คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
สัญญาซื้อขาย

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 2,003 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3007/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิริบเงินมัดจำและค่าตอบแทนการขยายเวลาสัญญาซื้อขายที่ดินเมื่อผู้ซื้อผิดสัญญา
การที่คู่สัญญาได้ระบุเงินมัดจำจำนวน 400,000 บาท ไว้ในสัญญาจะซื้อขายที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้าง และจำเลยที่ 1 ได้รับเงินมัดจำจำนวนดังกล่าวแล้วเงินค่าตอบแทนเพื่อขยายเวลาโอนดังกล่าวจึงมิใช่เงินมัดจำและถือได้ว่าเป็นเงินที่โจทก์เจตนาชำระเป็นราคาทรัพย์ที่จะซื้อบางส่วน เมื่อจำเลยที่ 1 บอกเลิกสัญญาเพราะโจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญาเนื่องจากโจทก์ไม่ชำระหนี้ภายในกำหนดตามสัญญา จำเลยที่ 1 ย่อมมีสิทธิริบเงินมัดจำจำนวน 400,000 บาทได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 378(2) และคู่สัญญาต้องกลับคืนสู่ฐานะเดิม โดยจำเลยที่ 1 ต้องคืนเงินจำนวน 600,000บาท ดังกล่าวแก่โจทก์ หากจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 5 ได้รับความเสียหายก็มีสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายได้ตามมาตรา 391 วรรคหนึ่งและวรรคสี่ แต่จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 5 ไม่ได้ฟ้องแย้งเรียกค่าเสียหายจากโจทก์แต่อย่างใด จึงไม่มีสิทธิริบเงินค่าตอบแทนเพื่อขยายเวลาโอน ซึ่งมิใช่มัดจำจำนวน 600,000 บาท ที่รับไว้จากโจทก์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2996/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อายุความฟ้องแย้งเรียกค่าเสียหายจากสัญญาซื้อขาย: ใช้มาตรา 164 (10 ปี) ไม่ใช่มาตรา 467 (1 ปี)
อายุความ 1 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 467เป็นกรณีที่ผู้ขายส่งมอบทรัพย์สินให้แก่ผู้ซื้อแล้วปรากฏต่อมาว่าทรัพย์สินนั้นขาดตกบกพร่องหรือล้ำจำนวน การเรียกร้องให้ผู้ขายรับผิดจึงจะอยู่ในบังคับแห่งบทบัญญัติมาตรานี้ แต่กรณีที่ผู้ซื้อขอให้ผู้ขายชำระเบี้ยปรับฐานผิดสัญญาไม่ส่งมอบสินค้าให้ผู้ซื้อภายในกำหนดเวลาตามสัญญาซื้อขายและให้ผู้ขายรับผิดในราคาสินค้าที่ผู้ซื้อต้องไปซื้อชดเชยจากบุคคลอื่นในจำนวนที่เพิ่มขึ้น นั้นไม่มีกฎหมายกำหนดอายุความไว้โดยเฉพาะ จึงต้องใช้อายุความทั่วไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 164 คือ มีกำหนด 10 ปี

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2879/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิผู้ทรงเช็คคืน - อายุความสัญญาซื้อขายลดเช็ค - การแปลงหนี้
เช็คอันสั่งให้ใช้เงินแก่ผู้ถือย่อมโอนให้แก่กันโดยการส่งมอบเมื่อโจทก์ได้รับเช็คไว้ในครอบครอง โจทก์จึงเป็นผู้ทรงตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 904 แม้โจทก์จะสลักหลังโอนเช็คให้แก่บริษัท ท.และบริษัทท. นำเช็คไปเรียกเก็บเงินจากธนาคารไม่ได้ ซึ่งถือว่าบริษัท ท. เป็นผู้เสียหายในขณะเช็คถูกปฏิเสธการจ่ายเงิน โจทก์ไม่ใช่ผู้เสียหายก็ตาม แต่เมื่อโจทก์ได้รับเช็คคืนมา โจทก์ก็ย่อมมีสิทธิเช่นเดียวกับผู้ทรงในการที่จะบังคับเอาแก่ผู้ที่มีความผูกพันอยู่แล้วก่อนตนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 967 วรรคสาม ประกอบมาตรา 989วรรคแรก โจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง โจทก์ฟ้องคดีนี้อันเนื่องมาจากสัญญาซื้อขายลดเช็คที่จำเลยที่ 1ทำไว้กับโจทก์ จึงมีอายุความฟ้องร้อง 10 ปี คดีโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ และเมื่อโจทก์ยังไม่ได้รับเงินตามเช็คเพราะธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน หนี้จึงไม่ระงับไปตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 321 วรรคสาม

