คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
ฟ้องซ้ำ

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,459 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2588/2518

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องซ้ำ: ค่าเสียหายจากการทำนาไม่ได้ แม้ฟ้องครั้งแรกเรียกค่าเสียหายในอนาคตได้
ศาลพิพากษาให้จำเลยรื้อปูนซิเมนต์ออกจากคันนา และตกแต่งหัวคันนาให้เป็นสภาพเดิม ให้จำเลยเปิดช่องน้ำเข้าสู่นาโจทก์ ให้ใช้ค่าเสียหายที่ทำนาไม่ได้ 1 ปี ต่อมาโจทก์ฟ้องคดีใหม่เรียกค่าเสียหายที่ทำนาไม่ได้โดยไม่ชัดว่าจำเลยทำละเมิดขึ้นใหม่ ดังนี้ โจทก์เรียกค่าเสียหายในอนาคตในคดีก่อนได้ แต่ไม่เรียก คดีนี้จึงเป็นฟ้องซ้ำ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1996/2518

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฟ้องซ้ำในความผิดเดิมหลังมีคำพิพากษาถึงที่สุด และผลกระทบต่อผู้ร่วมกระทำผิด
คดีก่อนผู้เสียหายฟ้องจำเลยที่ 1 ในคดีนี้ในข้อหาบุกรุกความผิดต่อเสรีภาพ และ ทำให้เสียทรัพย์ ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าคดีไม่มีมูล พิพากษายกฟ้อง ต่อมาพนักงานอัยการได้นำการกระทำอันเดียวกันกับคดีก่อนมาฟ้องจำเลยทั้งสองเป็นคดีนี้อีกในข้อหาบุกรุก แม้คดีก่อนศาลอุทธรณ์จะพิพากษายืนคดีถึงที่สุดหลังจากที่พนักงานอัยการยื่นฟ้องคดีนี้ก็ตามก็ถือได้ว่าสำหรับจำเลยที่ 1 ในคดีนี้ได้มีคำพิพากษาเสร็จเด็ดขาดในความผิดที่ได้ฟ้องแล้ว สิทธิของพนักงานอัยการที่นำคดีนี้มาฟ้องจึงระงับไป
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39(4) มุ่งหมายถึงการกระทำที่ก่อให้เกิดความผิดนั้นๆ หาได้หมายถึงฐานความผิดที่ขอให้ลงโทษจำเลยไม่ (อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 1295/2509)
แม้จำเลยที่ 2 มิได้เป็นคู่ความในคดีก่อนก็ตาม แต่ก็ย่อมได้รับผลตามคำพิพากษาด้วยเพราะคำพิพากษาในคดีก่อนได้วินิจฉัยไว้ว่าการกระทำของจำเลยกับพวกไม่เป็นความผิดฐานบุกรุก ศาลจึงต้องยกฟ้องสำหรับจำเลยที่ 2 ด้วย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1896/2518

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฟ้องเรียกค่าชดใช้ซ้ำหลังประนีประนอมยอมความเรื่องส่วนขาดทุน
ผู้เป็นหุ้นส่วนฟ้องและประนีประนอมยอมความ ศาลพิพากษาตามยอมให้คนหนึ่งใช้เงินแก่อีกคนหนึ่งตามส่วนที่ขาดทุนแล้ว ผู้นั้นมาฟ้องเรียกให้ชดใช้ค่าภาษีที่ผู้เป็นหุ้นส่วนต้องเสีย แต่ยังไม่ได้คิดรวมในส่วนที่ขาดทุนนั้นอีกไม่ได้ เป็นฟ้องซ้ำ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1845/2518

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิฟ้องคดีซ้ำหลังศาลยกฟ้องเนื่องจากขาดอำนาจฟ้อง และการฟ้องภายในอายุความ
ศาลยกฟ้องคดีก่อนเพราะโจทก์ไม่ได้รับอนุญาตจากสามีให้ฟ้องคดีขับไล่จากที่ดิน ส.ค.1 แต่ไม่ตัดสิทธิที่จะฟ้องใหม่ภายในอายุความโจทก์ฟ้องใหม่ขอห้ามจำเลยเกี่ยวข้องกับที่พิพาทเดิม แต่เกิน 1 ปีนับแต่วันจำเลยแย่งครอบครอง ดังนี้โจทก์ฟ้อง 3 วันหลังจากอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ที่อนุญาตให้โจทก์ฟ้องใหม่ได้ และไม่เป็นฟ้องซ้ำ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 112/2518

