พบผลลัพธ์ทั้งหมด 3,024 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3109/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การส่งคำบังคับคดีไปยังภูมิลำเนาตามทะเบียน และการยกข้อต่อสู้ใหม่ในชั้นฎีกา
หนังสือรับรองจดทะเบียนห้างหุ้นส่วนของจำเลยระบุว่าจำเลยมีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่เลขที่34/5ซอยสุวิทย์ 2ถนนเพชรเกษม แขวงหนองค้างพูล เขตหนองแขม กรุงเทพมหานครเมื่อไม่ปรากฎว่าจำเลยได้จดทะเบียนเปลี่ยนแปลงที่ตั้งสำนักงานของจำเลยหรือแจ้งย้ายที่อยู่ใหม่แต่อย่างใดจึงต้องถือว่าจำเลยมีภูมิลำเนาตามหนังสือรับรองจดทะเบียนห้างหุ้นส่วนของหมายบังคับคดีให้แก่จำเลยณสถานที่ซึ่งได้จดทะเบียนไว้ตามหนังสือรับรองการจดทะเบียนดังกล่าวโดยวิธีปิดคำบังคับและปิดหมายบังคับคดีไว้ตามคำสั่งของศาลชั้นต้นแม้สถานที่นั้นจะเป็นบ้านร้างไม่มีคนอยู่ก็ตามก็ถือได้ว่ามีการส่งคำบังคับและหมายบังคับคดีให้แก่จำเลยโดยชอบแล้ว จำเลยฎีกาว่าในการส่งคำบังคับหมายบังคับคดีและประกาศต่างๆให้จำเลยเจ้าพนักงานบังคับคดีมิได้ประกาศหนังสือพิมพ์แต่อย่างใดจึงเป็นการบังคับคดีโดยมิชอบด้วยกฎหมายเพราะไม่ได้ใช้วิธีการโดยสมควรพอที่จะให้จำเลยทราบได้นั้นจำเลยไม่ได้กล่าวอ้างไว้ในคำร้องจึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์เป็นฎีกาที่ไม่ชอบตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา249วรรคหนึ่ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3091/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อจำกัดการฎีกาในคดีแพ่ง: ทุนทรัพย์พิพาทเกินสองแสนบาท
คดีที่ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์ ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษากลับให้จำเลยชำระเงิน 2 จำนวน คือจำนวน 149,512.88 บาท กับจำนวน62,248.90 บาท เมื่อรวมแล้วเป็นเงินจำนวน 211,761.78 บาท แม้จะเกินสองแสนบาท แต่ในคำพิพาษาของศาลอุทธรณ์ภาค 2 ได้วินิจฉัยยอมให้จำเลยหักค่าเช่าฉางและค่ากรรมกรขนข้าวที่โจทก์ค้างชำระแก่จำเลยออกก่อนเป็นจำนวน66,280.97 บาท จึงเท่ากับว่าทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาเหลือเพียง145,480.81 บาท คดีจึงต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคหนึ่ง
ในกรณีที่ศาลชั้นต้นพิพากษาให้โจทก์ชำระเงินแก่จำเลยตามฟ้องแย้งจำนวน 120,000.97 บาท พร้อมดอกเบี้ย ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษากลับให้ยกฟ้องแย้งจำเลย ฟ้องแย้งของจำเลยจึงมีจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกินสองแสนบาท คดีต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคหนึ่ง
ในกรณีที่ศาลชั้นต้นพิพากษาให้โจทก์ชำระเงินแก่จำเลยตามฟ้องแย้งจำนวน 120,000.97 บาท พร้อมดอกเบี้ย ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษากลับให้ยกฟ้องแย้งจำเลย ฟ้องแย้งของจำเลยจึงมีจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกินสองแสนบาท คดีต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคหนึ่ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3067/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อจำเลยไม่ยกขึ้นต่อสู้ในชั้นต้น ไม่อุทธรณ์ฎีกาไม่ได้
