พบผลลัพธ์ทั้งหมด 507 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2144/2544
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรวมโทษจำคุกและลดโทษ: การนับวันและผลกระทบต่อโทษจำคุกที่แท้จริง
การที่ศาลล่างรวมโทษจำคุกจำเลยทั้งสามกระทงก่อนแล้วจึงลดโทษนั้นไม่ถูกต้อง เพราะเมื่อลดโทษจำคุกแต่ละกระทงแล้วมีเศษเป็นเดือน การนับโทษจำคุกเป็นเดือนต้องนับสามสิบวันเป็นหนึ่งเดือน แต่การนับโทษจำคุกเป็นปีต้องนับตามที่ปฏิทินราชการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 21 วรรคสอง ดังนั้น หากกำหนดโทษจำคุกเป็นเดือนเมื่อรวมโทษจำคุกได้ 12 เดือน จำเลยย่อมได้รับโทษจำคุก 360 วัน แต่ถ้ารวมโทษเป็น 1 ปี จะได้รับโทษจำคุก 365 วันหรือ 366 วัน เห็นได้ว่า หากรวมโทษจำคุกจากเดือนเป็นปีย่อมเป็นผลร้ายแก่จำเลยมากกว่า จึงต้องลดโทษให้จำเลยทุกกระทงก่อนแล้วรวมโทษจำคุก ในส่วนที่เป็นเดือนคงให้เป็นเดือนต่อไป
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1580/2544
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเพิ่มโทษจำคุกอาศัยการกระทำผิดซ้ำใน 5 ปี ต้องพิจารณาโทษจำคุกที่เคยได้รับจริง ไม่ใช่โทษที่รอการลงโทษ
ในคดีก่อนที่โจทก์อ้างเป็นเหตุขอให้เพิ่มโทษจำเลยนั้น ศาลชั้นต้นในคดีนั้นพิพากษาให้ลงโทษจำคุกจำเลย 6 เดือน และปรับ 20,000 บาทโทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปี เมื่อคดีก่อนจำเลยไม่ได้รับโทษจำคุก จึงไม่มีวันพ้นโทษที่จะถือเอาเป็นเกณฑ์ในการเพิ่มโทษจำเลยได้กรณีจึงถือไม่ได้ว่าจำเลยพ้นโทษแล้วภายใน 5 ปี มากระทำความผิดคดีนี้ จะเพิ่มโทษจำเลยตามมาตรา 92 แห่งประมวลกฎหมายอาญามิได้ปัญหาดังกล่าวเป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยแม้จำเลยมิได้ฎีกาในปัญหานี้ ศาลฎีกาแก้ไขให้ถูกต้องได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1414/2544
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาไม่รับเนื่องจากเป็นการโต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐาน และโทษไม่เกิน 5 ปี
++ เรื่อง ความผิดต่อพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ ความผิดต่อเจ้าพนักงาน ++
++ ทดสอบทำงานในเครื่อง เพื่อค้นหาข้อมูลทาง online ก่อนพิมพ์จริง ++
++ ++++++++++++++++++++++++++++++++++++++ ++
++ ความผิดฐานให้ทรัพย์สินแก่เจ้าพนักงานเพื่อจูงใจให้กระทำการอันมิชอบด้วยหน้าที่ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 144 ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นโดยลดโทษให้กึ่งหนึ่งแล้วคงจำคุก 1 ปี 4 เดือนจึงเป็นความผิดที่ต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคหนึ่ง การที่จำเลยฎีกาว่าที่พยานโจทก์อ้างว่า จำเลยให้สินบนแก่เจ้าพนักงานเพื่อมิให้จับกุมนางดวงใจ แสงอาวุธ ซึ่งเป็นภริยาของจำเลย เป็นพฤติการณ์ที่เป็นพิรุธไม่น่าเชื่อเพราะไม่มีเหตุจูงใจที่จำเลยจะต้องทำเช่นนั้น เป็นการฎีกาโต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์ที่เชื่อว่าจำเลยได้มอบเงินจำนวน 18,450 บาท ให้แก่ร้อยตำรวจโทคมกริช ศรีสองเมือง เพื่อไม่ให้จับกุมจำเลย จึงเป็นการฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ซึ่งต้องห้ามฎีกาตามบทบัญญัติกฎหมายดังกล่าวข้างต้น ++
