พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,273 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1132/2496
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การคุ้มครองผู้เช่าตาม พ.ร.บ.ควบคุมค่าเช่าฯ จำเลยต้องพิสูจน์ว่าเข้าข่ายได้รับการคุ้มครอง
โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากห้องเช่า จำเลยต่อสู้ว่าจำเลยเช่าอยู่อาศัย ย่อมได้รับความคุ้มครองตาม พระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่า ฯลฯ
คู่ความแถลงรับข้อเท็จจริงกันว่า จำเลยได้เข้าอยู่ในห้องพิพาทโดยมีทะเบียนสำมะโนครัว จำเลยได้ทำการค้าขายอยู่ในห้องพิพาทตั้งแต่ พ.ศ.2489 ได้เสียภาษีร้านค้าและภาษีป้าย ก่อนนั้นจำเลยไม่ได้เสียภาษีร้านค้าและไม่มีป้าย จำเลยไม่มีที่อยู่อาศัยแห่งอื่นอีก นอกจากห้องพิพาท ของในร้านของจำเลยมีผ้า เครื่องสำอางค์และของเบ็ดเตล็ดต่างๆ ราคารวมทั้งสิ้นประมาณสองหมื่นบาท
คู่ความต่างไม่สืบพยาน ดังนี้ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าจำเลยอ้างความคุ้มครองตาม พระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่าฯอันเป็นกฎหมายพิเศษ จำเลยจึงมีหน้าที่นำสืบว่า ตนมีเหตุอันควรได้รับความคุ้มครองตาม พระราชบัญญัตินั้น เพราะข้อเท็จจริงที่รับกันดังกล่าว ยังไม่ได้ว่าจำเลยได้รับความคุ้มครองจึงต้องพิพากษาขับไล่จำเลยออกจากห้องพิพาท
คู่ความแถลงรับข้อเท็จจริงกันว่า จำเลยได้เข้าอยู่ในห้องพิพาทโดยมีทะเบียนสำมะโนครัว จำเลยได้ทำการค้าขายอยู่ในห้องพิพาทตั้งแต่ พ.ศ.2489 ได้เสียภาษีร้านค้าและภาษีป้าย ก่อนนั้นจำเลยไม่ได้เสียภาษีร้านค้าและไม่มีป้าย จำเลยไม่มีที่อยู่อาศัยแห่งอื่นอีก นอกจากห้องพิพาท ของในร้านของจำเลยมีผ้า เครื่องสำอางค์และของเบ็ดเตล็ดต่างๆ ราคารวมทั้งสิ้นประมาณสองหมื่นบาท
คู่ความต่างไม่สืบพยาน ดังนี้ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าจำเลยอ้างความคุ้มครองตาม พระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่าฯอันเป็นกฎหมายพิเศษ จำเลยจึงมีหน้าที่นำสืบว่า ตนมีเหตุอันควรได้รับความคุ้มครองตาม พระราชบัญญัตินั้น เพราะข้อเท็จจริงที่รับกันดังกล่าว ยังไม่ได้ว่าจำเลยได้รับความคุ้มครองจึงต้องพิพากษาขับไล่จำเลยออกจากห้องพิพาท
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1091/2496 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจสอบสวนของตำรวจ: โจทก์ต้องพิสูจน์ขอบเขตอำนาจหน้าที่ของพนักงานสอบสวนที่ทำการสอบสวนคดีอาญา