ข้อที่จำเลยร่วมยกขึ้นฎีกาเป็นข้อที่จำเลยร่วมมิได้ยกขึ้นต่อสู้ไว้ในคำให้การ จึงเป็นข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น ย่อมยกขึ้นอุทธรณ์ไม่ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 วรรคหนึ่งศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยจึงชอบแล้ว และเมื่อฎีกาของจำเลยร่วมดังกล่าวเป็นข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ จึงเป็นฎีกาที่ขัดต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3067/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาจำเลยร่วมอุทธรณ์ประเด็นใหม่ที่ไม่เคยยกขึ้นต่อสู้ในศาลชั้นต้น ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
ข้อที่จำเลยร่วมยกขึ้นฎีกาเป็นข้อที่จำเลยร่วมมิได้ยกขึ้นต่อสู้ไว้ในคำให้การจึงเป็นข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นย่อมยกขึ้นอุทธรณ์ไม่ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา225วรรคหนึ่งศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยจึงชอบแล้วและเมื่อฎีกาของจำเลยร่วมดังกล่าวเป็นข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์จึงเป็นฎีกาที่ขัดต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา249วรรคหนึ่ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 295/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อจำกัดการฎีกาเรื่องทุนทรัพย์และประเด็นใหม่ที่มิได้ยกขึ้นในศาลชั้นต้น
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยแบ่งที่ดินและบ้านพิพาท อ้างว่าเป็นมรดกของ น. ผู้ตาย โดยตีราคาที่ดินและบ้านเป็นจำนวนเงิน 1,600,000 บาทและ 300,000 บาท ตามลำดับ ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยแบ่งที่ดินพิพาทให้โจทก์จำนวน 203.81 ส่วน ใน 3,261 ส่วน และแบ่งบ้านพิพาทจำนวน 1 ใน16 ส่วน แก่โจทก์ จำเลยฎีกาว่า จำเลยไม่ต้องแบ่งให้โจทก์ตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ส่วนโจทก์ไม่ฎีกา ราคาที่ดินและบ้านที่พิพาทกันในชั้นฎีกาจึงมีเพียง99,998.77 บาท และ 18,750 บาท ตามลำดับ รวมแล้วเป็นราคาทรัพย์สินหรือจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกิน 200,000 บาท จึงต้องห้ามมิให้จำเลยฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248วรรคหนึ่ง ที่ใช้บังคับอยู่ในขณะจำเลยยื่นฎีกา
จำเลยฎีกาปัญหาข้อกฎหมายว่า ที่ดินส่วนของ บ. และ ศ.ที่จำเลยได้รับโอนมา จำเลยได้โอนคืนให้แก่ ศ. และบุตรของ บ. ก่อนโจทก์ฟ้องคดีนี้ ที่ดินที่โจทก์ฟ้องขอแบ่งเป็นทรัพย์สินของบุคคลอื่นแล้ว โจทก์จะมาฟ้องขอแบ่งจากจำเลยไม่ได้นั้น เป็นข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249วรรคหนึ่ง
จำเลยฎีกาปัญหาข้อกฎหมายว่า ที่ดินส่วนของ บ. และ ศ.ที่จำเลยได้รับโอนมา จำเลยได้โอนคืนให้แก่ ศ. และบุตรของ บ. ก่อนโจทก์ฟ้องคดีนี้ ที่ดินที่โจทก์ฟ้องขอแบ่งเป็นทรัพย์สินของบุคคลอื่นแล้ว โจทก์จะมาฟ้องขอแบ่งจากจำเลยไม่ได้นั้น เป็นข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249วรรคหนึ่ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 295/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อจำกัดการฎีกาเรื่องทุนทรัพย์และประเด็นใหม่ในชั้นฎีกา กรณีแบ่งมรดก