++ ส่วนความผิดฐานมีเฮโรอีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย ฐานจำหน่ายเฮโรอีน ฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน แม้ตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์จะวินิจฉัยว่าเป็นการกระทำกรรมเดียวและเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบทที่มีอัตราโทษเท่ากันตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 15 วรรคหนึ่ง,66 วรรคหนึ่ง ลดโทษให้กึ่งหนึ่งแล้ว จำคุก 4 ปี ต่างจากที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าเป็นการกระทำต่างกรรมกัน ลดโทษให้กึ่งหนึ่งแล้ว ฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน จำคุก 4 ปี ฐานจำหน่ายเฮโรอีน จำคุก 3 ปีก็ตาม แต่ก็เป็นการที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ไขคำพิพากษาศาลชั้นต้นเพียงเล็กน้อย และโทษที่ศาลอุทธรณ์จำคุกจำเลยก็ไม่เกิน5 ปี ความผิดส่วนนี้จึงเป็นความผิดที่ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคหนึ่งเช่นกัน การที่จำเลยฎีกาว่า นอกจากสิบตำรวจตรีโกมินทร์ สุวรรณฤกษ์พยานโจทก์อื่นไม่มีผู้ใดเห็น การซื้อขายเมทแอมเฟตามีนและเฮโรอีนของจำเลย แต่อย่างใด ทั้งเมื่อพิจารณาจำนวนเมทแอมเฟตามีน 92 เม็ดและเฮโรอีน 5 หลอด นั้นรวมกันแล้วต้องใช้เงินล่อซื้อเกือบ 30,000 บาทการที่สิบตำรวจตรีโกมินทร์มีเงินไปล่อซื้อเพียง 10,000 บาท จำเลยคงไม่ยอมจำหน่ายให้แน่นอน แต่เป็นเรื่องที่มีการสร้างพยานหลักฐานขึ้นมาให้น่าเชื่อถือเท่านั้น ทั้งบันทึกเอกสารหมาย จ.3 จ.4 และ จ.5ก็มีข้อบกพร่องเป็นพิรุธ พยานหลักฐานของโจทก์ไม่อาจรับฟังได้นั้นเป็นการฎีกาโต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์ภาค 8ที่วินิจฉัยเชื่อว่า จำเลยได้จำหน่ายเมทแอมเฟตามีนและเฮโรอีนให้แก่สิบตำรวจตรีโกมินทร์ที่ปลอมตัวเข้าไปล่อซื้อและเจ้าพนักงานตำรวจอื่นได้เข้าจับกุมจำเลยได้พร้อมเงินที่ล่อซื้อ จำเลยจึงมีความผิดตามฟ้องเป็นการฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ซึ่งต้องห้ามฎีกาตามบทบัญญัติกฎหมายดังกล่าวข้างต้นเช่นกัน ที่ศาลชั้นต้นรับฎีกาของจำเลยขึ้นมาจึงเป็นการไม่ชอบ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
++ ทดสอบทำงานในเครื่อง เพื่อค้นหาข้อมูลทาง online ก่อนพิมพ์จริง ++
++ ++++++++++++++++++++++++++++++++++++++ ++
++ ความผิดฐานให้ทรัพย์สินแก่เจ้าพนักงานเพื่อจูงใจให้กระทำการอันมิชอบด้วยหน้าที่ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 144 ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นโดยลดโทษให้กึ่งหนึ่งแล้วคงจำคุก 1 ปี 4 เดือนจึงเป็นความผิดที่ต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคหนึ่ง การที่จำเลยฎีกาว่าที่พยานโจทก์อ้างว่า จำเลยให้สินบนแก่เจ้าพนักงานเพื่อมิให้จับกุมนางดวงใจ แสงอาวุธ ซึ่งเป็นภริยาของจำเลย เป็นพฤติการณ์ที่เป็นพิรุธไม่น่าเชื่อเพราะไม่มีเหตุจูงใจที่จำเลยจะต้องทำเช่นนั้น เป็นการฎีกาโต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์ที่เชื่อว่าจำเลยได้มอบเงินจำนวน 18,450 บาท ให้แก่ร้อยตำรวจโทคมกริช ศรีสองเมือง เพื่อไม่ให้จับกุมจำเลย จึงเป็นการฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ซึ่งต้องห้ามฎีกาตามบทบัญญัติกฎหมายดังกล่าวข้างต้น ++
