คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
มรดก

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,786 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2359/2521 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การจดทะเบียนบุตรบุญธรรมและการถอดถอนผู้จัดการมรดกเมื่อมีทายาทอันดับหนึ่ง
ประมวลวิธีพิจารณาความแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1584 (แก้ไขใหม่ มาตรา 1598/25) ประกอบกับพระราชบัญญัติจดทะเบียนครอบครัว พ.ศ.2478 มาตรา 22 บัญญัติแต่เพียงว่า การจดทะเบียนบุตรบุญธรรมต้องได้รับความยินยอมจากคู่สมรสเท่านั้นไม่ได้บังคับว่าจะต้องลงลายมือชื่อด้วยตนเอง ดังนั้น การที่เจ้าพนักงานได้บันทึกไว้ว่าคู่สมรสของผู้รับบุตรบุญธรรมได้มีหนังสือให้ความยินยอมถึงคณะกรมการอำเภอ ย่อมเป็นการเพียงพอแล้ว การจดทะเบียนรับบุตรบุญธรรมสมบูรณ์ตามกฎหมาย
การที่ศาลจะสั่งถอดถอนผู้จัดการมรดกได้ ไม่จำเป็นว่าผู้จัดการมรดกจะต้องมีความผิด เมื่อศาลตั้งผู้คัดค้านเป็นผุ้จัดการมรดกนั้นยังไม่ปรากฏทายาทอันดับหนึ่ง แต่เมื่อปรากฏว่าผู้ร้องเป็นทายาทอันดับหนึ่งมีสิทธิรับมรดกแต่ผู้เดียว ผู้คัดค้านมิได้เป็นผู้มีสิทธิได้รับมรดกของผู้ตายและมิได้เป็นผู้มีส่วนได้เสียในกองมรดก จึงไม่มีสิทธิจัดการมรดกต่อไป ศาลมีอำนาจถอดถอนได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2274/2521 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้องของผู้จัดการมรดกในฐานะผู้ทรงเช็ค: การรับมรดกและสิทธิในทรัพย์สิน
โจทก์ฟ้องอ้างว่าโจทก์เป็นเจ้าของทรัพย์สินและสิทธิทั้งหลายร่วมกับนายจิตติ สามี และร่วมกับสามีเป็นผู้ทรงเช็ค 2 ฉบับตามฟ้อง เมื่อสามีตายโจทก์ยื่นคำร้องขอเป็นผู้จัดการมรดกของสามีต่อศาล ตามคำฟ้องของโจทก์ดังกล่าวย่อมเป็นที่เข้าใจได้ว่า โจทก์ฟ้องเรียกเงินในฐานะที่โจทก์มีส่วนแบ่งในทรัพย์สินระหว่างโจทก์กับสามี เนื่องจากการตายของสามีประการหนึ่ง และในฐานะคู่สมรสซึ่งโจทก์เป็นทายาทโดยธรรมในการรับมรดกส่วนของสามีอีกประการหนึ่ง เมื่อหนี้เงินตามเข็คเป็นทรัพย์สินที่โจทก์มีสิทธิได้รับส่วนแบ่งในฐานะภริยาและเป็นมรดกตกทอดแก่โจทก์ซึ่งเป็นทายาทดังนี้ โจทก์ย่อมเป็นผู้ทรงเช็คตามฟ้องโดยชอบด้วยกฎหมายแล้ว
จำเลยทั้งสองให้การต่อสู้ว่าโจทก์ไม่ใช่ผู้ทรงเช็คชอบด้วยกฎหมาย การที่จำเลยอุทธรณ์ว่าโจทก์ไม่ได้ฟ้องคดีในฐานะทายาทหรือผู้จัดการมรดกของนางจิตติสามีโจทก์ก็เท่ากันโต้เถียงว่าโจทก์ไม่ใช่ผู้ทรงเช็คชอบด้วยกฎหมายนั่นเอง จึงถือได้ว่าประเด็นเรื่องอำนาจฟ้องของโจทก์ตามที่จำเลยอุทธรณ์ได้ว่ากันมาแล้วแต่ศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์ย่อมต้องวินิจฉัยให้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2249/2521