ประกาศกระทรวงมหาดไทยกำหนดเขตอำนาจการรับผิดชอบและเขตพื้นที่การปกครองของหน่วยราชการกรม ตำรวจลงวันที่ 14 สิงหาคม 2493 กำหนดให้กองบังคับการกองตรวจมีเขตอำนาจรับผิดชอบในการปฏิบัติหน้าที่ตาม ป.ม.วิ.อาญาตลอดเขตพื้นที่จังหวัดพระนครและธนบุรีนั้น มิใช่เป็นกฎหมายอันจะถือได้ว่า ทุกคนจำต้องทราบอย่าง กฎหมาย แต่เป็นข้อเท็จจริงที่จะต้องนำสืบให้ทราบ เมื่อจำเลยคัดค้านว่านายตำรวจผู้สอบสวนไม่มีอำนาจสอบสวน จึงเป็นหน้าที่โจทก์จะต้องนำสืบแสดงว่า นายตำรวจผู้สอบสวนมีอำนาจสอบสวน เมื่อไม่นำสืบก็ยังฟังไม่ได้ว่า ได้มี การสอบสวนโดยชอบด้วยวิธีพิจารณาความอาญาแล้ว จึงต้องบทห้ามมิให้อัยการฟ้องคดีตาม ป.ม.วิ.อาญามาตรา 120.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1087/2496 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาข้อเท็จจริง: การต่อสู้สมัครใจและการพิสูจน์ความตายจากเหตุใด
ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงต้องกันว่าจำเลยและผู้ตายสมัครใจต่อสู้กัน ไม่ใช่เป็นการป้องกัน ฉะนั้นการ ที่จำเลยให้วินิจฉัยว่าการกระทำของจำเลยเป็นการป้องกันหรือไม่ จึงเป็นฎีกาในข้อเท็จจริงและที่จำเลย อ้างว่าความตายของผู้ตายไม่ใช่เกิดจากการกระทำของจำเลยโดยตรง แต่ตายเพราะเหตุอื่นนั้น ก็เป็นฎีกาเถียงข้อ เท็จจริงดุจกัน เพราะศาลทั้งสองฟังแล้ว ว่าผู้ตายตายเพราะการกระทำของจำเลย./
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1000/2496 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิสูจน์สถานะ 'ผู้ค้า' เพื่อกำหนดอายุความคดีนายหน้า ตาม ป.ม.แพ่งฯ มาตรา 165(7)
ตามปกติโจทก์ทำงานประจำที่บริษัทจำกัดแห่งหนึ่ง เวลาว่างงานเคยเป็นนายหน้า ติดต่อเปิดเครดิตให้บริษัทอื่น ๆ บ้าง เคยเป็นนายหน้าในการขายแร่ให้จำเลยบ้าง ไม่ได้ความว่าเป็นอาชีพปกติหรือไม่ คงฟังได้เพียงว่าเคยปฏิบัติ ในเวลาว่างงาน ดังนี้ ยังไม่พอที่จะวินิจฉัยว่าโจทก์เป็นผู้ค้าในการดูแลกิจการของผู้อื่นหรือรับทำการงานต่าง ๆ ตาม ความหมายแห่ง ป.ม.แพ่งฯมาตรา 165 (7).
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1000/2496
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิสูจน์สถานะ 'ผู้ค้า' เพื่อประโยชน์ในการฟ้องคดีภายในอายุความ
ตามปกติโจทก์ทำงานประจำที่บริษัทจำกัดแห่งหนึ่ง เวลาว่างงานเคยเป็นนายหน้าติดต่อเปิดเครดิตให้บริษัทอื่นๆบ้าง เคยเป็นนายหน้าในการขายแร่ให้จำเลยบ้าง ไม่ได้ความว่าเป็นอาชีพปกติหรือไม่ คงฟังได้เพียงว่าเคยปฏิบัติในเวลาว่างงาน ดังนี้ ยังไม่พอที่จะวินิจฉัยว่าโจทก์เป็นผู้ค้าในการดูแลกิจการของผู้อื่นหรือรับทำการงานต่างๆ ตามความหมายแห่ง ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 165(7)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 937/2495