++ ส่วนความผิดฐานมีเฮโรอีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย ฐานจำหน่ายเฮโรอีน ฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน แม้ตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์จะวินิจฉัยว่าเป็นการกระทำกรรมเดียวและเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบทที่มีอัตราโทษเท่ากันตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 15 วรรคหนึ่ง,66 วรรคหนึ่ง ลดโทษให้กึ่งหนึ่งแล้ว จำคุก 4 ปี ต่างจากที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าเป็นการกระทำต่างกรรมกัน ลดโทษให้กึ่งหนึ่งแล้ว ฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน จำคุก 4 ปี ฐานจำหน่ายเฮโรอีน จำคุก 3 ปีก็ตาม แต่ก็เป็นการที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ไขคำพิพากษาศาลชั้นต้นเพียงเล็กน้อย และโทษที่ศาลอุทธรณ์จำคุกจำเลยก็ไม่เกิน5 ปี ความผิดส่วนนี้จึงเป็นความผิดที่ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคหนึ่งเช่นกัน การที่จำเลยฎีกาว่า นอกจากสิบตำรวจตรีโกมินทร์ สุวรรณฤกษ์พยานโจทก์อื่นไม่มีผู้ใดเห็น การซื้อขายเมทแอมเฟตามีนและเฮโรอีนของจำเลย แต่อย่างใด ทั้งเมื่อพิจารณาจำนวนเมทแอมเฟตามีน 92 เม็ดและเฮโรอีน 5 หลอด นั้นรวมกันแล้วต้องใช้เงินล่อซื้อเกือบ 30,000 บาทการที่สิบตำรวจตรีโกมินทร์มีเงินไปล่อซื้อเพียง 10,000 บาท จำเลยคงไม่ยอมจำหน่ายให้แน่นอน แต่เป็นเรื่องที่มีการสร้างพยานหลักฐานขึ้นมาให้น่าเชื่อถือเท่านั้น ทั้งบันทึกเอกสารหมาย จ.3 จ.4 และ จ.5ก็มีข้อบกพร่องเป็นพิรุธ พยานหลักฐานของโจทก์ไม่อาจรับฟังได้นั้นเป็นการฎีกาโต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์ภาค 8ที่วินิจฉัยเชื่อว่า จำเลยได้จำหน่ายเมทแอมเฟตามีนและเฮโรอีนให้แก่สิบตำรวจตรีโกมินทร์ที่ปลอมตัวเข้าไปล่อซื้อและเจ้าพนักงานตำรวจอื่นได้เข้าจับกุมจำเลยได้พร้อมเงินที่ล่อซื้อ จำเลยจึงมีความผิดตามฟ้องเป็นการฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ซึ่งต้องห้ามฎีกาตามบทบัญญัติกฎหมายดังกล่าวข้างต้นเช่นกัน ที่ศาลชั้นต้นรับฎีกาของจำเลยขึ้นมาจึงเป็นการไม่ชอบ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8354/2543
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงหลังศาลชั้นต้นลงโทษกักขังแทนจำคุก และศาลอุทธรณ์ยืนตามคำพิพากษาเดิม
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษกักขังแทนโทษจำคุก และศาลอุทธรณ์ภาค 9มิได้กลับคำพิพากษาศาลชั้นต้น จึงต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 219 ตรี ซึ่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 221 ผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาหรือลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นจะอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงได้เฉพาะในคดีซึ่งห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 218,219 และ 220 เท่านั้น จะอนุญาตตามมาตรา 219 ตรีไม่ได้จำเลยฎีกาขอให้ลงโทษสถานเบาและรอการลงโทษจำคุกเป็นการโต้เถียงดุลพินิจในการลงโทษของศาล อันเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8290/2543
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาทุจริตเบียดบังทรัพย์สินเป็นสาระสำคัญของความผิดฐานยักยอก การอุทธรณ์ข้อเท็จจริงในคดีที่มีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี
เมื่อศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงจากพยานหลักฐานในสำนวนแล้ววินิจฉัยว่า การที่จำเลยที่ 1 ครอบครองฝาสูบตัวอย่างของโจทก์เพื่อโต้แย้งสิทธิกันในทางแพ่งถือไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 มีเจตนาเบียดบังฝาสูบตัวอย่างเป็นของจำเลยที่ 1 การที่โจทก์อุทธรณ์โดยอ้างข้อเท็จจริงเพิ่มเติมเพื่อฟังว่าการกระทำของจำเลยที่ 1 เป็นการเบียดบังฝาสูบตัวอย่างของโจทก์ไปโดยสุจริตนั้นเป็นการโต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลชั้นต้น