พบผลลัพธ์ทั้งหมด 2,140 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 187/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การครอบครองและพกพาอาวุธปืนเถื่อนโดยไม่ได้รับอนุญาต แม้มีเหตุผลป้องกันทรัพย์สิน ก็ไม่ถือเป็นเหตุจำเป็นเร่งด่วน
มีอาวุธปืนไม่มีทะเบียนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตและพกพาอาวุธปืนนั้นไปในทางสาธารณะ ย่อมเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายจะอ้างว่ารู้เท่าไม่ถึงการณ์ไม่ได้.
จำเลยขับรถยนต์บรรทุกใบยาไปส่งโรงบ่มโดยวางอาวุธปืนไว้ใต้เบานั่งหน้ารถ อ้างว่าเพื่อป้องกันทรัพย์สินดังนี้ กรณีถือไม่ได้ว่ามีเหตุจำเป็นและเร่งด่วนตามสมควรแก่พฤติการณ์แต่เนื่องจากจำเลยเป็นผู้ประกอบอาชีพโดยสุจริตมีหน้าที่ขับรถบรรทุกใบยาไปส่งโรงบ่มและไม่เคยต้องโทษจำคุกมาก่อน สมควรให้รอการลงโทษจำเลยไว้.(ที่มา-ส่งเสริมฯ)
จำเลยขับรถยนต์บรรทุกใบยาไปส่งโรงบ่มโดยวางอาวุธปืนไว้ใต้เบานั่งหน้ารถ อ้างว่าเพื่อป้องกันทรัพย์สินดังนี้ กรณีถือไม่ได้ว่ามีเหตุจำเป็นและเร่งด่วนตามสมควรแก่พฤติการณ์แต่เนื่องจากจำเลยเป็นผู้ประกอบอาชีพโดยสุจริตมีหน้าที่ขับรถบรรทุกใบยาไปส่งโรงบ่มและไม่เคยต้องโทษจำคุกมาก่อน สมควรให้รอการลงโทษจำเลยไว้.(ที่มา-ส่งเสริมฯ)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1809/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การสนับสนุนการกระทำความผิดฐานมีเฮโรอีนไว้ในความครอบครองเพื่อจำหน่าย ศาลลงโทษได้แม้ฟ้องว่าเป็นการกระทำความผิดร่วมกัน
การที่จำเลยที่ 2 ทำหน้าที่ปิดเปิดประตูบ้านให้จำเลยที่ 1 และที่ 4 ซึ่งพาผู้ซื้อเข้าไปดูเฮโรอีนที่บ้านและหลังจากนั้นจำเลยที่ 2 เดินออกจากบ้านพร้อมจำเลยที่ 1 ซึ่งนำเฮโรอีนไปส่งแก่ผู้ซื้อก็ดี การที่จำเลยที่ 3 เจรจาซื้อขายเฮโรอีนกับผู้ซื้อก็ดี และการที่จำเลยที่ 4 เข้าร่วมกับจำเลยที่ 3 เจรจาซื้อขายเฮโรอีนกับผู้ซื้อ เมื่อผู้ซื้อถามถึงเรื่องส่งมอบ จำเลยที่ 4 ไปตามจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นเจ้าของผู้ครอบครองเฮโรอีนมาเจรจาก็ดี เมื่อจำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 มิได้ร่วมครอบครองเฮโรอีนด้วย การกระทำของจำเลยดังกล่าวเป็นการช่วยเหลือจำเลยที่ 1 ในการขายเฮโรอีน จึงเป็นผู้สนับสนุนจำเลยที่ 1 ในการมีเฮโรอีนไว้ในความครอบครองเพื่อจำหน่าย
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานมีเฮโรอีนไว้ในความครอบครองเพื่อจำหน่าย ทางพิจารณาได้ความว่าจำเลยเป็นเพียงผู้สนับสนุนในการกระทำความผิดดังกล่าว เมื่อข้อแตกต่างมิใช่ข้อสาระสำคัญและจำเลยมิได้หลงต่อสู้ ศาลมีอำนาจลงโทษจำเลยตามข้อเท็จจริงที่ได้ความนั้นได้
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานมีเฮโรอีนไว้ในความครอบครองเพื่อจำหน่าย ทางพิจารณาได้ความว่าจำเลยเป็นเพียงผู้สนับสนุนในการกระทำความผิดดังกล่าว เมื่อข้อแตกต่างมิใช่ข้อสาระสำคัญและจำเลยมิได้หลงต่อสู้ ศาลมีอำนาจลงโทษจำเลยตามข้อเท็จจริงที่ได้ความนั้นได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1422/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การลงโทษจำเลยฐานผลิตและมีกัญชาครอบครองเพื่อจำหน่าย ศาลฎีกาวินิจฉัยให้ลงโทษทั้งสองกรรม