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2878/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เบี้ยปรับจากสัญญาซื้อขาย: ดอกเบี้ยร้อยละ 24 ต่อปี ไม่ขัดกฎหมายห้ามดอกเบี้ยเกินอัตรา ศาลมีอำนาจลดเบี้ยปรับได้
สัญญาซื้อขายสินค้ามีข้อตกลงว่า หากจำเลยผู้ซื้อผิดสัญญาไม่ชำระค่าสินค้า จำเลยยอมชำระดอกเบี้ยและค่าติดตามทวงถามในอัตราร้อยละ 2 ต่อเดือน หรือร้อยละ 24 ต่อปี เมื่อมิใช่สัญญากู้ยืมเงิน จึงไม่อยู่ในบังคับแห่งพระราชบัญญัติห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา พ.ศ. 2475 จึงมีผลใช้บังคับได้ แต่ข้อตกลงดังกล่าวมีลักษณะเป็นการทำสัญญากำหนดค่าเสียหายไว้ล่วงหน้าเสมือนเบี้ยปรับ ซึ่งศาลมีอำนาจใช้ดุลพินิจลดลงได้ตามที่เห็นสมควร

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2688/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เบี้ยปรับล่วงหน้าในสัญญาซื้อขาย การลดเบี้ยปรับ และการริบเงินค้ำประกัน
โจทก์จำเลยทำสัญญาซื้อขายครุภัณฑ์หลายรายการ จำเลยผิดสัญญาส่งมอบแม่แรงมีคุณสมบัติไม่ตรงตามสัญญา โจทก์บอกเลิกสัญญารายการนี้ธนาคารกรุงเทพ จำกัด ผู้ออกหนังสือค้ำประกันการปฏิบัติตามสัญญาได้ส่งมอบเงินตามหนังสือค้ำประกันแก่โจทก์แล้ว แม้สัญญาซื้อขายครุภัณฑ์ ข้อ 4 จะกำหนดให้ผู้ซื้อมีสิทธิริบเงินตามหนังสือค้ำประกันได้ในกรณีผู้ขายละเมิดหรือไม่ปฏิบัติตามสัญญา ข้อกำหนดแห่งสัญญาข้อนี้ก็เป็นวิธีการกำหนดค่าเสียหายวิธีหนึ่ง มีลักษณะเป็นการกำหนดเบี้ยปรับไว้เป็นการล่วงหน้า หากกำหนดไว้สูงเกินส่วนศาลก็ชอบที่จะลดลงเป็นจำนวนพอสมควรได้ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 383 ปรากฏว่าจำเลยผิดสัญญาส่งมอบครุภัณฑ์ไม่ถูกต้องเฉพาะแม่แรงรายการเดียว และโจทก์ได้ใช้สิทธิเรียกค่าปรับในกรณีส่งมอบของล่าช้าตามสัญญาข้อ 8 และข้อ 9 จากจำเลยแล้วไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้รับความเสียหายอย่างใดจากการผิดสัญญาซื้อขายรายการนี้เป็นพิเศษ จึงไม่ชอบที่จะริบเงินตามหนังสือค้ำประกันสัญญาไว้ทั้งหมด

