐานทำให้เสียทรัพย์ตาม ป.อ.มาตรา 358 อีก
ตาม ป.อ.มาตรา 80 วรรคสอง ที่บัญญัติว่า ผู้ใดพยายามกระทำความผิด ผู้นั้นต้องระวางโทษสองในสามส่วนของโทษที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดนั้น หมายถึง การกำหนดโทษที่จะลงโดยคำนวณโทษจากสองในสามของอัตราโทษที่กฎหมายกำหนด หาใช่ต้องกำหนดโทษความผิดสำเร็จก่อนไม่
ตาม ป.อ.มาตรา 80 วรรคสอง ที่บัญญัติว่า ผู้ใดพยายามกระทำความผิด ผู้นั้นต้องระวางโทษสองในสามส่วนของโทษที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดนั้น หมายถึง การกำหนดโทษที่จะลงโดยคำนวณโทษจากสองในสามของอัตราโทษที่กฎหมายกำหนด หาใช่ต้องกำหนดโทษความผิดสำเร็จก่อนไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5420/2540
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ลักทรัพย์ในรถยนต์ที่ล็อคอยู่: การผ่านสิ่งกีดขวางเพื่อลักทรัพย์ และการพิจารณาโทษที่เหมาะสม
จำเลยเปิดประตูรถยนต์ซึ่งล็อกไว้ แล้วเข้าไปลักวิทยุเทปที่ติดตั้งอยู่ในรถยนต์เป็นการผ่านสิ่งกีดกั้นสำหรับคุ้มครองบุคคลหรือทรัพย์เข้าไปลักทรัพย์ เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335(3) วรรคหนึ่ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2879/2540
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพรากเด็กเพื่ออนาจาร, การรับสารภาพ, และการพิจารณาโทษเมื่อมีการสมรส
บทบัญญัติตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา176ที่ว่าถ้าจำเลยให้การรับสารภาพตามฟ้องให้ศาลพิพากษาไปได้โดยไม่ต้องสืบพยานนั้นมิได้หมายความว่าเมื่อจำเลยรับสารภาพแล้วจะต้องพิพากษาลงโทษจำเลยเสมอไปถ้าศาลเห็นว่าจำเลยมิได้กระทำความผิดหรือการกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิดศาลย่อมพิพากษายกฟ้องได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา185โดยเฉพาะข้อหาความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา317วรรคสามกำหนดอัตราโทษขั้นต่ำไว้ให้จำคุกตั้งแต่5ปีขึ้นไปศาลต้องฟังพยานโจทก์จนกว่าจะพอใจว่าจำเลยได้กระทำผิดจริงจึงจะพิพากษาลงโทษจำเลยได้คดีนี้ศาลชั้นต้นสืบพยานประกอบคำรับสารภาพของจำเลยแล้วจึงพิพากษาคดีเมื่อศาลชั้นต้นพิจารณาพยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบจนเป็นที่น่าพอใจว่าจำเลยกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา317วรรคสามดังนี้จำเลยจึงมีสิทธิที่จะอุทธรณ์ว่าพยานหลักฐานของโจทก์ยังรับฟังไม่ได้ว่าจำเลยกระทำความผิดการที่ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยจึงเป็นการไม่ชอบ พฤติการณ์ที่ผู้เสียหายขอให้จำเลยพากลับบ้านโดยนั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ของจำเลยออกไปแต่จำเลยไม่พาผู้เสียหายกลับบ้านแต่พาไปที่บ้านเพื่อนจำเลยที่อำเภอสามพราน