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยผลิตกัญชาโดยปลูกกัญชาจำนวน 32 ต้นเพื่อจำหน่ายกับมีกัญชาจำนวนดังกล่าวและกัญชาแห้งอีก 1 ถุงใหญ่และ 2 ถึงเล็กไว้ในครอบครอง ดังนี้ต้องถือว่ากัญชาแห้งดังกล่าวเป็นกัญชาอีกส่วนหนึ่งที่จำเลยมีไว้ในครอบครองซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับการปลูกกัญชา 32 ต้นแต่อย่างใด การกระทำของจำเลยในส่วนนี้เป็นความผิดอีกกรรมหรือต่างหาก.(ที่มา-ส่งเสริมฯ)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1388/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ขอบเขตการใช้มาตรา 69 วรรคสาม พ.ร.บ.ยาเสพติดฯ ไม่ขยายถึงวรรคแรก โทษการครอบครองต้องไม่สูงกว่าการจำหน่าย
ตาม พ.ร.บ. ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 69 กฎหมายกำหนดโทษไว้ตามลำดับความร้ายแรงแห่งการกระทำผิดคือถ้า ผู้ใดมียาเสพติดไว้ในครอบครองก็จะมีความผิดตามวรรคแรก ถ้า เป็นการจำหน่ายหรือมียาเสพติดไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายก็จะเป็นความผิดตามมาตรา69 วรรคสอง สำหรับความในมาตรา 69 วรรคสามซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพ.ร.บ. ยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2528 มาตรา 6 ให้ขยายไปใช้กับความผิดตามวรรคสองเท่านั้น กฎหมายมิได้บัญญัติให้ขยายไปถึงความในวรรคแรกด้วย เพราะมิฉะนั้นจะทำให้การมียาเสพติดไว้ในครอบครองเป็นความผิดที่มีโทษสูงกว่าการมียาเสพติดไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายหรือจำหน่ายไป.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1361/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การครอบครองอาวุธปืนของสมาชิก อพป. เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อย ไม่เป็นความผิดตาม พ.ร.บ.อาวุธปืนฯ
จำเลยเป็นสมาชิก อพป. มีหน้าที่รักษาความสงบเรียบร้อยในหมู่บ้าน ได้รับแจกอาวุธปืนคาร์บินและกระสุนปืนของกลาง ซึ่งเป็นของทางราชการไว้ใช้ประจำตัว เพื่อปฏิบัติหน้าที่รักษาความสงบเรียบร้อยในหมู่บ้าน จำเลยจึงไม่มีความผิดฐานมีและพาอาวุธปืน ฯ.(ที่มา-ส่งเสริม)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1335/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ขอบเขตการใช้มาตรา 69 พ.ร.บ.ยาเสพติดฯ: การตีความวรรคสามที่จำกัดเฉพาะความผิดจำหน่ายหรือครอบครองเพื่อจำหน่าย
พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 69 วรรคสาม ขยายความมาตรา 69 วรรคสอง เฉพาะความผิดฐานจำหน่ายหรือมีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายซึ่งยาเสพติดให้โทษประเภท 2 อันเป็น มอร์ฟีน ฝิ่น หรือโคคาอีนที่มีปริมาณคำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ไม่เกินหนึ่งร้อยกรัม มิได้ขยายความมาตรา 69 วรรคหนึ่งด้วย
จำเลยมีฝิ่นไว้ในครอบครองหนัก 7.7 กรัม จึงต้องวางอัตราโทษตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 69 วรรคหนึ่ง.