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2574/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาซื้อขายที่ดิน, การผิดสัญญา, การเลิกสัญญา, การคืนสภาพเดิม
การที่โจทก์จำเลยทำหนังสือสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินโดยกำหนดวันที่จำเลยผู้จะขายจะไปจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ให้แก่โจทก์ผู้จะซื้อไว้ แต่เมื่อถึงกำหนดการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ตามสัญญาดังกล่าวแล้ว ไม่ปรากฏหลักฐานว่าฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดทวงถามให้มีการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดิน จำเลยก็รับเงินค่าที่ดินจากโจทก์เพิ่มขึ้นอีก โจทก์จำเลยปล่อยล่วงเวลามานานเช่นนี้แสดงว่าคู่กรณีไม่ถือเอาเวลาตามที่กำหนดไว้เป็นสาระสำคัญ เมื่อจำเลยมีหนังสือบอกกล่าวให้โจทก์ไปรับโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินและชำระราคาที่ดินที่ค้าง โดยกำหนดเวลาตามสมควรแล้วโจทก์ไม่ไปตามนัด โจทก์จึงเป็นฝ่ายผิดสัญญา และสัญญาเป็นอันเลิกกันตามที่จำเลยบอกกล่าว คู่กรณีต้องกลับคืนสู่ฐานะเดิม โดยโจทก์ต้องคืนที่ดินให้แก่จำเลย และจำเลยมีสิทธิริบเงินมัดจำแต่ต้องคืนค่าที่ดินที่ได้รับล่วงหน้าให้แก่โจทก์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2489/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาซื้อขายมีเงื่อนไข และดอกเบี้ยผิดนัดชำระหนี้ ศาลฎีกาพิพากษาตามอัตราดอกเบี้ยที่ตกลงกันในสัญญา
สัญญาซื้อขายรถยนต์พิพาทระบุว่ากรรมสิทธิ์จะตกแก่ผู้ซื้อต่อเมื่อชำระราคาเป็นงวด ๆ ตามที่กำหนดไว้ครบถ้วนแล้ว จึงเป็นสัญญาซื้อขายมีเงื่อนไขกรรมสิทธิ์ในรถยนต์พิพาทยังไม่โอนเป็นของผู้ซื้อจนกว่าจะชำระราคาครบถ้วนตามงวด เมื่อจำเลยที่ 1 ผิดนัดไม่ชำระราคาตามงวดโจทก์ได้เข้าครอบครองรถยนต์พิพาทนำมาขายทอดตลาด ขายแล้วได้เงินไม่ครบโจทก์จึงเรียกเงินราคาค่ารถยนต์ที่ยังขาดอยู่จากจำเลยที่ 1 ตามที่กำหนดไว้ในสัญญา ดังนี้เงินจำนวนดังกล่าวไม่มีข้อสัญญาข้อใดกำหนดให้ถือเป็นค่าเสียหาย และจำนวนเงินนั้นก็คือเงินราคารถยนต์ตามสัญญาซื้อขายนั่นเอง จึงจะถือเป็นเบี้ยปรับที่กำหนดไว้ล่วงหน้าและสูงเกินไปไม่ได้ สัญญาระบุว่าในกรณีที่ผู้ซื้อผิดนัดไม่ชำระเงินงวดต่าง ๆ ตามกำหนดที่ระบุไว้ในสัญญาหรือผิดนัดไม่ชำระหนี้ใด ๆ ในสัญญา ผู้ซื้อยอมเสียดอกเบี้ยให้แก่ผู้ขายอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ดังนี้เงินราคารถยนต์ที่ขาดก็คือเงินต่าง ๆ ที่กำหนดในสัญญานั้นเอง จำเลยที่ 1ต้องเสียดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปีตามสัญญาไม่ใช่ร้อยละ 7.5ต่อปี