เพื่อนำไปสู่การวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายถือเป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง เมื่อความผิดฐานยักยอกตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปีหรือปรับไม่เกินหกพันบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ คดีของโจทก์จึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงตามพระราชบัญญัติ จัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง มาตรา 22 ประกอบด้วยพระราชบัญญัติให้นำวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง มาใช้บังคับในศาลจังหวัดฯ มาตรา 3
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7802/2543
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิจารณาโทษจำคุกและส่งตัวไปฝึกอบรมเด็กและเยาวชนในคดีอาญา และข้อจำกัดในการฎีกาโทษ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลย (ขณะกระทำความผิดอายุ 17 ปีเศษ)มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83,288,289(4)พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิงและสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 7,8 ทวิ วรรคสอง,72 วรรคหนึ่ง,72 ทวิ วรรคสอง เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 รวมลงโทษจำคุกจำเลย 13 ปีเปลี่ยนโทษจำคุกเป็นส่งตัวจำเลยไปฝึกและอบรมที่สถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชนจนครบยี่สิบสี่ปีบริบูรณ์แล้วให้ส่งตัวจำเลยไปจำคุกไว้ในเรือนจำ 5 ปี เป็นกรณีที่ศาลชั้นต้นแผนกคดีเยาวชนและครอบครัวใช้วิธีการสำหรับเด็กและเยาวชนรวมกับการลงโทษจำคุกทางอาญาต้องถือว่าศาลชั้นต้นมิได้พิพากษาให้ลงโทษจำคุกจำเลยเกิน 5 ปี ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289(4) ประกอบมาตรา 83และมีความผิดในฐานพาอาวุธปืนฯ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 371 อีกบทหนึ่ง แต่เป็นกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบทลงโทษตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ มาตรา 8 ทวิ วรรคสอง,72 ทวิ วรรคสอง อันเป็นบทหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 90 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นจึงเป็นการแก้เฉพาะบทมิได้พิพากษาแก้โทษด้วย จึงเป็นการแก้ไขเล็กน้อย และให้ลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกิน 5 ปี จึงห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 218 วรรคหนึ่ง ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ. 2534มาตรา 124
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5377/2543
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบวกโทษคดีเก่ากับคดีใหม่ต้องกระทำภายในระยะเวลารอการลงโทษ หากพ้นระยะเวลาแล้วไม่สามารถบวกโทษได้
ตามบทบัญญัติ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 58 วรรคหนึ่งจะเห็นได้ว่าโทษที่รอไว้ในคดีก่อนอันจะนำมาบวกกับโทษในคดีหลังนั้น ความผิดในคดีหลังจะต้องกระทำภายในระยะเวลาระหว่างรอการลงโทษตามที่คดีก่อนกำหนดไว้
คดีก่อนศาลชั้นต้นพิพากษาเมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม 2542 ให้จำคุกและปรับจำเลยโดยโทษจำคุกให้รอไว้มีกำหนด 2 ปี ช่วงระยะเวลารอการลงโทษคือนับแต่วันที่ 29 กรกฎาคม 2542 ซึ่งเป็นวันพิพากษาเป็นต้นไป มีกำหนด 2 ปี แต่คดีนี้จำเลยกระทำผิดเมื่อวันที่ 22 มิถุนายน 2542 ก่อนที่ศาลชั้นต้นจะพิพากษาคดีก่อน การกระทำความผิดของจำเลยคดีหลังนี้ จึงมิใช่กระทำภายในเวลาที่ศาลรอการลงโทษตามความใน ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 58 วรรคหนึ่ง จะนำโทษในคดีก่อนที่รอการลงโทษมาบวกเข้ากับคดีนี้ไม่ได้
