พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,178 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 857/2511 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อตกลงที่รับกันต่อหน้าศาลมีผลผูกพัน ไม่ต้องสืบพยานเพิ่มเติม หากข้อเท็จจริงเพียงพอชี้ขาดคดี
ข้อเท็จจริงใดซึ่งคู่ความรับกันและศาลจดไว้แล้ว คู่ความไม่ต้องพิสูจน์ข้อเท็จจริงนั้นอีก
เมื่อข้อเท็จจริงที่รับกันเพียงพอแก่การวินิจฉัยชี้ขาดคดีแล้ว ศาลย่อมมีอำนาจงดสืบพยาน และพิพากษาคดีไปโดยไม่จำต้องสืบพยานหลักฐานอื่นใดอีก
คู่ความท้ากันสืบพยานเพียงประเด็นข้อเดียว ส่วนประเด็นข้ออื่นไม่ติดใจว่ากล่าวย่อมถือว่าสละข้อต่อสู้อื่น และไม่มีประเด็นข้อพิพาทที่ศาลจะต้องวินิจฉัยนอกเหนือไปจากที่ท้ากัน
เมื่อข้อเท็จจริงที่รับกันเพียงพอแก่การวินิจฉัยชี้ขาดคดีแล้ว ศาลย่อมมีอำนาจงดสืบพยาน และพิพากษาคดีไปโดยไม่จำต้องสืบพยานหลักฐานอื่นใดอีก
คู่ความท้ากันสืบพยานเพียงประเด็นข้อเดียว ส่วนประเด็นข้ออื่นไม่ติดใจว่ากล่าวย่อมถือว่าสละข้อต่อสู้อื่น และไม่มีประเด็นข้อพิพาทที่ศาลจะต้องวินิจฉัยนอกเหนือไปจากที่ท้ากัน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 857/2511 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อตกลงที่รับกันต่อหน้าศาลมีผลผูกพัน ไม่ต้องพิสูจน์ซ้ำ ศาลงดสืบพยานได้หากรับกันเพียงพอ
ข้อเท็จจริงใดซึ่งคู่ความรับกันและศาลจดไว้แล้ว คู่ความไม่ต้องพิสูจน์ข้อเท็จจริงนั้นอีก
เมื่อข้อเท็จจริงที่รับกันเพียงพอแก่การวินิจฉัยชี้ขาดคดีแล้ว ศาลย่อมมีอำนาจงดสืบพยาน และพิพากษาคดีไปโดยไม่จำต้องสืบพยานหลักฐานอื่นใดอีก
คู่ความท้ากันสืบพยานเพียงประเด็นข้อเดียว ส่วนประเด็นข้ออื่นไม่ติดใจว่ากล่าวย่อมถือว่าสละข้อต่อสู้อื่น และไม่มีประเด็นข้อพิพาทที่ศาลจะต้องวินิจฉัยนอกเหนือไปจากที่ท้ากัน
เมื่อข้อเท็จจริงที่รับกันเพียงพอแก่การวินิจฉัยชี้ขาดคดีแล้ว ศาลย่อมมีอำนาจงดสืบพยาน และพิพากษาคดีไปโดยไม่จำต้องสืบพยานหลักฐานอื่นใดอีก
คู่ความท้ากันสืบพยานเพียงประเด็นข้อเดียว ส่วนประเด็นข้ออื่นไม่ติดใจว่ากล่าวย่อมถือว่าสละข้อต่อสู้อื่น และไม่มีประเด็นข้อพิพาทที่ศาลจะต้องวินิจฉัยนอกเหนือไปจากที่ท้ากัน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 857/2511
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อตกลงรับกันต่อหน้าศาลมีผลผูกพัน ไม่ต้องสืบพยานเพิ่มเติม หากข้อเท็จจริงเพียงพอแก่การวินิจฉัย
ข้อเท็จจริงใดซึ่งคู่ความรับกันและศาลจดไว้แล้ว. คู่ความไม่ต้องพิสูจน์ข้อเท็จจริงนั้นอีก.
เมื่อข้อเท็จจริงที่รับกันเพียงพอแก่การวินิจฉัยชี้ขาดคดีแล้ว. ศาลย่อมมีอำนาจงดสืบพยาน และพิพากษาคดีไปโดยไม่จำต้องสืบพยานหลักฐานอื่นใดอีก.