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2489/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาซื้อขายมีเงื่อนไขและผลของการผิดนัดชำระหนี้: สิทธิของผู้ขายในการขายทอดตลาดและเรียกเงินขาด
สัญญาซื้อขายรถยนต์พิพาทมีเงื่อนไขระบุว่ากรรมสิทธิ์ในรถยนต์พิพาทยังไม่โอนเป็นของผู้ซื้อ จนกว่าจะชำระราคาครบถ้วนตามงวดที่กำหนดไว้ในสัญญาซื้อขายย่อมใช้บังคับได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 459 และในสัญญาซื้อขายระบุว่าหากผู้ซื้อผิดนัดไม่ชำระราคาตามงวด ผู้ขายมีสิทธิเข้าครอบครองรถยนต์พิพาทและย่อมมีสิทธิขายทอดตลาดได้ด้วยและเมื่อขายแล้วได้เงินไม่พอ ผู้ซื้อยอมชดใช้เงินจำนวนที่ขาดอยู่ เมื่อผู้ซื้อผิดนัดไม่ชำระราคาและผู้ขายดำเนินการเอารถยนต์พิพาทออกขายทอดตลาดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 470 และ 471แล้ว ยังขาดเงินอีก 55,260 บาท ผู้ซื้อและผู้ค้ำประกันต้องรับผิด เพราะถือว่าเป็นเงินราคารถยนต์พิพาทที่ขาดอยู่ และเงินจำนวนดังกล่าวนี้ไม่มีข้อใดในสัญญากำหนดให้ถือเป็นค่าเสียหายจึงมิใช่เบี้ยปรับ สัญญาซื้อขายข้อ 6 วรรคสองระบุว่าในกรณีที่ผู้ซื้อผิดนัดไม่ชำระเงินงวดต่าง ๆ ตามกำหนดที่ระบุไว้ในสัญญา หรือผิดนัดไม่ชำระหนี้ใด ๆ ในสัญญานี้ ผู้ซื้อยินยอมเสียดอกเบี้ยให้แก่ผู้ขายอัตราร้อยละ 15 ต่อปี เงินจำนวน 55,260 บาท ซึ่งเป็นเงินราคารถยนต์พิพาทที่ขาดอยู่ก็คือเงินงวดต่าง ๆ ที่เกิดจากการที่ผู้ซื้อผิดนัดไม่ชำระให้โจทก์ตามงวดที่กำหนดไว้ในสัญญาผู้ขายจึงมีสิทธิคิดดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี จากผู้ซื้อได้ตามสัญญา

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2354/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ผู้จัดการร้านไม่ใช่คู่สัญญาซื้อขาย: ไม่ต้องรับผิดในสัญญาที่จำเลยที่ 1 ผิด
จำเลยที่ 2 เป็นผู้จัดการร้านจำเลยที่ 1 จึงมีฐานะเป็นเพียงผู้กระทำกิจการร้านค้าแทนจำเลยที่ 1 ไม่ใช่คู่สัญญาซื้อขายกับโจทก์การที่จำเลยที่ 1 ผิดสัญญาซื้อขาย จำเลยที่ 2 ก็ไม่ต้องร่วมรับผิดโจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องขอบังคับให้จำเลยที่ 2 ชำระหนี้ตามฟ้องได้ปัญหานี้แม้จำเลยที่ 2 จะไม่ได้ให้การต่อสู้และไม่ได้อุทธรณ์ฎีกาขึ้นมาแต่เป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน และศาลฎีกาเห็นสมควรหยิบยกขึ้นวินิจฉัย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1711/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ งดบังคับคดีรอผลคดีเพิกถอนสัญญาซื้อขายและประนีประนอมเมื่อมีข้อพิพาทเรื่องสินสมรส
ที่ดินพิพาทเป็นสินสมรสระหว่างจำเลยกับภริยาจำเลย แต่จำเลยกลับทำสัญญาจะซื้อขายที่ดินพิพาทและสัญญาประนีประนอมยอมความในศาลกับโจทก์โดยมิได้รับความยินยอมจากภริยาจำเลยก่อน ต่อมาจำเลยไม่ปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความ ศาลชั้นต้นออกหมายบังคับคดีระหว่างการบังคับคดีภริยาจำเลยฟ้องโจทก์และจำเลยให้เพิกถอนสัญญาจะซื้อขายที่ดินและสัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าว ดังนี้ศาลชอบที่จะใช้ดุลพินิจสั่งงดการบังคับคดีไว้ได้เพื่อรอฟังผลคดีที่ภริยาจำเลยฟ้องโจทก์และจำเลยก่อน
of 201