จังหวัดนครปฐมผู้เสียหายพักอยู่ที่บ้านดังกล่าวหลายวันและจำเลยได้ร่วมประเวณีกับผู้เสียหายหลายครั้งแสดงให้เห็นว่าผู้เสียหายเต็มใจไปกับจำเลยหากผู้เสียหายไม่เต็มใจไปกับจำเลยผู้เสียหายก็มีโอกาสจะขอความช่วยเหลือจากบุคคลอื่นได้เพราะก่อนที่จำเลยจะพาผู้เสียหายไปที่อำเภอสามพรานจำเลยยังแวะบ้านเพื่อนจำเลยที่หนองแขมก่อนและปรากฎว่าบ้านที่อำเภอสามพรานที่ผู้เสียหายพักอยู่กับจำเลยนั้นมีคนอื่นอยู่ร่วมด้วยผู้เสียหายก็มิได้ขอความช่วยเหลือแต่เมื่อข้อเท็จจริงยังฟังไม่ได้ว่าขณะที่จำเลยพาผู้เสียหายไปนั้นจำเลยมีความประสงค์จะอยู่กินฉันสามีภริยากับผู้เสียหายดังนั้นการที่จำเลยพาผู้เสียหายซึ่งมีอายุ14ปีเศษจากกรุงเทพมหานครไปอำเภอสามพราน และได้ร่วมประเวณีกับผู้เสียหายถือได้ว่าเป็นการพรากเด็กอายุไม่เกิน15ปีไปเสียจากบิดามารดาหรือผู้ปกครองเพื่อการอนาจารโดยปราศจากเหตุอันสมควรจึงเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา317วรรคสาม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2766/2540
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การนับโทษจำคุกเมื่อจำเลยถูกขังในคดีอื่นก่อน และการหักวันคุมขังออกจากโทษตามกฎหมาย
ไม่มีบทกฎหมายใดบัญญัติห้ามไว้ว่าเมื่อจำเลยถูกขังในคดีหนึ่งแล้วจะถูกขังในคดีอื่นอีกไม่ได้ ดังนั้น การที่ศาลชั้นต้นออกหมายขังจำเลยระหว่างพิจารณา ตามหมายขังเลขที่ 16/2539 ลงวันที่ 16 มกราคม 2539 ในคดีนี้ในวันที่โจทก์ยื่นฟ้องจำเลยต่อศาลชั้นต้นและขณะที่จำเลยถูกขังอยู่ในเรือนจำในคดีอื่น จึงเป็นการกระทำที่ชอบด้วยกฎหมายมีผลให้จำเลยถูกขังในคดีนี้ตามหมายขังดังกล่าวของศาลชั้นต้นนับแต่วันที่ 16 มกราคม 2539 เป็นต้นมา ทำนองเดียวกับการที่จำเลยถูกศาลพิพากษาจำคุก 2 คดีพร้อมกัน หากศาลมิได้กล่าวในคำพิพากษาว่าให้นับโทษจำคุกของจำเลยในคดีหนึ่งต่อจากอีกคดีหนึ่ง ก็ต้องนับโทษจำคุกของจำเลยในทั้งสองคดีไปพร้อมกัน และประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 88 ที่บัญญัติว่า นับแต่เวลายื่นฟ้องจำเลยที่ต้องขังตามหมายศาล ๆ จะขังจำเลยต่อไปหรือปล่อยชั่วคราวก็ได้ เมื่อพิจารณาประกอบกับมาตรา 71 วรรคสี่ที่บัญญัติว่า หมายขังคงใช้ได้อยู่จนกว่าศาลจะได้เพิกถอนโดยออกหมายปล่อยหรือออกหมายจำคุกแทน เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า นับแต่วันที่ศาลชั้นต้นออกหมายขังจำเลยไว้ในระหว่างพิจารณาจนถึงวันที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษา ศาลชั้นต้นคงขังจำเลยไว้ตลอดมาเป็นเวลาเกินกว่าระยะเวลาที่ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำคุกจำเลยเป็นกรณีที่จำเลยถูกคุมขังก่อนศาลพิพากษา สามารถหักจำนวนวันที่จำเลยถูกคุมขังออกจากระยะเวลาจำคุกตามคำพิพากษา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 