คู่ความท้ากันสืบพยานเพียงประเด็นข้อเดียว ส่วนประเด็นข้ออื่นไม่ติดใจว่ากล่าวย่อมถือว่าสละข้อต่อสู้อื่น. และไม่มีประเด็นข้อพิพาทที่ศาลจะต้องวินิจฉัยนอกเหนือไปจากที่ท้ากัน.
เมื่อข้อเท็จจริงที่รับกันเพียงพอแก่การวินิจฉัยชี้ขาดคดีแล้ว. ศาลย่อมมีอำนาจงดสืบพยาน และพิพากษาคดีไปโดยไม่จำต้องสืบพยานหลักฐานอื่นใดอีก.
คู่ความท้ากันสืบพยานเพียงประเด็นข้อเดียว ส่วนประเด็นข้ออื่นไม่ติดใจว่ากล่าวย่อมถือว่าสละข้อต่อสู้อื่น. และไม่มีประเด็นข้อพิพาทที่ศาลจะต้องวินิจฉัยนอกเหนือไปจากที่ท้ากัน.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 670/2511
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อตกลงทำสัญญาเช่าซื้อระบุการดำเนินคดีเฉพาะศาลแพ่ง ไม่ตัดสิทธิการดำเนินคดีอาญา
ข้อความในสัญญาเช่าซื้อมีว่า "คู่สัญญาทั้งสองฝ่ายตกลงกันว่า หากมีข้อพิพาทใด ๆ เกิดขึ้นเกี่ยวกับสัญญานี้ ให้ดำเนินคดีที่ศาลแพ่ง จังหวัดพระนคร" หมายความว่าคู่สัญญามีความมุ่งหมายเป็นข้อตกลงเฉพาะเรื่องที่ว่า หากข้อพิพาทเกิดขึ้นเกี่ยวกับเรื่องการเช่าซื้อตามสัญญาเป็นเรื่องในทางแพ่งแล้ว ก็ให้เสนอข้อพิพาทนั้นต่อศาลแพ่งเท่านั้น ไม่ได้หมายถึงว่าคู่สัญญาได้ยอมสละสิทธิในการดำเนินคดีอาญาต่อกัน จึงไม่ตัดสิทธิผู้เสียหายที่จะดำเนินคดีในทางอาญากับจำเลย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2005/2511 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การจดทะเบียนสิทธิในที่ดินสำคัญกว่าข้อตกลงปากเปล่า ผู้รับจำนองยึดทรัพย์ได้แม้มีข้อตกลงเรื่องถนน
ที่ดินโฉนดที่ 12135 เดิมเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินโฉนดที่ 1402 ก.แบ่งแยกขายที่ดินให้จำเลยไปตามโฉนดที่ 12135 โดยรังวัดแบ่งแยกส่วนที่จะตัดเป็นถนนสาธารณะ ให้จำเลยไปด้วย ดังนี้ ข้อที่ ก.กับจำเลยตกลงกันว่าจะรังวัดแบ่งแยกที่พิพาทให้เป็นถนนสาธารณะในภายหลังนั้น เมื่อมิได้จดทะเบียนสิทธิ จะยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้โจทก์ผู้รับจำนองจากจำเลยโดยที่โจทก์ได้สิทธิมาโดยเสียค่าตอบแทนและโดยสุจริตหาได้ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2005/2511 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การจดทะเบียนสิทธิในที่ดินสำคัญกว่าข้อตกลงปากเปล่า ผู้รับจำนองโดยสุจริตมีสิทธิเหนือทรัพย์สิน
ที่ดินโฉนดที่ 12135 เดิมเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินโฉนดที่ 1402 ก.แบ่งแยกขายที่ดินให้จำเลยไปตามโฉนดที่ 12135 โดยรังวัดแบ่งแยกส่วนที่จะตัดเป็นถนนสาธารณะ ให้จำเลยไปด้วย ดังนี้ ข้อที่ ก.กับจำเลยตกลงกันว่าจะรังวัดแบ่งแยกที่พิพาทให้เป็นถนนสาธารณะในภายหลังนั้น เมื่อมิได้จดทะเบียนสิทธิ จะยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้โจทก์ผู้รับจำนองจากจำเลยโดยที่โจทก์ได้สิทธิมาโดยเสียค่าตอบแทนและโดยสุจริตหาได้ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1570/2511 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การกำหนดประเด็นข้อพิพาทนอกฟ้องในคดีอาญา ศาลไม่ผูกพันตามข้อตกลง
