พบผลลัพธ์ทั้งหมด 919 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2908/2559
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจศาลลดโทษคดีขับขี่เสพยาเสพติดโดยอ้างอิงข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อการปราบปรามยาเสพติด
คดีนี้ศาลอุทธรณ์ลงโทษจำเลยในความผิดฐานเป็นผู้ขับขี่เสพเมทแอมเฟตามีนตาม พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 57, 91 พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ.2522 มาตรา 43 ทวิ วรรคหนึ่ง, 157/1 วรรคสอง ซึ่งเป็นการกระทำอันเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบทที่ต้องลงโทษตาม พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ.2522 มาตรา 157/1 วรรคสอง ประกอบ พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 91 ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดตาม ป.อ. มาตรา 90 เท่ากับจำเลยกระทำผิดตาม พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 ด้วย เพียงแต่ศาลอุทธรณ์ลงโทษจำเลยตาม พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ.2522 มาตรา 157/1 วรรคสอง ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดเท่านั้น พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 100/2 บัญญัติว่า "ถ้าศาลเห็นว่าผู้กระทำความผิดผู้ใดได้ให้ข้อมูลที่สำคัญและเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษต่อพนักงานฝ่ายปกครอง หรือตำรวจ หรือพนักงานสอบสวน ศาลจะลงโทษผู้นั้นน้อยกว่าอัตราโทษขั้นต่ำที่กำหนดไว้สำหรับความผิดนั้นก็ได้" เมื่อความผิดฐานเป็นผู้ขับขี่เสพเมทแอมเฟตามีนเป็นการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษด้วย การที่จำเลยได้ให้ข้อมูลที่สำคัญและเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษต่อเจ้าพนักงานตำรวจ ศาลอุทธรณ์จึงมีอำนาจลงโทษจำเลยในความผิดฐานเป็นผู้ขับขี่เสพเมทแอมเฟตามีนน้อยกว่าอัตราโทษขั้นต่ำที่กำหนดไว้สำหรับความผิดดังกล่าวได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1755/2559
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรวมโทษก่อนลดโทษในความผิดหลายกรรมไม่เป็นผลร้าย จำเป็นต้องพิจารณาเจตนาการกระทำผิดและเหตุรอการลงโทษ
แม้ศาลอุทธรณ์รวมโทษจำคุกของจำเลยทั้งสามสิบกระทงเข้าด้วยกันแล้วจึงลดโทษ จะเป็นผลร้ายแก่จำเลยมากกว่าลดโทษแต่ละกระทงเสียก่อนแล้วจึงรวมเข้าด้วยกัน เพราะการกำหนดโทษจำคุก 12 เดือน ย่อมมีกำหนดเท่ากับ 360 วัน น้อยกว่าจำนวนวันตามปีปฏิทินที่อาจมีถึง 365 วัน หรือ 366 วัน สุดแล้วแต่ว่าจะเป็นปีอธิกสุรทินหรือปีจันทรคติก็ตาม แต่คดีนี้ศาลอุทธรณ์ลงโทษจำเลยตาม ป.