22 วรรคหนึ่งได้ การที่ศาลชั้นต้นหักวันที่จำเลยถูกคุมขังออกจากระยะเวลาจำคุกตามคำพิพากษาและเห็นว่าจำเลยต้องขังมาพอแก่โทษแล้ว จึงให้ปล่อยตัวไปนั้นชอบแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 207/2540 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดพยายามฆ่าเมื่ออาวุธปืนไม่สามารถใช้งานได้จริง การกำหนดโทษตาม ป.อ.มาตรา 81
อาวุธปืนที่จำเลยใช้ยิงเป็นอาวุธปืนแก๊ปยาว โดยปกติการใช้อาวุธปืนดังกล่าว ปัจจัยสำคัญที่จะทำให้กระสุนปืนลั่นออกได้คือแก๊ปสำหรับจุดระเบิดหากไม่มีการใส่แก๊ปก็ไม่สามารถทำให้กระสุนปืนลั่นออกได้เลย แม้จำเลยจะได้ใช้อาวุธปืนแก๊ปยาวยิงผู้เสียหายโดยมีเจตนาฆ่า แต่ข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่า อาวุธปืนที่จำเลยใช้ยิงมีการใส่แก๊ปปืนไว้แล้ว ดังนี้กระสุนปืนจึงไม่อาจลั่นออกได้อย่างแน่นอนการกระทำของจำเลยจึงเป็นการกระทำที่ไม่สามารถบรรลุผลได้อย่างแน่แท้เพราะเหตุปัจจัยซึ่งใช้ในการกระทำ เป็นความผิดฐานพยายามฆ่าผู้อื่นตาม ป.อ.มาตรา 288ประกอบมาตรา 81 วรรคหนึ่ง
ป.อ.มาตรา 81 วรรคหนึ่ง กำหนดให้ลงโทษไม่เกินกึ่งหนึ่งของโทษที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดนั้น ความผิดตาม ป.อ.มาตรา 288 ซึ่งกำหนดโทษประหารชีวิต จำคุกตลอดชีวิต หรือจำคุกตั้งแต่ 15 ปี ถึง 20 ปี การคำนวณโทษกึ่งหนึ่งของโทษประหารชีวิตหรือโทษจำคุกตลอดชีวิต กฎหมายไม่ได้บัญญัติไว้จึงต้องนำ ป.อ.มาตรา 52 (2) และ 53 มาใช้เป็นหลักในการกำหนดโทษ เมื่อคำนวณแล้วย่อมมากกว่าโทษกึ่งหนึ่งของโทษจำคุกตั้งแต่ 15 ปี ถึง 20 ปี ส่วนโทษกึ่งหนึ่งของโทษจำคุกตั้งแต่ 15 ปี ถึง 20 ปี ก็คือโทษจำคุกตั้งแต่ 7 ปี 6 เดือนถึง 10 ปี ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำเลยก่อนลดโทษตาม ป.อ.มาตรา 78จำคุก 2 ปี เป็นการลงโทษไม่เกินกึ่งหนึ่งของโทษที่กำหนดไว้ ตาม ป.อ.มาตรา288 ประกอบด้วยมาตรา 81 วรรคหนึ่ง หาใช่ว่าจะต้องกำหนดโทษจำคุกจำเลยไม่ต่ำกว่า 7 ปี 6 เดือนไม่
ป.อ.มาตรา 81 วรรคหนึ่ง กำหนดให้ลงโทษไม่เกินกึ่งหนึ่งของโทษที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดนั้น ความผิดตาม ป.อ.มาตรา 288 ซึ่งกำหนดโทษประหารชีวิต จำคุกตลอดชีวิต หรือจำคุกตั้งแต่ 15 ปี ถึง 20 ปี การคำนวณโทษกึ่งหนึ่งของโทษประหารชีวิตหรือโทษจำคุกตลอดชีวิต กฎหมายไม่ได้บัญญัติไว้จึงต้องนำ ป.อ.มาตรา 52 (2) และ 53 มาใช้เป็นหลักในการกำหนดโทษ เมื่อคำนวณแล้วย่อมมากกว่าโทษกึ่งหนึ่งของโทษจำคุกตั้งแต่ 15 ปี ถึง 20 ปี ส่วนโทษกึ่งหนึ่งของโทษจำคุกตั้งแต่ 15 ปี ถึง 20 ปี ก็คือโทษจำคุกตั้งแต่ 7 ปี 6 เดือนถึง 10 ปี ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำเลยก่อนลดโทษตาม ป.อ.มาตรา 78จำคุก 2 ปี เป็นการลงโทษไม่เกินกึ่งหนึ่งของโทษที่กำหนดไว้ ตาม ป.อ.มาตรา288 ประกอบด้วยมาตรา 81 วรรคหนึ่ง หาใช่ว่าจะต้องกำหนดโทษจำคุกจำเลยไม่ต่ำกว่า 7 ปี 6 เดือนไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 108/2540