จำเลยมีฝิ่นไว้ในครอบครองหนัก 7.7 กรัม จึงต้องวางอัตราโทษตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 69 วรรคหนึ่ง.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1335/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ขอบเขตการบังคับใช้มาตรา 69 พ.ร.บ.ยาเสพติดฯ กรณีครอบครองฝิ่น ปริมาณน้อยกว่า 100 กรัม
พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 69 วรรคสามขยายความมาตรา 69 วรรคสอง เฉพาะความผิดฐานจำหน่ายหรือมีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายซึ่งยาเสพติดให้โทษประเภท 2 อันเป็น มอร์ฟีน ฝิ่น หรือโคคาอีนที่มีปริมาณคำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ไม่เกินหนึ่งร้อยกรัม มิได้ขยายความมาตรา 69 วรรคหนึ่งด้วย
จำเลยมีฝิ่นไว้ในครอบครองหนัก 7.7 กรัม จึงต้องวางอัตราโทษตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 69 วรรคหนึ่ง.
จำเลยมีฝิ่นไว้ในครอบครองหนัก 7.7 กรัม จึงต้องวางอัตราโทษตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 69 วรรคหนึ่ง.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1254/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การได้มาซึ่งที่ดิน: การครอบครองก่อนกฎหมาย และการปฏิบัติตามขั้นตอนการหวงห้ามที่ดินสาธารณะ
คำว่า 'ที่ดินรกร้างว่างเปล่า' ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา1304(1) ตรงกับคำว่า 'ที่ดินรกร้างว่างเปล่าอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน' ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการหวงห้ามที่ดินรกร้างว่างเปล่าอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน พ.ศ. 2478 การดำเนินการจัดหาที่ดินรกร้างว่างเปล่าอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินทำเป็นที่สาธารณะประจำตำบลและหมู่บ้านตามหนังสือของกระทรวงมหาดไทยถึงคณะกรรมการจังหวัดทุกจังหวัดนั้น จะต้องปฏิบัติตามพระราชบัญญัติดังกล่าว กล่าวคือต้องออกเป็นพระราชกฤษฎีกาและประกาศในราชกิจจานุเบกษา เมื่อไม่ปรากฏว่า ได้มีการดำเนินการตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการหวงห้ามที่ดินรกร้างว่างเปล่าอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินซึ่งมีผลบังคับอยู่ในขณะนั้นแม้จะได้มีการขึ้นทะเบียนที่พิพาทเป็นที่สาธารณะประจำหมู่บ้าน ก็ไม่มีผลให้ที่พิพาทเป็นที่สาธารณะประจำหมู่บ้านไปได้ โจทก์เข้าครอบครองที่พิพาทก่อนประกาศใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน ทางราชการได้ออกใบเหยียบย่ำให้ เมื่อประกาศใช้ประมวลกฎหมายที่ดินโจทก์ได้แจ้งการครอบครองไว้แล้ว ทั้งยังครอบครองตลอดมา ที่พิพาทจึงเป็นสิทธิของโจทก์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1206/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การครอบครองที่ดินวัด การพิสูจน์อาณาเขต และการบุกรุกโดยไม่ได้รับอนุญาต