อ. มาตรา 147 ซึ่งมีระวางโทษจำคุกตั้งแต่ห้าปีถึงยี่สิบปีหรือจำคุกตลอดชีวิต เมื่อศาลอุทธรณ์ลงโทษจำคุกจำเลยกระทงละ 5 ปี รวม 30 กระทง เป็นจำคุก 150 ปี ไม่ว่าศาลอุทธรณ์จะรวมโทษก่อนแล้วลดโทษเป็นจำคุก 75 ปี หรือลดโทษก่อนแล้วรวมโทษเป็นจำคุก 60 ปี 180 เดือน ก็ตาม ศาลอุทธรณ์ก็ต้องลงโทษจำคุกจำเลย 50 ปี ตาม ป.อ. มาตรา 91 (3) การรวมโทษก่อนลดโทษให้แก่จำเลยย่อมไม่เป็นผลร้ายแก่จำเลยจนถึงกับต้องแก้ไขโทษจำคุกจำเลยเสียใหม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 10773/2559
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อมูลจากผู้ต้องหาไม่เป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อการปราบปรามยาเสพติด ศาลไม่สามารถลดโทษตาม พ.ร.บ.ยาเสพติดฯ มาตรา 100/2
ตามทางไต่สวนพันตำรวจโท ธ. และร้อยตำรวจตรี ณ. เจ้าพนักงานตำรวจผู้ร่วมสอบปากคำจำเลยและเป็นผู้ร่วมจับกุม บ. ก. และ ส. ผู้ต้องหาทั้งสามที่อ้างว่าจับกุมได้จากการให้ข้อมูลของจำเลยก็ตาม แต่พันตำรวจโท ธ. และร้อยตำรวจตรี ณ. มิได้เป็นผู้จับกุมจำเลย บันทึกการสอบปากคำจำเลยกระทำขึ้นในวันที่ 4 กรกฎาคม 2555 แต่การจับกุมผู้ต้องหาทั้งสามกระทำในวันที่ 10, 12 และ 14 กรกฎาคม 2555 ตามลำดับ โดยในบันทึกการจับกุมผู้ต้องหาทั้งสามระบุเหตุที่มีการจับกุมผู้ต้องหาทั้งสามได้เนื่องจากสายลับซึ่งไม่ประสงค์ออกนามแต่ต้องการสินบนนำจับแจ้งต่อเจ้าพนักงานตำรวจในวันเดียวกับที่ทำการจับกุมผู้ต้องหาทั้งสามแต่ละคนนั้นเอง ไม่มีหลักฐานว่าจำเลยเป็นผู้ให้ข้อมูลหรือสายลับกับจำเลยเป็นบุคคลคนเดียวกัน ทั้งบันทึกการสอบปากคำของจำเลย ก็ไม่เป็นไปตามแนวทางปฏิบัติกรณีผู้กระทำความผิดได้ให้หรือเปิดเผยข้อมูลที่สำคัญและเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษตามคำสั่งศูนย์อำนวยการต่อสู้เพื่อเอาชนะยาเสพติดแห่งชาติ ที่ 31/2548 จึงง่ายต่อการจัดทำขึ้นภายหลังและตรวจสอบความถูกต้องแท้จริงไม่ได้ ฟังไม่ได้ว่าจำเลยผู้กระทำความผิดได้ให้ข้อมูลที่สำคัญและเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษต่อเจ้าพนักงานตำรวจ อันจะเป็นเหตุให้ลงโทษจำเลยน้อยกว่าอัตราโทษขั้นต่ำที่กำหนดไว้สำหรับความผิดนั้นได้ ตาม พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 100/2
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9200/2558
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อการปราบปรามยาเสพติดไม่เพียงพอต่อการลดโทษ