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิการคัดค้านการตั้งผู้จัดการมรดก: ต้องเป็นทายาทหรือผู้มีส่วนได้เสียโดยตรงเท่านั้น
ผู้คัดค้านอ้างว่าผู้ตายยกที่ดินมีโฉนดให้ ผู้คัดค้านครอบครองได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์แล้ว ทั้งทรัพย์มรดกของผู้ตายก็ไม่มีเหลืออยู่เลย ล้วนแต่เป็นเรื่องนอกประเด็นจากคำร้องขอจัดการมรดก เพราะประเด็นแห่งคดีมีว่าสมควรตั้งผู้ร้องเป็นผู้จัดการมรดกตามคำร้องขอหรือไม่เท่านั้น
ที่ดินดังกล่าวเป็นทรัพย์มรดกหรือไม่ เมื่อผู้คัดค้านอ้างว่าเป็นของตนก็ชอบที่จะไปดำเนินคดีเป็นอีกส่วนหนึ่งต่างหากจากคดีนี้
ผู้ตายมีทรัพย์มรดกหรือไม่ เป็นเรื่องระหว่างผู้ร้องกับศาลเท่านั้น ถ้าฟังว่าไม่มีทรัพย์มรดก ศาลก็สั่งยกคำร้อง ผู้คัดค้านหามีส่วนได้เสียในการที่ศาลจะตั้งหรือไม่ตั้งผู้ร้องเป็นผู้จัดการมรดกแต่ประการใด ไม่
ผู้คัดค้านไม่ใช่ทายาทผู้มีสิทธิรับมรดกของผู้ตาย หรือไม่ใช่ผู้มีส่วนได้เสีย จึงไม่มีสิทธิร้องคัดค้าน ว่าผู้ร้องไม่สมควรเป็นผู้จัดการมรดก

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2241/2521 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิการเช่าเป็นมรดก ทายาทมีสิทธิร่วมกับผู้เช่าเดิม การแบ่งสิทธิการเช่าต้องได้รับความยินยอมจากเจ้าของทรัพย์
จ.และจำเลยมีสิทธิการเช่าห้องพิพาทร่วมกัน เมื่อ จ.ตาย สัญญาเช่าของ จ.ย่อมเป็นมรดกตกได้แก่ทายาท (คือโจทก์) ที่จะมีสิทธิการเช่าร่วมกับจำเลย แต่ที่โจทก์จะให้นำสิทธิการเช่าดังกล่าวไปโอนให้บุคคลอื่นหรือขายทอดตลาดเพื่อเอาเงินมาแบ่งกันระหว่างจำเลย กับทายาทของ จ. นั้น ผู้ให้เช่าเป็นบุคคลนอกคดีต้องยินยอมด้วย กรณีไม่อาจบังคับตามคำขอได้
เมื่อสิทธิการเช่ามีราคา 95,000 บาท โจทก์ขอแบ่งสิทธิการเช่าที่เหลืออยู่ 12 ปี สิทธิการเช่าจึงมีราคา 76,000 บาท โจทก์มีสิทธิกึ่งหนึ่งเป็นเงิน 38,000 บาท ศาลพิพากษาให้จำเลยใช้เงิน 38,000 บาทแก่โจทก์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2241/2521