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเช่าเพื่อค้าไม่เป็นเคหะตาม พ.ร.บ.ควบคุมค่าเช่า ผู้เช่าต้องพิสูจน์สิทธิ
โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากห้องเช่า โดยอ้างว่าจำเลยเช่าเพื่อการค้า และได้บอกเลิกสัญญาแล้ว จำเลยรับว่าได้เช่าจากโจทก์ และโจทก์ได้บอกเลิกสัญญาแล้ว แต่จำเลยไม่ยอมออก อ้างความคุ้มครองตาม พระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่า ฯลฯ ดังนี้ จำเลยต้องมีหน้าที่นำสืบให้ได้ความว่าตนมีสิทธิได้รับการคุ้มครองตามกฎหมายพิเศษนั้น หาใช่เป็นหน้าที่ของโจทก์จะต้องนำสืบก่อนไม่
ห้องเช่าตั้งอยู่ในย่านการค้าริมถนนใหญ่ ตรงกันข้ามกับตลาดสด ผู้เช่าใช้ที่เช่าเป็นร้านค้าเครื่องเขียน ตั้งชื่อร้านว่า "สมุทรการค้า" และห้องใกล้เคียงก็เป็นร้านค้าทั้งนั้น ผู้เช่าได้อยู่อาศัยในห้องเช่าเพื่อประกอบการค้า ดังนี้ ย่อมไม่เป็นเคหะตามความหมาย แห่งพระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่าฯ
ห้องเช่าตั้งอยู่ในย่านการค้าริมถนนใหญ่ ตรงกันข้ามกับตลาดสด ผู้เช่าใช้ที่เช่าเป็นร้านค้าเครื่องเขียน ตั้งชื่อร้านว่า "สมุทรการค้า" และห้องใกล้เคียงก็เป็นร้านค้าทั้งนั้น ผู้เช่าได้อยู่อาศัยในห้องเช่าเพื่อประกอบการค้า ดังนี้ ย่อมไม่เป็นเคหะตามความหมาย แห่งพระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่าฯ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 58/2495 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การจำนองและการครอบครองที่ดิน ผู้จำนองต้องพิสูจน์การมอบที่ดินเพื่อหักล้างการครอบครองของผู้รับจำนอง
ทำกรมธรรม์จำนองที่ดินมือเปล่า มีข้อสัญญาว่าจะไถ่ภายใน 3 ปี ผู้รับจำนองยึดถอทีดินที่จำนองมานาน 6 ปี ผู้จำนองจึงมาฟ้องขอไถ่ โดยอ้างว่าที่ดินอยู่ในความครอบครองของผู้รับจำนองเพราะภายหลังการจำนอง ตนไม่สามารถส่งดอกเบี้ยได้ จึงมอบที่ดินที่จำนองให้ทำต่างดอกเบี้ย ฝ่ายผู้รับจำนองต่อสู้ว่า ผูจำนองได้ตกลงในภายหลังมอบที่ที่จำนองเป็นสิทธิแก่ตนแทนต้นเงินจำนองและดอกเบี้ย กับขอเพิ่มเงินอีกจำนวนหนึ่งและตนได้ครอบครองที่นั้น ตั้งแต่นั้นตลอดมา ดังนี้ เป็นหน้าที่ผู้จำนอง โจทก์ต้องสืบให้ได้ความจริงก่อนว่าผู้รับจำนองยึดถือครอบครองที่พิพาทเพื่อตนเองซึ่งกฎหมายรับสันนิษฐานไว้เสีย
ถ้าโจทก์ไม่นำสืบต้องหักล้างก็ไม่มีทางชนะคดีได้ (อ้างฎีกาที่ 420/2442)
ถ้าโจทก์ไม่นำสืบต้องหักล้างก็ไม่มีทางชนะคดีได้ (อ้างฎีกาที่ 420/2442)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 283/2495 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การครอบครองไม้หวงห้ามที่ยังไม่ได้แปรรูป จำเลยต้องพิสูจน์ที่มาโดยชอบด้วยกฎหมาย