ตาม พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 100/2 บัญญัติว่า "ถ้าศาลเห็นว่าผู้กระทำความผิดผู้ใดได้ให้ข้อมูลที่สำคัญและเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษต่อพนักงานฝ่ายปกครอง หรือตำรวจ หรือพนักงานสอบสวน ศาลจะลงโทษผู้นั้นน้อยกว่าอัตราโทษขั้นต่ำที่กำหนดไว้สำหรับความผิดนั้นก็ได้" บทบัญญัติดังกล่าวเป็นบทบัญญัติที่ให้ศาลใช้ดุลพินิจที่จะลงโทษจำเลยน้อยกว่าอัตราโทษขั้นต่ำที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดนั้น ผู้กระทำความผิดจะได้รับประโยชน์จากบทบัญญัติดังกล่าวจะต้องประกอบด้วยเหตุผลสองประการ กล่าวคือ ผู้กระทำความผิดได้ให้ข้อมูลที่สำคัญ และข้อมูลนั้นจะต้องเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษ ลำพังเพียงการให้ข้อมูลแต่ไม่เป็นประโยชน์ หรือเป็นประโยชน์ธรรมดาที่มิได้เป็นประโยชน์อย่างยิ่ง หรือเป็นประโยชน์แต่ไม่ใช่ข้อมูลที่สำคัญ ผู้ให้ข้อมูลหาได้รับประโยชน์จากบทบัญญัติดังกล่าวไม่ ดังนั้น แม้จำเลยได้ให้การเกี่ยวกับวิธีการที่กลุ่มนายทุนผู้ค้ายาเสพติดรายใหญ่ในการลักลอบนำยาเสพติดเข้ามาในประเทศ แต่ไม่ปรากฏว่าพนักงานสอบสวนมีการสอบสวนขยายผลเพื่อจับกุมผู้กระทำความผิดอื่นโดยอาศัยข้อมูลของจำเลยแต่ประการใด ทั้งไม่ปรากฏว่าผู้กระทำความผิดอื่นที่จำเลยกล่าวอ้างมีตัวตนอยู่จริงหรือไม่ อีกทั้งการที่จำเลยให้ข้อมูลว่ายังมีเมทแอมเฟตามีนอยู่ที่บ้านของจำเลย พร้อมกับพาเจ้าพนักงานตำรวจไปตรวจยึดเมทแอมเฟตามีนมาเป็นของกลาง แต่ของกลางถูกเก็บไว้อยู่ในบ้านของจำเลยเอง ย่อมเป็นที่คาดหมายได้ว่าหลังจากจับกุมจำเลยแล้ว เจ้าพนักงานตำรวจจะต้องมีการสอบคำให้การถึงแหล่งที่มาของยาเสพติด และต้องติดตามไปตรวจค้นที่บ้านพักของจำเลยและตรวจพบของกลางได้โดยไม่ยาก การให้ข้อมูลของจำเลยจึงมิใช่เป็นการให้ข้อมูลที่สำคัญและเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษต่อเจ้าพนักงานตำรวจอันจะเป็นเหตุให้ศาลใช้ดุลพินิจกำหนดโทษจำเลยน้อยกว่าอัตราโทษขั้นต่ำที่กำหนดไว้สำหรับความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายตามบทบัญญัติดังกล่าว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5826/2558
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การกำหนดโทษจำคุกสำหรับเด็กกระทำผิด ลดโทษตาม ป.อ. มาตรา 18 และ 75 ต้องพิจารณาโทษสูงสุดก่อน
จำเลยฎีกาโดยคัดลอกข้อความตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 7 และกล่าวไว้ในท้ายฎีกาว่า ขอให้ศาลฎีกาพิจารณาพิพากษาใหม่อีกครั้งหนึ่งและขอถือเอาคำพิพากษาของศาลชั้นต้นเป็นส่วนหนึ่งในฎีกาของจำเลย ไม่มีข้อความระบุว่าคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 7 ส่วนใดมีข้อวินิจฉัยผิดพลาดคลาดเคลื่อนอย่างไร และที่ถูกต้องควรเป็นอย่างใด จึงเป็นฎีกาที่ไม่ได้คัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 7 แม้ศาลชั้นต้นจะรับฎีกาของจำเลยก็เป็นการไม่ชอบ ศาลฎีกาไม่อาจรับฎีกาของจำเลยไว้พิจารณาพิพากษาได้เพราะต้องห้ามตาม ป.วิ.อ. มาตรา 216 วรรคหนึ่ง ประกอบ พ.ร.บ.ศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ.2553 มาตรา 6