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องซ้ำ: การฟ้องคดีหลังจากมีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้วในคดีเดิม
ง. ฟ้อง จ. ว่าที่ดินที่ จ. ขายฝาก ง.หลุดเป็นสิทธิแก่ง. ขอให้ขับไล่ จ. ศาลพิพากษาถึงที่สุดให้ขับไล่ จ. แล้ว จ. มาฟ้อง ง. ค. ว่าสมคบกันปลอมใบมอบอำนาจขายที่ดินแปลงเดียวกันนั้น ขอให้เพิกถอนการขายฝากดังนี้ เป็นฟ้องซ้ำ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1090/2518

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความรับผิดในละเมิดจากลักทรัพย์และการฟ้องซ้ำในคดีแพ่ง
จำเลยใช้คนลักไม้ของโจทก์ไปศาลลงโทษจำเลยแล้วไม้เป็นของกลางอยู่ที่สถานีตำรวจถูกไฟไหม้หมด จำเลยทำละเมิดตั้งแต่วันลักไม้เมื่อจำเลยพิสูจน์ไม่ได้ว่าแม้จะไม่ละเมิดก็ยังเสียหายอยู่นั่นเองจำเลยต้องรับผิด
ในคดีอาญาอัยการขอเพียงให้ศาลส่งคืนไม้ของกลางที่จำเลยใช้คนลักไปส่วนคำขอส่วนแพ่งให้ใช้ราคาในคดีอาญาที่โจทก์ฟ้องเองศาลจำหน่ายเพราะไม่เสียค่าธรรมเนียมตามคำสั่งศาลโจทก์ฟ้องคดีแพ่งใหม่เรียกราคาไม้ไม่เป็นฟ้องซ้ำ
จำเลยไม่ยื่นบัญชีพยานตามกำหนดอ้างว่าเพราะตัวจำเลยไม่แจ้งวันนัดแก่ทนายจำเลย เป็นความผิดของจำเลยเองศาลไม่รับระบุพยานชอบแล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 516/2517 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฟ้องซ้ำในกรรมเดียวกัน ศาลชอบที่จะยกฟ้องเมื่อมีคำพิพากษาลงโทษแล้ว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยดำรงชีพอยู่ด้วยรายได้ของหญิงในการค้าประเวณีสำนวนหนึ่งและในวันเดียวกันโจทก์ยังฟ้องจำเลยเกี่ยวกับการกระทำผิดอันเดียวกันเป็นอีกสำนวนหนึ่งว่าจำเลยเป็นผู้จัดการสถานการค้าประเวณีโดยมิได้ขอให้พิจารณา คดีรวมกันเห็นได้ว่าเป็นการฟ้องขอให้ลงโทษในกรรมเดียวซ้ำกัน 2 ครั้งข้อหาในอีกสำนวนหนึ่งนั้นย่อมหมายความว่าจำเลยมีรายได้จากสินจ้างซึ่งได้รับจากลูกค้าของสถานการค้าประเวณี แล้วจำเลยแบ่งรายได้นั้นให้แก่หญิงที่ค้าประเวณีแต่ข้อหาในสำนวนนี้ว่าจำเลยดำรงชีพอยู่จากรายได้ของหญิงที่ค้าประเวณีในสถานที่แห่งเดียวกัน เมื่อในคดีอีกสำนวนหนึ่งนั้นจำเลยรับสารภาพข้อเท็จจริงฟังได้ตามฟ้อง และศาลได้พิพากษาลงโทษจำเลยแล้วจึงชอบที่ศาลจะยกฟ้องคดีสำนวนนี้เสีย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 516/2517