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิการเช่าเป็นมรดก แต่การโอนหรือขายต้องมีผู้ให้เช่ายินยอม ส่วนแบ่งสิทธิการเช่าเป็นไปตามสัดส่วน
จ.และจำเลยมีสิทธิการเช่าห้องพิพาทร่วมกัน เมื่อ จ.ตายสัญญาเช่าของ จ.ย่อมเป็นมรดกตกได้แก่ทายาท (คือโจทก์) ที่จะมีสิทธิการเช่าร่วมกับจำเลย แต่ที่โจทก์จะให้นำสิทธิการเช่าดังกล่าวไปโอนให้บุคคลอื่นหรือขายทอดตลาดเพื่อเอาเงินมาแบ่งกันระหว่างจำเลยกับทายาทของจ.นั้น ผู้ให้เช่าเป็นบุคคลนอกคดีต้องยินยอมด้วย กรณีไม่อาจบังคับตามคำขอได้
เมื่อสิทธิการเช่ามีราคา 95,000 บาท โจทก์ขอแบ่งสิทธิการเช่าที่เหลืออยู่ 12 ปี สิทธิการเช่าจึงมีราคา 76,000 บาท โจทก์มีสิทธิกึ่งหนึ่งเป็นเงิน 38,000 บาท ศาลพิพากษาให้จำเลยใช้เงิน 38,000 บาท แก่โจทก์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 18/2521

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การร้องสอดเพื่อเป็นโจทก์ร่วมในคดีมรดกต้องมีส่วนได้เสียในทรัพย์มรดกที่ฟ้องร้อง หากเป็นทรัพย์ต่างรายกัน ย่อมไม่มีสิทธิร้องสอด
โจทก์ฟ้องจำเลยเรียกส่วนแบ่งทรัพย์มรดกตามพินัยกรรมของเจ้ามรดกผู้ร้องยื่นคำร้องสอดขอเข้าเป็นโจทก์ร่วม โดยอ้างว่าผู้ร้องมีสิทธิได้รับมรดกตามพินัยกรรมเมื่อปรากฏว่าทรัพย์มรดกที่ผู้ร้องกล่าวอ้างเป็นทรัพย์ต่างรายกับทรัพย์มรดกที่โจทก์ฟ้อง กรณีจึงถือไม่ได้ว่าผู้ร้องมีส่วนได้เสียตามกฎหมายในผลแห่งคดี ไม่มีเหตุที่ผู้ร้องจะร้องสอดเข้ามาในคดีได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1156/2521

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจตนาที่แท้จริงในสัญญาประนีประนอมยอมความ และสิทธิของบุคคลภายนอกผู้รับประโยชน์
เจ้ามรดกมีบุตร 5 คนคือโจทก์ทั้งสอง จำเลย ว.และพ. ผู้ร้องสอดเป็นภรรยาของ พ.ไม่มีบุตรด้วยกัน พ. ตายก่อนเจ้ามรดก เจ้ามรดกตายโดยไม่ได้ทำพินัยกรรม โจทก์ทั้งสองเคยฟ้องจำเลยขอแบ่งมรดก ผลที่สุดได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกัน จำเลยยอมแบ่งที่พิพาทออกเป็น 5 ส่วนเท่าๆ กัน ให้โจทก์ทั้งสอง ว.พ. และจำเลยคนละส่วนตามคดีแดงที่ 239/2515 ขณะทำสัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าว โจทก์และจำเลยย่อมรู้อยู่แล้วว่า พ. ตายไปก่อนเจ้ามรดกแล้ว ยังยอมทำสัญญาประนีประนอมยอมความให้ พ. มีส่วนในที่พิพาท 1 ส่วนใน 5 ส่วน จึงแสดงว่าต่างมีเจตนาอันแท้จริงที่จะมอบที่ดินส่วนนี้ให้แก่ผู้มีสิทธิรับมรดกของ พ. หาใช่มอบให้แก่ พ. ซึ่งตายไปแล้วไม่ ทั้งนี้เป็นการตีความในสัญญาโดยเพ็งเล็งถึงเจตนาอันแท้จริงยิ่งกว่าถ้อยคำสำนวนตามตัวอักษร ตามความหมายแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 132
สัญญาประนีประนอมยอมความที่โจทก์จำเลยทำไว้นั้น เป็นสัญญาเพื่อประโยชน์บุคคลภายนอก เมื่อผู้ร้องสอดซึ่งเป็นบุคคลภายนอกได้แสดงเจตนาจะรับเอาทรัพย์ส่วนนี้โดยร้องสอดเข้ามาเป็นจำเลยร่วม ถือได้ว่าผู้ร้องสอดได้แสดงเจตนาแก่โจทก์ซึ่งเป็นลูกหนี้ว่าจะถือเอาประโยชน์จากสัญญานั้นแล้ว ตามมาตรา 374 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ สิทธิของผู้ร้องสอดได้เกิดมีขึ้นแล้ว โจทก์จะเปลี่ยนแปลงหรือระงับสิทธินี้ของผู้ร้องสอดมิได้ ตามมาตรา 375 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1133/2521