ป.อ. มาตรา 18 วรรคสาม บัญญัติว่า ในกรณีผู้ซึ่งกระทำผิดในขณะที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี ได้กระทำความผิดที่มีระวางโทษประหารชีวิตหรือจำคุกตลอดชีวิตให้ถือว่าระวางโทษดังกล่าวได้เปลี่ยนเป็นระวางโทษห้าสิบปี การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตาม ป.อ. มาตรา 289 (4) ประกอบกับมาตรา 80 และ 83 ขณะกระทำผิดจำเลยอายุ 15 ปีเศษ ลดมาตราส่วนโทษให้กึ่งหนึ่งตาม ป.อ. มาตรา 75 ประกอบมาตรา 18 วรรคสอง และวรรคสาม แล้วคงจำคุก 25 ปี จำเลยให้การรับสารภาพลดโทษให้กึ่งหนึ่งตาม ป.อ. มาตรา 74 คงจำคุก 12 ปี 6 เดือนนั้น ไม่ถูกต้อง เพราะจะทำให้เด็กได้รับโทษเท่ากับผู้ใหญ่ ต้องเปลี่ยนโทษประหารชีวิตเป็นห้าสิบปีเสียก่อน แล้วจึงนำ ป.อ. มาตรา 80 ที่ให้ระวางโทษสองในสามของโทษห้าสิบปีมาปรับ ดังนั้นเมื่อลดมาตราส่วนโทษกึ่งหนึ่งตาม ป.อ. มาตรา 75 ประกอบมาตรา 18 วรรคสาม แล้ว โทษจำคุกที่กำหนดแก่จำเลย คือ 16 ปี 8 เดือน จำเลยให้การรับสารภาพลดโทษให้กึ่งหนึ่งตาม ป.อ. มาตรา 78 แล้วคงจำคุกเพียง 8 ปี 4 เดือน ปัญหาดังกล่าวเป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกามีอำนาจขึ้นอ้างและแก้ไขให้ถูกต้องได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225
ป.อ. มาตรา 18 วรรคสาม บัญญัติว่า ในกรณีผู้ซึ่งกระทำผิดในขณะที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี ได้กระทำความผิดที่มีระวางโทษประหารชีวิตหรือจำคุกตลอดชีวิตให้ถือว่าระวางโทษดังกล่าวได้เปลี่ยนเป็นระวางโทษห้าสิบปี การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตาม ป.อ. มาตรา 289 (4) ประกอบกับมาตรา 80 และ 83 ขณะกระทำผิดจำเลยอายุ 15 ปีเศษ ลดมาตราส่วนโทษให้กึ่งหนึ่งตาม ป.อ. มาตรา 75 ประกอบมาตรา 18 วรรคสอง และวรรคสาม แล้วคงจำคุก 25 ปี จำเลยให้การรับสารภาพลดโทษให้กึ่งหนึ่งตาม ป.อ. มาตรา 74 คงจำคุก 12 ปี 6 เดือนนั้น ไม่ถูกต้อง เพราะจะทำให้เด็กได้รับโทษเท่ากับผู้ใหญ่ ต้องเปลี่ยนโทษประหารชีวิตเป็นห้าสิบปีเสียก่อน แล้วจึงนำ ป.อ. มาตรา 80 ที่ให้ระวางโทษสองในสามของโทษห้าสิบปีมาปรับ ดังนั้นเมื่อลดมาตราส่วนโทษกึ่งหนึ่งตาม ป.อ. มาตรา 75 ประกอบมาตรา 18 วรรคสาม แล้ว โทษจำคุกที่กำหนดแก่จำเลย คือ 16 ปี 8 เดือน จำเลยให้การรับสารภาพลดโทษให้กึ่งหนึ่งตาม ป.อ. มาตรา 78 แล้วคงจำคุกเพียง 8 ปี 4 เดือน ปัญหาดังกล่าวเป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกามีอำนาจขึ้นอ้างและแก้ไขให้ถูกต้องได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5415/2558