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฟ้องซ้ำในความผิดกรรมเดียว ศาลมีอำนาจยกฟ้องได้เมื่อศาลได้พิพากษาลงโทษแล้ว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยดำรงชีพอยู่ด้วยรายได้ของหญิงในการค้าประเวณีสำนวนหนึ่งและในวันเดียวกันโจทก์ยังฟ้องจำเลยเกี่ยวกับการกระทำผิดอันเดียวกันเป็นอีกสำนวนหนึ่งว่าจำเลยเป็นผู้จัดการสถานการค้าประเวณีโดยมิได้ขอให้พิจารณาคดีรวมกันเห็นได้ว่าเป็นการฟ้องขอให้ลงโทษในกรรมเดียวซ้ำกัน 2 ครั้งข้อหาในอีกสำนวนหนึ่งนั้นย่อมหมายความว่าจำเลยมีรายได้จากสินจ้างซึ่งได้รับจากลูกค้าของสถานการค้าประเวณี แล้วจำเลยแบ่งรายได้นั้นให้แก่หญิงที่ค้าประเวณีแต่ข้อหาในสำนวนนี้ว่าจำเลยดำรงชีพอยู่จากรายได้ของหญิงที่ค้าประเวณีในสถานที่แห่งเดียวกัน เมื่อในคดีอีกสำนวนหนึ่งนั้นจำเลยรับสารภาพข้อเท็จจริงฟังได้ตามฟ้อง และศาลได้พิพากษาลงโทษจำเลยแล้วจึงชอบที่ศาลจะยกฟ้องคดีสำนวนนี้เสีย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2733/2517 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิเรียกร้องที่ดินจากสัญญาประนีประนอมยอมความ และการฟ้องซ้ำ
จำเลยมีชื่อเป็นผู้ถือสิทธิในที่ดินพิพาท ต่อมาโจทก์จำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันแบ่งที่ดินพิพาทนี้ โดยระบุว่าเป็นทรัพย์มรดก จำเลยจะแบ่งให้โจทก์ตามส่วนและข้อตกลงเมื่อโอนให้โจทก์แล้ว โจทก์จะต้องแบ่งให้บุตร4 คนของโจทก์ครึ่งหนึ่งของที่ดินที่โจทก์ได้รับ โจทก์จำเลยตกลงจะไปโอนที่ดินภายใน 30 วันนับแต่วันทำสัญญาและบุตรโจทก์ 4 คนนั้นต้องชำระเงินให้จำเลย 2,000 บาท จำเลยจึงจะโอนให้ตามกำหนดโจทก์ได้ฟ้องจำเลยเป็นคดีแรกขอให้ศาลบังคับให้จำเลยโอนที่พิพาทให้ตามสัญญา คดีนั้นศาลฎีกาได้วินิจฉัยในประเด็นที่ว่าสัญญาดังกล่าวเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความหรือว่าสัญญาให้ และวินิจฉัยว่าเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความที่เป็นสัญญาต่างตอบแทนซึ่งฝ่ายโจทก์ยังมิได้ปฏิบัติการชำระหนี้ ก็จะฟ้องบังคับให้จำเลยโอนที่พิพาทให้โจทก์ไม่ได้โจทก์จึงมาฟ้องจำเลยใหม่เป็นคดีนี้ว่าโจทก์ได้เสนอจะปฏิบัติการชำระหนี้แล้วขอให้บังคับให้จำเลยรับเงินและโอนที่พิพาทให้โจทก์ อันมีประเด็นโต้เถียงกันว่ากรณีเช่นนี้จำเลยจะต้องโอนที่พิพาทให้โจทก์เพียงใดหรือไม่จึงมิใช่ประเด็นที่ได้วินิจฉัยแล้ว ไม่เป็นฟ้องซ้ำ
การที่จำเลยตกลงทำสัญญาดังกล่าวกับโจทก์นั้น เห็นได้ว่าจำเลยมีเจตนาจะแบ่งที่พิพาทให้บุตรโจทก์คือ น.และผู้ร้องสอดทั้งสามซึ่งเป็นบุคคลนอกสัญญาด้วย และได้ความว่าผู้ร้องสอดทั้งสามได้แสดงเจตนาที่จะรับที่ดินส่วนที่จำเลยแบ่งให้แล้ว ผู้ร้องสอดทั้งสามจึงมีสิทธิร้องสอดเข้ามาเรียกร้องให้จำเลยโอนที่ดินส่วนของตนได้โดยตรงตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 374 โจทก์จะอ้างว่าจำเลยต้องโอนที่พิพาทให้โจทก์ผู้เดียวก่อนหาได้ไม่ และคำร้องสอดเช่นว่านี้เป็นกรณีขอให้บังคับจำเลยตามสัญญา มิได้ขอให้บังคับโจทก์แต่อย่างใดจึงมิใช่เป็นการฟ้องโจทก์ ไม่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1534