จำเลยมีไม้เต็งรัง ไม้เหียง ไม้พลวง ไม้มะค่าแต้ และไม้แดง อันเป็นไม้แระเภทหวงห้าม ไม่มีรอยตราค่าภาคหลวงประทับ รวม 97896 ท่อน เป็นไม้ติดเปลือกยาว 120 เซ็นติเมตรถึง 300 เซ็นติเมตร โต-วัดโดยรอบประมาณ 20 - 30 เซ็นติเมตร ดังนี้ เป็นแต่ไม้ที่ตัดออกเป็นท่อนยังไม่ถึงขนาดเป็นไม้แปรรูป จึงเป็นหน้าที่จำเลยที่แสดงให้เห็นว่า ได้มาโดยชอบด้วยกฎหมายตามความหมายใน พ.ร.บ.ป่าไม้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 283/2495
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ไม้หวงห้ามไม่มีตราค่าภาคหลวง จำเลยต้องพิสูจน์ที่มาชอบด้วยกฎหมาย
จำเลยมีไม้เต็งรังไม้เหียงไม้พลวงไม้มะค่าแต้ และไม้แดงอันเป็นไม้ประเภทหวงห้ามไม่มีรอยตราค่าภาคหลวงประทับรวม 97896 ท่อน เป็นไม้ติดเปลือกยาว 120 เซ็นติเมตรถึง300เซ็นติเมตร โตวัดโดยรอบประมาณ 20-30 เซ็นติเมตรดังนี้เป็นแต่ไม้ที่ตัดออกเป็นท่อนยังไม่ถึงขนาดเป็นไม้แปรรูปจึงเป็นหน้าที่จำเลยที่จะแสดงให้เห็นว่า ได้มาโดยชอบด้วยกฎหมายตามความหมายใน พระราชบัญญัติป่าไม้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 276-277/2495 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ทางสาธารณะและการครอบครองที่ดิน: การพิสูจน์สภาพคลองเพื่อใช้เป็นทางสัญจร
แม่น้ำลำคลองนั้น โดยสภาพย่อมถือว่าเป็นทางซึ่งสาธารณะชนใช้สัญจรไปมา อันถือได้ว่าเป็นทางสาธารณะหรือทางหลวงตามกฎหมายเว้นแต่จะได้ความว่า แม่น้ำลำคลองนั้นตื้นเขินจนสาธารณะชนไม่อาจอยู่เป็นทางสัญจรไปมาต่อไปได้
ที่ดินของจำเลยตกอยู่ในที่ล้อมแต่ด้านหนึ่งติดคลอง ปรากฎว่าคลองนี้เวลาน้ำขึ้นเรือเดินไปมาได้ เวลาน้ไแห้งเรือเดินไม่ได้ และมีน้ำขึ้นลง และมีน้ำขึ้นลงทุกวัน ดังนี้ เมื่อจำเลยผู้มีหน้าที่นำสืบก่อน ไม่ได้สืบให้ได้ความชัดเจนว่า คลองดังกล่าวเป็นคลองตื้นเขินจนสาธารณะชนไม่อาจจะใช้เป็นทางสัญจรไปมาได้ ดังนี้ จะฟังว่า คลองนั้นไม่ใช่ทางสาธารณะไม่ได้ ฉะนั้น จึงถือไม่ได้ว่า ที่ดินจำเลยตกอยู่ในที่ล้อมตาม ป.ม.แพ่งฯมาตรา 1349
ที่ดินของจำเลยตกอยู่ในที่ล้อมแต่ด้านหนึ่งติดคลอง ปรากฎว่าคลองนี้เวลาน้ำขึ้นเรือเดินไปมาได้ เวลาน้ไแห้งเรือเดินไม่ได้ และมีน้ำขึ้นลง และมีน้ำขึ้นลงทุกวัน ดังนี้ เมื่อจำเลยผู้มีหน้าที่นำสืบก่อน ไม่ได้สืบให้ได้ความชัดเจนว่า คลองดังกล่าวเป็นคลองตื้นเขินจนสาธารณะชนไม่อาจจะใช้เป็นทางสัญจรไปมาได้ ดังนี้ จะฟังว่า คลองนั้นไม่ใช่ทางสาธารณะไม่ได้ ฉะนั้น จึงถือไม่ได้ว่า ที่ดินจำเลยตกอยู่ในที่ล้อมตาม ป.ม.แพ่งฯมาตรา 1349