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อมูลจำเลยไม่เป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อการปราบปรามยาเสพติด จึงไม่อาจใช้ดุลพินิจลดโทษได้
ระหว่างจำเลยต้องคุมขังอยู่ที่เรือนจำ จำเลยเขียนจดหมายถึงเจ้าพนักงานตำรวจว่า จำเลยมีความประสงค์แจ้งเบาะแสและข้อมูลเกี่ยวกับการลำเลียงยาเสพติดครั้งใหม่ ต่อมาพนักงานสอบสวนได้ไปสอบคำให้การจำเลยเพิ่มเติม จำเลยได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับรายละเอียดในการกระทำความผิดของจำเลยกับพวกที่ร่วมกระทำความผิดด้วยกันเท่านั้น โดยมิได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับการกระทำความผิดดังที่จำเลยกล่าวอ้างในจดหมาย แม้จำเลยเบิกความว่าแจ้งเบาะแสแก่เจ้าพนักงานตำรวจเกี่ยวกับกลุ่มชาวเขาซึ่งใช้รถกระบะ 2 คัน มารับยาเสพติดตรงตามบันทึกการจับกุมผู้กระทำความผิดในช่วงเวลาเดียวกับที่จำเลยอ้างในจดหมาย แต่ตามบันทึกการจับกุมดังกล่าวได้ความว่า การจับกุมผู้ต้องหาสืบเนื่องมาจากการสืบสวน โดยไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าเจ้าพนักงานผู้จับกุมและเจ้าพนักงานตำรวจตามบันทึกการจับกุมนั้นมีการสืบสวนสอบสวนขยายผลในการจับกุมผู้กระทำความผิดโดยอาศัยข้อมูลของจำเลยแต่ประการใด กรณีดังกล่าวจึงไม่อาจถือได้ว่าจำเลยได้ให้ข้อมูลที่สำคัญและเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษต่อพนักงานสอบสวนอันจะเป็นเหตุให้ศาลใช้ดุลพินิจกำหนดโทษจำเลยน้อยกว่าอัตราโทษขั้นต่ำที่กำหนดไว้สำหรับความผิดนั้นตาม พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 100/2 ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2254/2558
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การอุทธรณ์ข้อเท็จจริงใหม่ในชั้นอุทธรณ์ที่มิได้ว่ากล่าวในชั้นศาลต้น มิสามารถนำมาอ้างเพื่อลดโทษได้
จำเลยแถลงว่า จำเลยได้ให้ข้อมูลที่สำคัญและเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษ และขอสืบพยานประกอบ ต่อมาจำเลยแถลงไม่ติดใจสืบพยาน จึงไม่มีข้อเท็จจริงใด ๆ ในสำนวนว่า จำเลยได้ให้ข้อมูลที่สำคัญและเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษต่อเจ้าพนักงานตำรวจ
การที่จำเลยอุทธรณ์ว่า จำเลยได้ให้ข้อมูลสำคัญในคดีกับเจ้าพนักงานตำรวจเกี่ยวกับห้องเช่าของจำเลยที่มียาเสพติดซุกซ่อนอยู่ ให้ความร่วมมือกับเจ้าพนักงานตำรวจในการตรวจค้นห้องเช่าจนพบเมทแอมเฟตามีนของกลาง และแหล่งที่มาของเมทแอมเฟตามีนของกลางว่าจำเลยซื้อมาจาก ด. แม้ข้อเท็จจริงดังกล่าวบางส่วนจะปรากฏตามคำร้องขอฝากขังครั้งที่ 1 และสำเนาบันทึกการจับกุมเอกสารท้ายคำร้องดังที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยไว้ก็ตาม แต่เมื่อจำเลยไม่สืบพยานให้ปรากฏข้อเท็จจริงดังกล่าว ข้อเท็จจริงที่จำเลยอ้างจึงเป็นข้อเท็จจริงที่จำเลยเพิ่งยกขึ้นมาในชั้นอุทธรณ์ ถือเป็นข้อที่ไม่ได้ว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 225 วรรคหนึ่ง ประกอบ ป.