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามิได้มีบทบัญญัติให้สิทธิแก่คู่ความในอันที่จะตกลงกันหรือที่เรียกว่าท้ากัน ขอให้ศาลวินิจฉัยประเด็นข้อหนึ่งข้อใดโดยเฉพาะแล้วให้ศาลพิพากษาชี้ขาดไปตามประเด็นข้อที่ตกลงหรือท้ากันนั้นได้ และในการนี้จะนำประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 138,182 ที่บัญญัติเกี่ยวกับการตกลงหรือท้ากันในคดีแพ่งมาใช้กับคดีอาญาโดยอนุโลม ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 ก็ไม่ได้ เพราะประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 บัญญัติบังคับห้ามมิให้ศาลพิพากษาหรือสั่งเกินคำขอหรือที่มิได้กล่าวในฟ้อง
โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยได้กระทำผิดฐานเก็บหาของป่าหวงห้ามในป่าโดยไม่ได้รับอนุญาตและเสียค่าภาคหลวงจำเลยมิได้ให้การรับสารภาพในข้อหานี้แต่รับสารภาพในข้ออื่นที่โจทก์มิได้ฟ้อง เมื่อโจทก์ไม่สืบพยาน.ข้อเท็จจริงตามที่โจทก์ฟ้องจึงฟังไม่ได้
โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยได้กระทำผิดฐานเก็บหาของป่าหวงห้ามในป่าโดยไม่ได้รับอนุญาตและเสียค่าภาคหลวงจำเลยมิได้ให้การรับสารภาพในข้อหานี้แต่รับสารภาพในข้ออื่นที่โจทก์มิได้ฟ้อง เมื่อโจทก์ไม่สืบพยาน.ข้อเท็จจริงตามที่โจทก์ฟ้องจึงฟังไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1392/2511 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเปลี่ยนแปลงวัตถุแห่งสัญญาเช่าซื้อ: สัญญาใหม่ย่อมบังคับใช้ตามข้อตกลง
ถ้าฟังข้อเท็จจริงได้ว่าจำเลยเช่าซื้อเครื่องยนต์ดิสเตอร์กับเครื่องสีข้าวเบอร์ 2 จากโจทก์โดยทำหนังสือสัญญาไว้และต่อมาจำเลยเอาเครื่องยนต์กับเครื่องสีข้าวดังกล่าวมาเปลี่ยนเอาเครื่องยนต์รัสตันกับเครื่องสีข้าวครึ่งท่อนไปแทน โดยจำเลยยอมให้โจทก์บันทึกการแลกเปลี่ยนนี้ไว้ในสัญญาเดิม ดังนี้ สัญญาฉบับนี้ก็คือสัญญาเช่าซื้อเครื่องยนต์รัสตันและเครื่องสีข้าวครึ่งท่อนนั่นเอง ถ้าจำเลยผิดสัญญาโจทก์ย่อมมีสิทธิเรียกเครื่องยนต์รัสตันกับเครื่องสีข้าวครึ่งท่อนคืนตามสัญญาฉบับนี้ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1121/2511 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การยอมรับข้อเท็จจริงโดยการท้าพิสูจน์และการงดสืบพยานเมื่อผลการพิสูจน์เป็นไปตามที่ตกลง