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การรับมรดกโดยไม่ชอบและสิทธิของทายาทที่แท้จริง ศาลมีอำนาจเพิกถอนการจดทะเบียน
การที่จำเลยยื่นเรื่องราวขอรับมรดกของเจ้ามรดกในที่ดินพิพาทและจดทะเบียนโอนรับมรดกที่ดินพิพาทมา ตลอดจนการยอมรับว่าบิดาจำเลยเป็นผู้เสียภาษีบำรุงท้องที่แทนในนามของเจ้ามรดกตลอดมา เท่ากับเป็นการยอมรับความเป็นเจ้าของของเจ้ามรดก มิใช่เป็นการครอบครองในลักษณะเป็นปรปักษ์ต่อเจ้ามรดก จำเลยจึงไม่อาจอ้างการได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยการครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382
หลังจากเจ้ามรดกตาย มีทายาทอื่นที่มิใช่โจทก์จำเลยครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทต่อมา โฉนดที่ดินพิพาทยังคงมีชื่อเจ้ามรดกถือกรรมสิทธิ์ และจำเลยเพิ่งจะยื่นขอโอนรับมรดก แสดงว่าที่ดินพิพาทยังเป็นของเจ้ามรดกอันจะพึงตกได้แก่บรรดาทายาทซึ่งมีฐานะเป็นเจ้าของร่วมกันมา ในเบื้องต้นต้องถือว่าได้ครอบครองไว้แทนกัน
การที่จำเลยซึ่งมิใช่ทายาทของเจ้ามรดก เอาที่ดินพิพาทไปจดทะเบียนโอนรับมรดกโดยปราศจากความรู้เห็นยินยอมของทายาทที่แท้จริง แล้วจดทะเบียนโอนยกให้แก่ ข. โจทก์ซึ่งเป็นทายาทของเจ้ามรดกชอบที่จะขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนโอนรับมรดกและการจดทะเบียนการให้นั้นเสียได้ เพราะจำเลยได้สิทธิมาโดยไม่ชอบ ข. ผู้รับโอนที่ดินจากจำเลยย่อมไม่มีสิทธิดีกว่าผู้โอน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 959/2520