กำหนดเวลาตามสัญญาดังกล่าวนั้น มีความหมายที่จะให้จำเลยปฏิบัติการโอนที่ดินให้โจทก์ภายในเวลา 30 วัน ส่วนข้อความตอนท้ายที่จะให้บุตรโจทก์ชำระเงินตอบแทนนั้น ก็มีความหมายเพียงว่าหากบุตรโจทก์ไม่ชำระเงิน จำเลยก็ยังไม่ต้องโอนที่ดินให้ตามกำหนดกำหนดเวลาตามสัญญานี้จึงมิใช่ข้อที่คู่สัญญาตกลงให้ฝ่ายโจทก์ชำระเงินภายใน 30 วัน การที่โจทก์เสนอชำระเงินภายหลังจึงไม่เป็นการผิดสัญญาและเมื่อโจทก์และผู้ร้องสอดได้ขอชำระเงิน2,000 บาทให้จำเลยแล้ว จำเลยก็ต้องโอนที่ดินให้โจทก์และผู้ร้องสอด
ตามนัยของสัญญา น.และผู้ร้องสอดทั้งสามซึ่งเป็นบุตรโจทก์มีสิทธิได้รับส่วนแบ่งคนละ 1 ใน 4 ของครึ่งหนึ่งของที่พิพาทบุตรโจทก์แต่ละคนจึงต่างก็มีสิทธิเรียกร้องเอาส่วนของตนจากจำเลยได้เมื่อมีคนใดไม่ใช้สิทธิของตนหรือแสดงเจตนาสละสิทธิของตนย่อมไม่เป็นเหตุให้ผู้มีสิทธิคนอื่นจะไปใช้สิทธิให้นอกเหนือไปจากสัญญาได้ผู้ร้องสอดจะอ้างว่าพวกตน 3 คนควรได้รับส่วนแบ่งรวมกันเป็นครึ่งหนึ่งของส่วนที่จำเลยจะต้องโอนให้หาได้ไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2687/2517 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องซ้ำหรือไม่: คดีแนวเขตที่ดินกับการละเมิดสิทธิครอบครอง
คดีก่อน จำเลยยื่นคำร้องขอแสดงกรรมสิทธิ์ อ้างว่าจำเลยได้ครอบครองที่ดินโฉนดเลขที่ 1861 ของจำเลยคลาดเคลื่อนรุกล้ำเข้าไปในที่ดินโฉนดเลขที่ 1862 ของโจทก์ เนื้อที่ 100ไร่เศษเป็นเวลาเกินกว่า 10 ปีแล้ว จึงตกเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยโดยทางครอบครองโจทก์ยื่นคำคัดค้าน ศาลชั้นต้นฟังว่า เขตที่ดินโฉนดเลขที่ 1861 ของจำเลยทางทิศใต้อยู่ติดกับเขตที่ดินโฉนดที่ 1862 ของโจทก์ทางทิศเหนือ มีคันนาและกอไผ่เป็นคันเขตจำเลยไม่ได้ปกครองรุกล้ำเข้าไปในเขตโฉนดเลขที่ 1862 ของโจทก์พิพากษายกฟ้อง คดีถึงที่สุด ส่วนคดีหลัง โจทก์ฟ้องจำเลยว่าจำเลยเข้าไปอาศัยปลูกกระท่อมและอยู่ในที่ดินโฉนดเลขที่1862ของโจทก์บางส่วนเนื้อที่ 100 ไร่เศษ โดยอาศัยสิทธิการเช่าของบุคคลอื่นที่ขอเช่าที่ดินไปจากโจทก์ โจทก์บอกกล่าวให้จำเลยรื้อกระท่อมออกไปให้พ้นที่ดินโจทก์และอย่าเข้ามาทำนาต่อไปจำเลยไม่ปฏิบัติตาม ขอให้ศาลบังคับจำเลยรื้อกระท่อมห้ามเข้าเกี่ยวข้องทำนาต่อไป และเรียกค่าเสียหาย ดังนี้ประเด็นแห่งคดีก่อน ศาลวินิจฉัยชี้ขาดเฉพาะแนวเขตโฉนดที่ดินของโจทก์และจำเลยด้านที่ติดกัน ว่าอยู่ตรงไหนกับชี้ขาดว่าไม่มีการครอบครองที่ดินเป็นปรปักษ์ต่อกัน ส่วนประเด็นแห่งคดีหลังเป็นเรื่องละเมิดกับเรียกค่าเสียหาย จึงเป็นคนละเรื่องและคนละประเด็นกัน มิใช่เรื่องในประเด็นที่ศาลได้วินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกัน ฟ้องคดีหลังจึงไม่เป็นฟ้องซ้ำกับคดีก่อน
of 146