แม้จะเป็นฎีกาคำสั่งระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้นที่ให้งดสืบพยาน และจำเลยมิได้โต้แย้งไว้ แต่โดยที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งและพิพากษาในวันเดียวกัน ไม่มีโอกาสที่จำเลยจะโต้แย้งได้ก่อน จำเลยจึงมีสิทธิฎีกาได้
ถ้ามีปัญหาข้อใดในคดี ไม่ว่าจะเป็นปัญหาข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมาย หากคู่ความฝ่ายหนึ่งยกขึ้นอ้าง และอีกฝ่ายหนึ่งไม่รับ ย่อมเกิดเป็นประเด็นข้อพิพาท และคู่ความย่อมมีสิทธินำพยานเข้าสืบในข้อเท็จจริงตามประเด็นข้อพิพาทนั้นได้ ตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 183,184,185และ 85 แต่ถ้าปัญหาข้อใดที่คู่ความฝ่ายหนึ่งยกขึ้นอ้าง และอีกฝ่ายหนึ่งรับแล้ว ย่อมไม่เกิดเป็นประเด็นข้อพิพาท เพราะเป็นอันฟังได้ตามที่รับกันนั้นโดยไม่ต้องสืบพยานหลักฐานใดๆ ในปัญหาข้อนั้นอีก ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 84
การที่คู่ความท้ากันในคดี ถือได้ว่าเป็นการยอมรับข้อเท็จจริงที่อีกฝ่ายหนึ่งอ้างตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 84 นั้นเอง แต่มีเงื่อนไขว่าต้องมีการดำเนินกระบวนพิจารณาอย่างใดอย่างหนึ่งก่อน ถ้าผลแห่งการดำเนินกระบวนพิจารณานั้นสมความประสงค์ของคู่ความฝ่ายใดตามที่ท้ากัน อีกฝ่ายหนึ่งก็ยอมรับตามข้ออ้างของฝ่ายที่สมประสงค์นั้นทั้งหมด
คู่ความท้ากันให้ผู้เชี่ยวชาญตรวจลายมือชื่อผู้ค้ำประกันในช่องผู้ค้ำประกันในสัญญาหมาย จ.2 เปรียบเทียบกับลายมือชื่อจำเลยที่ 2 ในที่ต่างๆ หากผู้เชี่ยวชาญพิสูจน์ว่าลายมือชื่อในช่องผู้ค้ำประกันในสัญญาหมาย จ.2น่าเชื่อว่าเป็นลายมือชื่อของจำเลยที่ 2 จำเลยทั้ง 4 คนยอมแพ้ ถ้าไม่ใช่ลายมือชื่อของจำเลยที่ 2 โจทก์ยอมแพ้ ผลจึงเป็นดังที่กล่าวข้างต้น กล่าวคือ โจทก์จำเลยต่างจะยอมรับข้อเท็จจริงที่อีกฝ่ายหนึ่งอ้าง ถ้าผลการตรวจพิสูจน์ลายมือชื่อของผู้เชี่ยวชาญอันเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาอย่างหนึ่งสมความประสงค์ของฝ่ายใดฉะนั้น เมื่อผู้เชี่ยวชาญได้ตรวจพิสูจน์แล้วและมีความเห็นว่า ลายมือชื่อผู้ค้ำประกันในเอกสารหมาย จ.2 กับลายมือชื่อจำเลยที่ 2 ในใบแต่งทนาย ใบรับหมายและตัวอย่างที่เขียนต่อหน้าศาลน่าจะเป็นลายมือชื่อของบุคคลคนเดียวกัน ซึ่งหมายความว่า ลายมือชื่อผู้ค้ำประกันในเอกสารหมาย จ.2น่าจะเป็นลายมือชื่อจำเลยที่ 2 นั้นเอง จึงเป็นการสมความประสงค์ของโจทก์และเมื่อศาลชั้นต้นเห็นว่าตรงตามคำท้าแล้ว ก็มีผลตามความเห็นนั้นว่า จำเลยยอมรับตามข้ออ้างของโจทก์ทั้งหมดและยอมแพ้คดี คู่ความจึงไม่มีภาระการพิสูจน์ตามข้ออ้างนั้นอีก เมื่อเป็นดังนี้ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้งดสืบพยานของทั้งสองฝ่าย จึงไม่ขัดต่อบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งอย่างใด