ฟ้องโจทก์บรรยายข้อเท็จจริงแห่งข้อหาว่าจำเลยบุกรุกที่ดินของโจทก์ทางด้านทิศเหนือซึ่งอยู่ติดกับแม่น้ำโขง เนื้อที่ 150ตารางวา ทำให้โจทก์เสียหาย โดยมีแผนที่สังเขปแสดงแนวเขตที่ดินของโจทก์ส่วนที่จำเลยบุกรุกแนบมาท้ายฟ้อง ซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งของคำฟ้องด้วยและมีคำขอบังคับขอให้ขับไล่และให้ใช้ค่าเสียหาย ฟ้องโจทก์จึงเป็นฟ้องที่ได้บรรยายสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักข้อหาชัดเจนชอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 172 แล้วจึงไม่เคลือบคลุม โจทก์เป็นวัดที่ตั้งขึ้นโดยชอบด้วยกฎหมาย แม้บางครั้งจะไม่มีพระภิกษุจำพรรษาอยู่ในวัดโดยมีลักษณะเป็นวัดร้าง แต่เมื่อไม่มีการยุบเลิกวัด จึงต้องถือว่ายังคงมีฐานะเป็นวัดอยู่ ที่ดินของโจทก์ส่วนที่เป็นที่ลาดลงไปสู่แม่น้ำถูกน้ำท่วมถึงเป็นบางฤดูกาล เพราะที่ดินส่วนนี้ถูกน้ำเซาะ พัง เป็นที่ลาดต่ำลงไปเมื่อไม่ปรากฏว่ามีประชาชนเข้าใช้ที่ส่วนนี้เพื่อประโยชน์ร่วมกันที่ส่วนนี้ก็ยังเป็นที่ดินของโจทก์ หา กลาย เป็นทางน้ำหรือที่ชายตลิ่งอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินไม่.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1206/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การครอบครองที่ดินวัด การบุกรุก และการพิสูจน์อาณาเขตที่ดินตามทะเบียนวัด
ฟ้องโจทก์บรรยายข้อเท็จจริงแห่งข้อหาว่าจำเลยบุกรุกที่ดินของโจทก์ทางด้านทิศเหนือซึ่งอยู่ติดกับแม่น้ำโขง เนื้อที่150 ตารางวา ทำให้โจทก์เสียหาย โดยมีแผนที่สังเขปแสดงแนวเขตที่ดินของโจทก์ส่วนที่จำเลยบุกรุกแนบมาท้ายฟ้อง ซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งของคำฟ้องด้วยและมีคำขอบังคับขอให้ขับไล่และให้ใช้ค่าเสียหาย ฟ้องโจทก์จึงเป็นฟ้องที่ได้บรรยายสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักข้อหาชัดเจนชอบด้วย ป.ว.พ. มาตรา 172 แล้ว จึงไม่เคลือบคลุม
โจทก์เป็นวัดที่ตั้งขึ้นโดยชอบด้วยกฎหมาย แม้บางครั้งจะไม่มีพระภิกษุจำพรรษาอยู่ในวัดโดยมีลักษณะเป็นวัดร้าง แต่เมื่อไม่มีการยุบเลิกวัด จึงต้องถือว่ายังคงมีฐานะเป็นวัดอยู่
ที่ดินของโจทก์ส่วนที่เป็นที่ลาดลงไปสู่แม่น้ำถูกน้ำท่วมถึงเป็นบางฤดูกาล เพราะที่ดินส่วนนี้ถูกน้ำเซาะพังเป็นที่ลาดต่ำลงไป เมื่อไม่ปรากฏว่ามีประชาชนเข้าใช้ที่ส่วนนี้เพื่อประโยชน์ร่วมกัน ที่ส่วนนี้ก็ยังเป็นที่ดินของโจทก์ หากลายเป็นทางน้ำหรือที่ชายตลิ่งอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินไม่.(ที่มา-ส่งเสริมฯ)
โจทก์เป็นวัดที่ตั้งขึ้นโดยชอบด้วยกฎหมาย แม้บางครั้งจะไม่มีพระภิกษุจำพรรษาอยู่ในวัดโดยมีลักษณะเป็นวัดร้าง แต่เมื่อไม่มีการยุบเลิกวัด จึงต้องถือว่ายังคงมีฐานะเป็นวัดอยู่
ที่ดินของโจทก์ส่วนที่เป็นที่ลาดลงไปสู่แม่น้ำถูกน้ำท่วมถึงเป็นบางฤดูกาล เพราะที่ดินส่วนนี้ถูกน้ำเซาะพังเป็นที่ลาดต่ำลงไป เมื่อไม่ปรากฏว่ามีประชาชนเข้าใช้ที่ส่วนนี้เพื่อประโยชน์ร่วมกัน ที่ส่วนนี้ก็ยังเป็นที่ดินของโจทก์ หากลายเป็นทางน้ำหรือที่ชายตลิ่งอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินไม่.(ที่มา-ส่งเสริมฯ)