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การกำหนดประเด็นและหน้าที่นำสืบในคดีมรดก จำเลยฎีกาต้องแสดงการคัดค้านคำสั่งศาลให้ชัดเจนก่อน
จำเลยฎีกาขอให้เพิกถอนคำสั่งศาลชั้นต้นในเรื่องการกำหนดประเด็นและหน้าที่นำสืบ ปรากฏตามรายงานกระบวนพิจารณาในวันชี้สองสถานว่าคู่ความสละข้อหาหรือข้อต่อสู้อื่นทั้งหมด คงมีประเด็นพิพาทเพียง 2 ข้อคือพินัยกรรมปลอมหรือไม่และพินัยกรรมครอบคลุมถึงทรัพย์สินอย่างอื่นนอกจากทรัพย์ที่ระบุไว้ในพินัยกรรมหรือไม่ หลังจากไปตรวจที่พิพาทแล้วศาลชั้นต้นกำหนดหน้าที่นำสืบให้จำเลยนำสืบก่อน ต่อมาจำเลยยื่นคำแถลงว่าในวันตรวจที่พิพาท จำเลยได้คัดค้านคำสั่งศาลด้วยวาจาว่าไม่ชอบด้วยกฎหมาย และศาลสั่งด้วยวาจาว่าให้แถลงคัดค้านเข้ามาจำเลยจึงยื่นคำแถลงอธิบายความหมายตามที่จำเลยแถลง ศาลชั้นต้นสั่งสำเนาให้โจทก์ร่วม ดังนี้ ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 26 กำหนดว่าถ้าศาลได้ออกคำสั่งหรือคำชี้ขาดเกี่ยวกับการการดำเนินคดี คู่ความคัดค้านว่าไม่ชอบด้วยกฎหมายก่อนที่ศาลจะดำเนินคดีต่อไปให้ศาลจดคำสั่งหรือคำชี้ขาดนั้นและสภาพแห่งการคัดค้านนั้นไว้ในรายงานเมื่อตามสำนวนไม่ปรากฏว่าจำเลยคัดค้านคำสั่งหรือคำชี้ขาดข้อใดจึงไม่มีข้อคัดค้านศาลชั้นต้นที่ศาลฎีกาจะพิจารณาตามฎีกาของจำเลย
การที่ศาลชั้นต้นสั่งให้จำเลยนำสืบก่อนและโจทก์จำเลยสืบพยานเสร็จสิ้นแล้ว แม้จะเป็นการชอบหรือไม่ก็ตามถ้าไม่ทำให้คำวินิจฉัยเปลี่ยนแปลงไปก็ไม่มีเหตุที่ศาลสูงจะสั่งแก้ไข

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 912/2520

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิในการเป็นผู้พิทักษ์จำกัดเฉพาะผู้มีฐานะเป็นญาติหรือผู้ดูแลตามกฎหมาย การขอเป็นผู้พิทักษ์เพื่อหวังผลประโยชน์ทางมรดกทำไม่ได้
ค. อายุ 74 ปี ป่วยเป็นโรคเบาหวาน และเป็นอัมพาตมานานประมาณ 13 เดือน มือเท้าข้างขวาและร่างกายแถบซีกด้านขวาเคลื่อนไหวไม่ได้ เคลื่อนไหวได้เฉพาะแถบซีกด้านซ้าย ลุกขึ้นยืนไม่ได้ นั่งได้ คลานไปในระยะใกล้ ๆ ได้ เข้าใจคำถามได้ดีสามารถตอบคำถามได้บ้างแพทย์ รักษาแล้วอาการไม่ดีขึ้น จึงเป็นบุคคลไม่สามารถจะจัดการงานของตนเองได้ เพราะกายพิการสมควรถูกสั่งให้เป็นคนเสมือนไร้ความสามารถและให้อยู่ในความพิทักษ์
ผู้ร้องเป็นบุตรของพี่ชาย ค. ไม่ใช่ผู้สืบสันดานหรือผู้พิทักษ์ของ ค. ส่วนผู้คัดค้านเป็นผู้พิทักษ์ตามพฤตินัยของ ค. มาก่อน ดังนี้ ผู้ร้องจึงไม่มี สิทธิร้องขอต่อศาลให้สั่งว่า ค. เป็นคนเสมือนไร้ความสามารถ และให้อยู่ในความพิทักษ์ของผู้ร้องได้
การที่ผู้ร้องอ้างว่าผู้ร้องมีสิทธิได้รับมรดกของ ค. หาก ค. ถึงแก่กรรม โดยได้รับมรดกแทนที่บิดาผู้ร้องที่ถึงแก่กรรมแล้วและเป็นทายาทเพียงผู้เดียว ของ ค. การร้องขอต่อศาลเป็นการใช้สิทธิโดยสุจริต ชอบด้วยกฎหมายอัน ว่าด้วยความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชนเพื่อรักษาผลประโยชน์ส่วนได้เสียของ ค. และของผู้ร้อง ตามที่ผู้ร้องฎีกานั้น กรณีดังกล่าวไม่มีบทบัญญัติแห่งกฎหมายให้ผู้ร้องมีสิทธิร้องขอต่อศาลได้
of 179