ข้อที่ฎีกาว่า ผลการตรวจพิสูจน์ของผู้เชี่ยวชาญไม่ตรงตามคำท้าในรายงานกระบวนพิจารณาซึ่งจะแปลความหมายแห่งถ้อยคำในรายงานกระบวนพิจารณา จึงเป็นปัญหาข้อกฎหมาย
ผู้เชี่ยวชาญจะเป็นพยานหลักฐานในคดีได้ก็ด้วยการแสดงความเห็นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 130 จะยืนยันข้อเท็จจริงไม่ได้ เพราะไม่ได้เห็น ได้ยินหรือทราบข้อความเกี่ยวกับเรื่องที่เป็นพยานนั้นด้วยตนเองโดยตรง
คู่ความท้ากันในรายงานกระบวนพิจารณาว่า หากผู้เชี่ยวชาญตรวจพิสูจน์ว่าลายมือชื่อของจำเลยที่ 2 ในช่องผู้ค้ำประกันในสัญญาหมาย จ.2 น่าเชื่อว่าเป็นลายมือชื่อของจำเลยที่ 2 แล้ว จำเลยทั้งสี่คนยอมแพ้คดี แต่ถ้าไม่ใช่โจทก์ยอมแพ้คดี การท้ากันในคดีนี้จึงเห็นได้อยู่ในตัวว่าเป็นการท้ากันให้ผู้เชี่ยวชาญแสดงความเห็นหาใช่ให้ผู้เชี่ยวชาญยืนยันข้อเท็จจริงไม่ ฉะนั้น แม้ผู้เชี่ยวชาญจะแสดงเหตุผลในการแสดงความเห็นอย่างใดก็ตามแต่ในที่สุดเห็นว่าลายมือชื่อในช่องผู้ค้ำประกันในเอกสารหมาย จ.2 น่าจะเป็นลายมือชื่อของจำเลยที่ 2 แล้วก็ย่อมเป็นการแสดงความเห็นที่สมประสงค์ของโจทก์ตรงตามคำท้าจำเลยจึงต้องแพ้คดี
ถ้ามีปัญหาข้อใดในคดี ไม่ว่าจะเป็นปัญหาข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมาย หากคู่ความฝ่ายหนึ่งยกขึ้นอ้าง และอีกฝ่ายหนึ่งไม่รับ ย่อมเกิดเป็นประเด็นข้อพิพาท และคู่ความย่อมมีสิทธินำพยานเข้าสืบในข้อเท็จจริงตามประเด็นข้อพิพาทนั้นได้ ตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 183,184,185และ 85 แต่ถ้าปัญหาข้อใดที่คู่ความฝ่ายหนึ่งยกขึ้นอ้าง และอีกฝ่ายหนึ่งรับแล้ว ย่อมไม่เกิดเป็นประเด็นข้อพิพาท เพราะเป็นอันฟังได้ตามที่รับกันนั้นโดยไม่ต้องสืบพยานหลักฐานใดๆ ในปัญหาข้อนั้นอีก ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 84
การที่คู่ความท้ากันในคดี ถือได้ว่าเป็นการยอมรับข้อเท็จจริงที่อีกฝ่ายหนึ่งอ้างตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 84 นั้นเอง แต่มีเงื่อนไขว่าต้องมีการดำเนินกระบวนพิจารณาอย่างใดอย่างหนึ่งก่อน ถ้าผลแห่งการดำเนินกระบวนพิจารณานั้นสมความประสงค์ของคู่ความฝ่ายใดตามที่ท้ากัน อีกฝ่ายหนึ่งก็ยอมรับตามข้ออ้างของฝ่ายที่สมประสงค์นั้นทั้งหมด
คู่ความท้ากันให้ผู้เชี่ยวชาญตรวจลายมือชื่อผู้ค้ำประกันในช่องผู้ค้ำประกันในสัญญาหมาย จ.2 เปรียบเทียบกับลายมือชื่อจำเลยที่ 2 ในที่ต่างๆ หากผู้เชี่ยวชาญพิสูจน์ว่าลายมือชื่อในช่องผู้ค้ำประกันในสัญญาหมาย จ.2น่าเชื่อว่าเป็นลายมือชื่อของจำเลยที่ 2 จำเลยทั้ง 4 คนยอมแพ้ ถ้าไม่ใช่ลายมือชื่อของจำเลยที่ 2 โจทก์ยอมแพ้ ผลจึงเป็นดังที่กล่าวข้างต้น กล่าวคือ โจทก์จำเลยต่างจะยอมรับข้อเท็จจริงที่อีกฝ่ายหนึ่งอ้าง