วิ.อ. มาตรา 15 และพ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดียาเสพติด พ.ศ.2550 มาตรา 3 ที่ศาลอุทธรณ์ลงโทษจำเลยน้อยกว่าอัตราโทษขั้นต่ำที่กำหนดไว้สำหรับความผิดนั้นตาม พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 100/2 จึงเป็นการไม่ชอบ
การที่จำเลยอุทธรณ์ว่า จำเลยได้ให้ข้อมูลสำคัญในคดีกับเจ้าพนักงานตำรวจเกี่ยวกับห้องเช่าของจำเลยที่มียาเสพติดซุกซ่อนอยู่ ให้ความร่วมมือกับเจ้าพนักงานตำรวจในการตรวจค้นห้องเช่าจนพบเมทแอมเฟตามีนของกลาง และแหล่งที่มาของเมทแอมเฟตามีนของกลางว่าจำเลยซื้อมาจาก ด. แม้ข้อเท็จจริงดังกล่าวบางส่วนจะปรากฏตามคำร้องขอฝากขังครั้งที่ 1 และสำเนาบันทึกการจับกุมเอกสารท้ายคำร้องดังที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยไว้ก็ตาม แต่เมื่อจำเลยไม่สืบพยานให้ปรากฏข้อเท็จจริงดังกล่าว ข้อเท็จจริงที่จำเลยอ้างจึงเป็นข้อเท็จจริงที่จำเลยเพิ่งยกขึ้นมาในชั้นอุทธรณ์ ถือเป็นข้อที่ไม่ได้ว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 225 วรรคหนึ่ง ประกอบ ป.วิ.อ. มาตรา 15 และพ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดียาเสพติด พ.ศ.2550 มาตรา 3 ที่ศาลอุทธรณ์ลงโทษจำเลยน้อยกว่าอัตราโทษขั้นต่ำที่กำหนดไว้สำหรับความผิดนั้นตาม พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 100/2 จึงเป็นการไม่ชอบ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 12362/2557
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
กรรมเดียวเบิกความเท็จต่อศาล: การพิจารณาความผิดซ้ำซ้อนและการลดโทษ
การที่จำเลยเบิกความสองครั้งในคดีเดียวกัน คือ ในชั้นไต่สวนมูลฟ้องและชั้นพิจารณา แม้จะเป็นการเบิกความคนละคราว แต่ก็เป็นการนำสาระสำคัญของข้อความในเรื่องเดียวกัน มูลเหตุเดียวกันมากล่าวอีกครั้งโดยมีเจตนาให้โจทก์ต้องโทษในคดีเดียวกันเท่านั้น จึงเป็นการกระทำกรรมเดียว แต่เป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6252/2556
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบังคับใช้ พ.ร.ฎ.อภัยโทษ พ.ศ.2555: หลักเกณฑ์การลดโทษและปล่อยตัวนักโทษเด็ดขาด
ในชั้นขอปล่อยบุคคลซึ่งถูกคุมขังโดยมิชอบตาม ป.วิ.อ. มาตรา 90 โจทก์ก็ถือเป็นคู่ความในคดี แม้จะไม่เคยเข้าสู่การพิจารณาคดีของศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 4 ก็ตาม แต่เป็นเพราะศาลชั้นต้นมิได้มีหมายแจ้งให้โจทก์ทราบถึงการยื่นคำร้องของผู้ร้องหรือส่งสำเนาอุทธรณ์ของผู้ร้องให้โจทก์แก้ เมื่อศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษาให้ปล่อยตัวจำเลยย่อมมีผลกระทบต่อการบังคับคดีตามคำพิพากษาของศาลฎีกา โจทก์จึงมีสิทธิฎีกาได้