คดีก่อนศาลชั้นต้นพิพากษาเมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม 2542 ให้จำคุกและปรับจำเลยโดยโทษจำคุกให้รอไว้มีกำหนด 2 ปี ช่วงระยะเวลารอการลงโทษคือนับแต่วันที่ 29 กรกฎาคม 2542 ซึ่งเป็นวันพิพากษาเป็นต้นไป มีกำหนด 2 ปี แต่คดีนี้จำเลยกระทำผิดเมื่อวันที่ 22 มิถุนายน 2542 ก่อนที่ศาลชั้นต้นจะพิพากษาคดีก่อน การกระทำความผิดของจำเลยคดีหลังนี้ จึงมิใช่กระทำภายในเวลาที่ศาลรอการลงโทษตามความใน ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 58 วรรคหนึ่ง จะนำโทษในคดีก่อนที่รอการลงโทษมาบวกเข้ากับคดีนี้ไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5100/2543
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพกพาอาวุธร้ายแรงเข้าศาลฯ ถือเป็นการละเมิดอำนาจศาลและไม่เคารพกฎหมาย ศาลฎีกายืนโทษจำคุก
อาคารที่ทำการศาลยุติธรรมเป็นสถานที่อำนวยความยุติธรรม ให้แก่ประชาชนผู้มีอรรถคดี บุคคลผู้มีอรรถคดีต้องมีความมั่นใจ และมีความอบอุ่นในความปลอดภัยจากภยันตรายทั้งปวง การที่ ผู้ถูกกล่าวหาพกพาอาวุธปืนซึ่งเป็นอาวุธร้ายแรงดังกล่าวเข้าไปใน บริเวณที่ทำการศาล แสดงถึงความไม่เคารพยำเกรงต่อกฎหมาย ถือได้ว่าเป็นความผิดร้ายแรง ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษาลงโทษ จำคุกผู้ถูกกล่าวหา 2 เดือนและไม่รอการลงโทษเหมาะสมแก่ พฤติการณ์แห่งรูปคดีและเป็นคุณแก่จำเลยมากแล้ว ไม่มีเหตุ ที่ศาลฎีกาจะเปลี่ยนแปลงแก้ไข
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3558/2543
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรวมโทษจำคุกหลายคดี ต้องพิจารณาความเกี่ยวพันของการกระทำผิด หากแต่ละคดีมีวันเวลา สถานที่ และพยานหลักฐานต่างกัน ไม่สามารถรวมโทษได้
การรวมโทษของจำเลยทุกคดีแล้วโทษจำคุกทั้งสิ้นต้องไม่เกิน20 ปีตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91(2) นั้น จะต้องปรากฏว่าการกระทำผิดของจำเลยทุกคดีมีลักษณะเกี่ยวพันกันจนอาจจะฟ้องเป็นคดีเดียวกันได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 160 วรรคหนึ่ง หรือรวมการพิจารณาพิพากษาเข้าด้วยกันได้ เมื่อปรากฏว่าคดีทั้งสามคดีที่จำเลยขอให้รวมโทษดังกล่าวเป็นคดีที่มีวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุต่างกันอยู่ในเขตอำนาจศาลต่างกัน และพยานหลักฐานก็เป็นคนละชุดกัน การกระทำผิดของจำเลยทั้งสามคดีจึงไม่ได้เกี่ยวพันกันจนอาจจะฟ้องเป็นคดีเดียวกันหรือรวมพิจารณาพิพากษาเข้าด้วยกันได้ แต่เป็นคดีที่มีคำฟ้องและคำพิพากษาต่างสำนวนต่างหากออกไป กรณีไม่ตกอยู่ในบังคับของมาตรา 91(2) แห่งประมวลกฎหมายอาญาจึงไม่อาจรวมโทษของจำเลยทั้งสามคดีดังกล่าวเข้าด้วยกันแล้วคงลงโทษจำคุกจำเลยทั้งสิ้นไม่เกิน 20 ปี
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3055/2543
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การจำกัดสิทธิฎีกาในคดีจำคุกไม่เกิน 5 ปี และการบวกโทษจำคุกที่รอการลงโทษ
ศาลชั้นต้นลงโทษจำเลยจำคุก 5 ปี แม้จะนำโทษจำคุก 6 เดือน ที่รอการลงโทษไว้ในคดีอื่นมาบวกเข้ากับโทษในคดีนี้ เป็นจำคุก 5 ปี6 เดือน ก็เป็นกรณีที่คดีนี้ศาลชั้นต้นลงโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยจึงต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคหนึ่ง