ถ้าผลการตรวจพิสูจน์ลายมือชื่อของผู้เชี่ยวชาญอันเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาอย่างหนึ่งสมความประสงค์ของฝ่ายใดฉะนั้น เมื่อผู้เชี่ยวชาญได้ตรวจพิสูจน์แล้วและมีความเห็นว่า ลายมือชื่อผู้ค้ำประกันในเอกสารหมาย จ.2 กับลายมือชื่อจำเลยที่ 2 ในใบแต่งทนาย ใบรับหมายและตัวอย่างที่เขียนต่อหน้าศาลน่าจะเป็นลายมือชื่อของบุคคลคนเดียวกัน ซึ่งหมายความว่า ลายมือชื่อผู้ค้ำประกันในเอกสารหมาย จ.2น่าจะเป็นลายมือชื่อจำเลยที่ 2 นั้นเอง จึงเป็นการสมความประสงค์ของโจทก์และเมื่อศาลชั้นต้นเห็นว่าตรงตามคำท้าแล้ว ก็มีผลตามความเห็นนั้นว่า จำเลยยอมรับตามข้ออ้างของโจทก์ทั้งหมดและยอมแพ้คดี คู่ความจึงไม่มีภาระการพิสูจน์ตามข้ออ้างนั้นอีก เมื่อเป็นดังนี้ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้งดสืบพยานของทั้งสองฝ่าย จึงไม่ขัดต่อบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งอย่างใด
ข้อที่ฎีกาว่า ผลการตรวจพิสูจน์ของผู้เชี่ยวชาญไม่ตรงตามคำท้าในรายงานกระบวนพิจารณาซึ่งจะแปลความหมายแห่งถ้อยคำในรายงานกระบวนพิจารณา จึงเป็นปัญหาข้อกฎหมาย
ผู้เชี่ยวชาญจะเป็นพยานหลักฐานในคดีได้ก็ด้วยการแสดงความเห็นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 130 จะยืนยันข้อเท็จจริงไม่ได้ เพราะไม่ได้เห็น ได้ยินหรือทราบข้อความเกี่ยวกับเรื่องที่เป็นพยานนั้นด้วยตนเองโดยตรง
คู่ความท้ากันในรายงานกระบวนพิจารณาว่า หากผู้เชี่ยวชาญตรวจพิสูจน์ว่าลายมือชื่อของจำเลยที่ 2 ในช่องผู้ค้ำประกันในสัญญาหมาย จ.2 น่าเชื่อว่าเป็นลายมือชื่อของจำเลยที่ 2 แล้ว จำเลยทั้งสี่คนยอมแพ้คดี แต่ถ้าไม่ใช่โจทก์ยอมแพ้คดี การท้ากันในคดีนี้จึงเห็นได้อยู่ในตัวว่าเป็นการท้ากันให้ผู้เชี่ยวชาญแสดงความเห็นหาใช่ให้ผู้เชี่ยวชาญยืนยันข้อเท็จจริงไม่ ฉะนั้น แม้ผู้เชี่ยวชาญจะแสดงเหตุผลในการแสดงความเห็นอย่างใดก็ตามแต่ในที่สุดเห็นว่าลายมือชื่อในช่องผู้ค้ำประกันในเอกสารหมาย จ.2 น่าจะเป็นลายมือชื่อของจำเลยที่ 2 แล้วก็ย่อมเป็นการแสดงความเห็นที่สมประสงค์ของโจทก์ตรงตามคำท้าจำเลยจึงต้องแพ้คดี
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1075/2511 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เช็คเพื่อประกันค่าวัสดุ การขึ้นเงินก่อนแลกเงินสดไม่ถือเป็นความผิด
จำเลยซื้อเชื่อวัสดุเครื่องก่อสร้างจากผู้เสียหาย และสั่งจ่ายเช็คให้ยึดถือไว้เป็นประกันค่าวัสดุก่อสร้างโดยตกลงว่าจะต้องนำเช็คมาแลกเงินสดเสียก่อน การที่ผู้เสียหายนำเช็คไปขึ้นเงินธนาคารและแจ้งความจำเลยโดยมิได้นำเช็คไปแลกเงินจากจำเลยตามข้อตกลง จึงเป็นการว่ากล่าวเอากับเช็คของจำเลยโดยที่ตนยังไม่มีอำนาจจะทำได้ การกระทำของจำเลยไม่เป็นผิดพระราชบัญญัติ ฯลฯ การใช้เช็ค พ.ศ. 2497