คดีนี้ผู้ร้องในฐานะเป็นบุตรซึ่งถือเป็นญาติของจำเลยซึ่งกล่าวอ้างว่าจำเลยถูกคุมขังโดยมิชอบ แม้ผู้ร้องไม่ได้โต้แย้งการปฏิบัติหน้าที่ของคณะกรรมการซึ่งมีหน้าที่ตรวจสอบผู้ซึ่งได้รับพระราชทานอภัยโทษตามมาตรา 15 พ.ร.ฎ.พระราชทานอภัยโทษ พ.ศ.2555 ผู้ร้องก็มีอำนาจยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นที่มีอำนาจให้ปล่อยได้
พ.ร.ฎ.อภัยโทษ พ.ศ.2555 มาตรา 6 (2) (ง) เป็นบทบัญญัติที่อยู่ภายใต้บังคับมาตรา 8 หมายความว่า หากนักโทษเด็ดขาดรายใดไม่อยู่ในหลักเกณฑ์ได้รับพระราชทานอภัยโทษตามมาตรา 8 แล้ว จึงจะนำมาตรา 6 มาพิจารณาได้ เมื่อจำเลยเป็นนักโทษเด็ดขาดซึ่งได้กระทำความผิดตาม ป.อ. มาตรา 138 วรรคสอง ประกอบมาตรา 140 วรรคแรกและวรรคสาม อันเป็นความผิดตามบัญชีลักษณะความผิดท้าย พ.ร.ฎ.พระราชทานอภัยโทษ พ.ศ.2555 จึงเข้าหลักเกณฑ์ตามมาตรา 8 (2) ที่จะได้รับพระราชทานอภัยโทษให้ลดโทษแล้ว จำเลยจึงไม่ได้รับพระราชทานอภัยโทษให้ปล่อยตัวตามมาตรา 6 (2) (ง) อีก
คดีนี้ผู้ร้องในฐานะเป็นบุตรซึ่งถือเป็นญาติของจำเลยซึ่งกล่าวอ้างว่าจำเลยถูกคุมขังโดยมิชอบ แม้ผู้ร้องไม่ได้โต้แย้งการปฏิบัติหน้าที่ของคณะกรรมการซึ่งมีหน้าที่ตรวจสอบผู้ซึ่งได้รับพระราชทานอภัยโทษตามมาตรา 15 พ.ร.ฎ.พระราชทานอภัยโทษ พ.ศ.2555 ผู้ร้องก็มีอำนาจยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นที่มีอำนาจให้ปล่อยได้
พ.ร.ฎ.อภัยโทษ พ.ศ.2555 มาตรา 6 (2) (ง) เป็นบทบัญญัติที่อยู่ภายใต้บังคับมาตรา 8 หมายความว่า หากนักโทษเด็ดขาดรายใดไม่อยู่ในหลักเกณฑ์ได้รับพระราชทานอภัยโทษตามมาตรา 8 แล้ว จึงจะนำมาตรา 6 มาพิจารณาได้ เมื่อจำเลยเป็นนักโทษเด็ดขาดซึ่งได้กระทำความผิดตาม ป.อ. มาตรา 138 วรรคสอง ประกอบมาตรา 140 วรรคแรกและวรรคสาม อันเป็นความผิดตามบัญชีลักษณะความผิดท้าย พ.ร.ฎ.พระราชทานอภัยโทษ พ.ศ.2555 จึงเข้าหลักเกณฑ์ตามมาตรา 8 (2) ที่จะได้รับพระราชทานอภัยโทษให้ลดโทษแล้ว จำเลยจึงไม่ได้รับพระราชทานอภัยโทษให้ปล่อยตัวตามมาตรา 6 (2) (ง) อีก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3874/2556
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดพยายามกรรโชกทรัพย์ การบุกรุกเคหสถาน และการลดโทษทางอาญา
ขณะเกิดเหตุ ร้านเสริมสวยของผู้เสียหายที่ 1 ยังเปิดให้บริการอยู่ ประชาชนทั่วไปรวมทั้งจำเลยทั้งสองมีความชอบธรรมที่จะเข้าไปได้ ไม่ถือเป็นเคหสถาน ดังนั้น การที่จำเลยทั้งสองกับพวกเข้าไปในร้านดังกล่าวแล้วร่วมกันพยายามกรรโชก และใช้กำลังทำร้ายผู้เสียหายทั้งสอง จึงไม่เป็นความผิดฐานบุกรุกเคหสถาน