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยแบ่งที่ดินและบ้านพิพาทอ้างว่าเป็นมรดกของน. ผู้ตายโดยตีราคาที่ดินและบ้านเป็นจำนวนเงิน1,600,000บาทและ300,000บาทตามลำดับศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยแบ่งที่ดินพิพาทให้โจทก์จำนวน203.81ส่วนใน3,261ส่วนและแบ่งบ้านพิพาทจำนวน1ใน16ส่วนแก่โจทก์จำเลยฎีกาว่าจำเลยไม่ต้องแบ่งให้โจทก์ตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ส่วนโจทก์ไม่ฎีการาคาที่ดินและบ้านที่พิพาทกันในชั้นฎีกาจึงมีเพียง99,998.77บาทและ18,750บาทตามลำดับรวมแล้วเป็นราคาทรัพย์สินหรือจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกิน200,000บาทจึงต้องห้ามมิให้จำเลยฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา248วรรคหนึ่งที่ใช้บังคับอยู่ในขณะจำเลยยื่นฎีกา จำเลยฎีกาปัญหาข้อกฎหมายว่าที่ดินส่วนของบ.และศ. ที่จำเลยได้รับโอนมาจำเลยได้โอนคืนให้แก่ศ.และบุตรของบ. ก่อนโจทก์ฟ้องคดีนี้ที่ดินที่โจทก์ฟ้องขอแบ่งเป็นทรัพย์สินของบุคคลอื่นแล้วโจทก์จะมาฟ้องขอแบ่งจากจำเลยไม่ได้นั้นเป็นข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา249วรรคหนึ่ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2838/2538 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อจำกัดการฎีกาในข้อเท็จจริง, อุทธรณ์ที่ไม่ชอบ, และการใช้กฎหมายที่ไม่เกี่ยวข้องกับคดี
คดีนี้จำเลยฎีกาทั้งในข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย สำหรับฎีกาในข้อเท็จจริงมีทุนทรัพย์พิพาทกันในชั้นอุทธรณ์ไม่เกิน 50,000 บาท จึงต้องห้ามอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงตามมาตรา 224 วรรคหนึ่ง อีกทั้งผู้พิพากษาที่ได้พิจารณาคดีในศาลชั้นต้นมิได้รับรองให้อุทธรณ์ในข้อเท็จจริง จึงไม่อาจขึ้นมาสู่ศาลอุทธรณ์ได้ ดังนั้น ศาลฎีกาแม้ผู้พิพากษาที่ได้พิจารณาคดีในศาลชั้นต้นจะได้รับรองให้ฎีกาในข้อเท็จจริง คดีก็ไม่อาจขึ้นมาสู่ศาลฎีกาได้เพราะเป็นข้อเท็จจริงที่มิได้ยกขึ้นมาว่ากล่าวกันแล้วในศาลอุทธรณ์ไม่ชอบด้วย มาตรา 249 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย ส่วนที่จำเลยฎีกาว่า อุทธรณ์ของจำเลยได้โต้แย้งคำพิพากษาของศาลชั้นต้นโดยชัดแจ้งว่าโจทก์มิใช่บุตรของ ห. เพราะโจทก์ไม่มีเอกสารหลักฐานใดมาแสดงศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยจึงเป็นการมิชอบนั้นเป็นอุทธรณ์ที่ชัดแจ้ง แต่อุทธรณ์ของจำเลยดังกล่าวเป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงเพราะเป็นการอุทธรณ์โต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานคดี จึงไม่อาจขึ้นมาสู่ศาลอุทธรณ์ได้ ส่วนที่จำเลยฎีกาว่าเป็นบุตรที่ชอบด้วยกฎหมายจะต้องมีเอกสารมาแสดงโดยจำเลยยกเอา ป.พ.พ.มาตรา 1555 ว่าด้วยการฟ้องคดีขอให้รับรองบุตรมาอ้างนั้น เห็นว่า คดีนี้มิใช่เป็นคดีฟ้องขอให้รับรองบุตรจึงนำบทกฎหมายดังกล่าวมาใช้บังคับมิได้ และที่จำเลยฎีกาว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเพราะโจทก์มิใช่ผู้จัดการมรดกของ ห. นั้น จำเลยมิได้ให้การไว้จึงเป็นข้อที่มิได้ว่ากล่าวกันมาแล้วในศาลชั้นต้น ศาลฎีกาไม่วินิจฉัย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2838/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาไม่รับวินิจฉัยข้อเท็จจริงเนื่องจากทุนทรัพย์พิพาทน้อยกว่า 50,000 บาท แม้ศาลชั้นต้นรับรองให้ฎีกา