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำรับสารภาพมีผลผูกพันจำเลย, ลดโทษจากความสำนึกผิด, ปริมาณยาเสพติดมีผลต่อการพิจารณาโทษ
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อขายจำเลยให้การรับสารภาพข้อเท็จจริงจึงฟังเป็นยุติตามคำรับสารภาพของจำเลยจำเลยอาจหาฎีกากล่าวอ้างข้อเท็จจริงขึ้นใหม่อันขัดต่อคำรับสารภาพและคำวินิจฉัยของศาลล่างทั้งสองได้ไม่ เมทแอมเฟตามีนของกลางคำนวณเป็นสารบริสุทธิ์หนัก1,406กรัมสามารถก่อภัยอันตรายร้ายแรงต่อสุจริตชนทำให้เกิดปัญหาความสงบสุขต่อสังคมในปัจจุบันการที่ศาลลงโทษจำคุก9ปีนับว่าเหมาะสมต่อสภาพความผิดแต่เมื่อจำเลยให้การรับสารภาพตั้งแต่ชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนตลอดถึงชั้นพิจารณานับว่ารู้สึกความผิดและเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาสมควรได้รับความปรานีลดโทษให้กึ่งหนึ่ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2360/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฎีกาที่ไม่ได้รับอนุญาต เนื่องจากเป็นการโต้เถียงดุลพินิจศาลอุทธรณ์ในการกำหนดโทษ ซึ่งขัดต่อข้อจำกัดการฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลย6เดือนศาลอุทธรณ์ภาค2พิพากษาแก้เป็นว่าให้ปรับจำเลย10,000บาทอีกสถานหนึ่งแล้วรอการลงโทษจำคุกไว้มีกำหนด2ปีเป็นกรณีที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค2ลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกิน2ปีและปรับไม่เกิน40,000บาทจึงห้ามมิให้โจทก์ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา219การที่โจทก์ฎีกาขอให้ไม่รอการลงโทษจำเลยเป็นการโต้เถียงดุลพินิจในการกำหนดโทษของศาลอุทธรณ์ภาค2เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงจึงต้องห้ามตามบทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2048/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาไม่รับวินิจฉัยเนื่องจากโต้แย้งการวินิจฉัยข้อเท็จจริงของศาลอุทธรณ์เฉพาะโทษ ไม่ใช่คำพิพากษาทั้งหมด
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยโดยไม่รอการลงโทษศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เฉพาะโทษเป็นลงโทษจำคุกและปรับแต่โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้การที่โจทก์ร่วมฎีกาว่าจำเลยขับรถเร็วล้ำเข้าไปในช่องเดินรถของโจทก์ร่วมฝ่ายเดียวมิใช่ต่างฝ่ายต่างขับรถเร็วและต่างล้ำเข้าไปในช่องเดินรถของอีกฝ่ายหนึ่งดังที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยโดยโจทก์ร่วมมิได้ขอให้ศาลฎีกาพิพากษาแก้ไขคำพิพากษาศาลอุทธรณ์เช่นนี้ฎีกาของโจทก์ร่วมจึงไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัยศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 11/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การครอบครองเมทแอมเฟตามีนเกินปริมาณที่กฎหมายกำหนด และความผิดฐานมีไว้เพื่อขาย ศาลฎีกาแก้ไขโทษ
พระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทพ.ศ.2518ได้ให้บทนิยามคำว่า"วัตถุตำรับ"หมายความว่าสิ่งปรุงไม่ว่าจะมีรูปลักษณะใดที่มีวัตถุออกฤทธิ์รวมอยู่ด้วยทั้งนี้รวมทั้งวัตถุออกฤทธิ์ที่มีลักษณะเป็นวัตถุสำเร็จรูปทางเภสัชกรรมซึ่งพร้อมที่จะนำไปใช้แก่คนหรือสัตว์ได้นอกจากนั้นในมาตรา59ยังได้บัญญัติว่า"ให้ถือว่าวัตถุตำรับที่มีวัตถุออกฤทธิ์ในประเภทหนึ่งประเภทใดปรุงผสมอยู่เป็นวัตถุออกฤทธิ์ในประเภทนั้นด้วย"จึงเป็นที่เห็นได้ว่าวัตถุออกฤทธิ์ในความหมายดังกล่าวนั้นนอกจากหมายถึงวัตถุออกฤทธิ์โดยเฉพาะแล้วยังหมายรวมถึงสิ่งปรุงไม่ว่าจะมีรูปร่างลักษณะใดที่มีวัตถุออกฤทธิ์ปรุงผสมอยู่ด้วย ในระหว่างพิจารณารัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขได้ออกประกาศกระทรวงสาธารณสุขฉบับที่92(พ.ศ.2538)ให้ยกเลิกประกาศกระทรวงสาธารณสุขฉบับที่85(พ.ศ.2536)ซึ่งบังคับใช้อยู่ขณะเกิดเหตุและกำหนดการมีไว้ในครอบครองหรือใช้ประโยชน์ซึ่งวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท1หรือประเภท2เมื่อคำนวณเป็นสารบริสุทธิ์แล้วสำหรับ เมทแอมเฟตามีนต้องไม่เกิน0.500กรัมเมื่อข้อเท็จจริงไม่ปรากฏว่าวัตถุออกฤทธิ์ของกลางน้ำหนักรวม105.10กรัมคำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ได้ปริมาณเกินกว่าที่รัฐมนตรีกำหนดหรือไม่จำเลยจึงไม่มีความผิดตามพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทพ.ศ.2518มาตรา106ทวิเพราะประกาศกระทรวงสาธารณสุขฉบับที่92(พ.ศ.2538)เป็นคุณแก่จำเลยทั้งนี้ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา3การกระทำของจำเลยเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทพ.ศ.2518มาตรา106วรรคหนึ่งเท่านั้น ประกาศกระทรวงสาธารณสุขฉบับที่92(พ.ศ.2538)ไม่มีผลถึงความผิดฐานมีวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท2ไว้ในครอบครองเพื่อขายตามพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทพ.ศ.2518มาตรา13ทวิวรรคหนึ่ง,89เพราะความผิดฐานนี้ไม่ได้กำหนดปริมาณของวัตถุออกฤทธิ์อันจะเป็นความผิดไว้ เมื่อการกระทำของจำเลยเป็นความผิดตามมาตรา89ซึ่งเป็นบทเฉพาะแล้วก็ไม่จำต้องปรับบทลงโทษตามมาตรา106วรรคหนึ่งซึ่งเป็นบททั่วไปอีกปัญหานี้แม้คู่ความไม่ได้ฎีกาขึ้นมาศาลฎีกาก็มีอำนาจแก้ไขให้ถูกต้องได้รวมทั้งกำหนดโทษจำเลยในความผิดตามมาตรา89ซึ่งศาลล่างทั้งสองมิได้กำหนดไว้ได้