คดีที่มีทุนทรัพย์พิพาทกันในชั้นอุทธรณ์ไม่เกิน50,000บาทต้องห้ามอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา224วรรคหนึ่งแม้ผู้พิพากษาที่ได้พิจารณาในศาลชั้นต้นจะรับรองให้ฎีกาในข้อเท็จจริงก็ไม่อาจฎีกาได้เพราะเป็นข้อเท็จจริงที่มิได้ยกขึ้นว่ากันแล้วในศาลอุทธรณ์ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา249วรรคหนึ่งศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2838/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อจำกัดการอุทธรณ์และฎีกาในคดีมรดก: ทุนทรัพย์, การรับรอง, และประเด็นข้อเท็จจริงที่ยังมิได้ว่ากล่าว
จำเลยฎีกาทั้งในข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายสำหรับฎีกาในข้อเท็จจริงมีทุนทรัพย์พิพาทกันในชั้นอุทธรณ์ไม่เกิน50,000บาทจึงต้องห้ามอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงตามมาตรา224วรรคหนึ่งอีกทั้งผู้พิพากษาที่ได้พิจารณาคดีในศาลชั้นต้นมิได้รับรองให้อุทธรณ์ในข้อเท็จจริงจึงไม่อาจขึ้นมาสู่ศาลอุทธรณ์ได้ดังนั้นแม้ผู้พิพากษาที่ได้พิจารณาคดีในศาลชั้นต้นจะได้รับรองให้ฎีกาในข้อเท็จจริงคดีก็ไม่อาจขึ้นมาสู่ศาลฎีกาได้เพราะเป็นข้อเท็จจริงที่มิได้ยกขึ้นมาว่ากล่าวกันมาแล้วในศาลอุทธรณ์ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา249วรรคหนึ่งศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย ส่วนที่จำเลยฎีกาว่าอุทธรณ์ของจำเลยได้โต้แย้งคำพิพากษาของศาลชั้นต้นโดยชัดแจ้งว่าโจทก์มิใช่บุตรของห.เพราะโจทก์ไม่มีเอกสารหลักฐานใดมาแสดงศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยจึงเป็นการมิชอบนั้นเห็นว่าเป็นอุทธรณ์ที่ชัดแจ้งแต่อุทธรณ์ของจำเลยดังกล่าวเป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงเพราะเป็นการอุทธรณ์โต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลคดีจึงไม่อาจขึ้นมาสู่ศาลอุทธรณ์ได้ ที่จำเลยฎีกาว่าการอ้างว่าเป็นบุตรที่ชอบด้วยกฎหมายจะต้องมีเอกสารมาแสดงโดยจำเลยยกเอาประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1555ว่าด้วยการฟ้องคดีขอให้รับรองบุตรมาอ้างนั้นเห็นว่าคดีนี้มิใช่เป็นคดีฟ้องขอให้รับรองบุตรจึงนำบทกฎหมายดังกล่าวมาใช้บังคับมิได้และที่จำเลยฎีกาว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเพราะโจทก์มิใช่ผู้จัดการมรดกของห. นั้นจำเลยมิได้ให้การไว้จึงเป็นข้อที่มิได้ว่ากล่าวกันมาแล้วในศาลชั้นต้นศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2787/2538 เวอร์ชัน 4 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การสละประเด็นข้อพิพาทในศาลชั้นต้น ทำให้ฎีกาเรื่องประเด็นที่มิได้ว่ากล่าวกันในศาลล่างต้องห้าม
ในชั้นชี้สองสถานศาลชั้นต้นได้กำหนดประเด็นข้อพิพาทไว้เพียงประเด็นเดียวเท่านั้น ไม่มีประเด็นเกี่ยวกับเรื่องจำเลยได้สิทธิครอบครอง และโจทก์ขอออกโฉนดที่ดินโดยไม่ชอบ และไม่ปรากฏว่าจำเลยคัดค้านการที่ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นดังกล่าว จึงถือว่าจำเลยพอใจในประเด็นที่ศาลชั้นต้นกำหนดไว้เพียงประเด็นเดียว แม้จำเลยได้ให้การต่อสู้ไว้จริงดังที่จำเลยฎีกา ก็ถือว่าจำเลยสละประเด็นเรื่องจำเลยได้สิทธิครอบครองและโจทก์ขอออกโฉนดที่ดินโดยไม่ชอบแล้วเท่ากับว่าประเด็นนี้ไม่ได้ว่ากล่าวกันมาในศาลชั้นต้น ฎีกาจำเลยจึงเป็นข้อที่มิได้ว่ากล่าวกันมาโดยชอบในศาลล่างทั้งสอง ต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่ง