พบผลลัพธ์ทั้งหมด 2,045 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1257/2534
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเลิกจ้างเนื่องจากเกษียณอายุเข้าข่ายเป็นการเลิกจ้างตามกฎหมายแรงงานงาน แม้เป็นการพ้นจากตำแหน่งโดยผลของกฎหมาย
พระราชบัญญัติคุณสมบัติมาตรฐานสำหรับกรรมการและพนักงานรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. 2518 มาตรา 9,11 ที่แก้ไขแล้วบัญญัติว่าพนักงานรัฐวิสาหกิจที่มีอายุครบหกสิบปีบริบูรณ์ถือว่าขาดคุณสมบัติและเป็นอันพ้นจากตำแหน่งนั้น เป็น การ กำหนดคุณสมบัติโดยทั่ว ๆ ไปของพนักงานและเป็น บทบัญญัติให้รัฐวิสาหกิจผู้เป็นนายจ้างถือปฏิบัติเป็นแนวเดียวกันเท่านั้นส่วนจะเป็นการเลิกจ้างหรือ ไม่ต้องพิจารณาตามประกาศกระทรวงมหาดไทยเรื่อง การคุ้มครองแรงงาน ข้อ 46 ซึ่งได้ให้ความหมายของคำว่าการเลิกจ้างไว้ว่า การที่นายจ้างให้ลูกจ้างออกจากงานปลดออกจากงาน หรือไล่ออกจากงานโดยที่ลูกจ้างไม่ได้กระทำความผิดตามข้อ 47 อันหมายถึงการที่ให้นายจ้าง ให้ลูกจ้างออกจากงานไม่ว่ากรณีใด ๆ โดยลูกจ้างไม่ได้กระทำความผิดที่ระบุไว้ ดังนั้น การที่จำเลยให้โจทก์ทุกคนพ้นจากตำแหน่งตามพระราชบัญญัติดังกล่าวเพราะเกษียณอายุ จึงเป็นการเลิกจ้างตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน ดังกล่าว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1134/2534
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม: ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยอุทธรณ์ปัญหาข้อเท็จจริง และการโต้เถียงดุลพินิจการรับฟังพยาน
ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์กระทำการฝ่าฝืนระเบียบหรือคำสั่งของจำเลยในกรณีร้ายแรง จำเลยจึงมีสิทธิเลิกจ้างโจทก์โดยไม่ถือว่าเป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมเท่ากับศาลแรงงานกลางได้วินิจฉัยแล้วว่า คำสั่งของจำเลยซึ่งลงนามโดยหัวหน้ากองอำนาจการผู้รับมอบอำนาจเป็นคำสั่งที่ถูกต้อง อุทธรณ์ของโจทก์ที่ว่าคำสั่งของจำเลยเป็นคำสั่งที่ไม่ถูกต้องจึงเป็นอุทธรณ์โต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอันเป็นปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 54
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1108/2534 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเลิกจ้างลูกจ้างที่เมาสุราขณะปฏิบัติงาน ถือเป็นการฝ่าฝืนระเบียบร้ายแรง นายจ้างเลิกจ้างได้โดยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชย
ระเบียบข้อบังคับของนายจ้างที่กำหนดว่า "ห้ามพนักงานดื่ม หรือเสพสุราเครื่องดอง ของเมา หรือยาเสพติดใด ๆ ในขณะปฏิบัติงานหรือในบริเวณโรงงานหรือบริษัท... โดยมิได้รับอนุญาตจากฝ่ายบริหารเป็นอันขาด ผู้ใดฝ่าฝืนถือเป็นความผิด" นั้น มีความมุ่งหมายที่จะห้ามมิให้พนักงานมึนเมาสุราในขณะปฏิบัติงานเพื่อไม่ให้เกิดความเสียหายแก่กิจการของนายจ้างและผู้ปฏิบัติงานในสถานที่ทำงานของนายจ้าง ดังนั้น การที่ลูกจ้างออกไปดื่ม สุราหรือเครื่องดอง ของเมาข้างนอกบริษัทและเมาสุรากลับเข้าไปทำงานในโรงงานหรือบริษัทย่อมถือได้ว่าลูกจ้างเมาสุราในขณะปฏิบัติงาน เป็นการฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับดังกล่าว งานขับรถเครน ยกของหนักที่ลูกจ้างทำต้องใช้ความระมัดระวังอย่างสูงและเคยมีอุบัติเหตุเกี่ยวกับเครน ทำให้พนักงานได้รับบาดเจ็บสาหัส เมื่อปรากฏว่าลูกจ้างเมาสุราเข้ามาปฏิบัติงานซึ่งต้องใช้ความระมัดระวังอย่างสูง การกระทำของลูกจ้างดังกล่าวถือว่าเป็นการฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับในกรณีร้ายแรง ตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน ข้อ 47(3) นายจ้างย่อมเลิกจ้างได้โดยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยและไม่จำต้องตักเตือนเป็นหนังสือก่อน ทั้งมิพักต้องบอกกล่าวล่วงหน้าตาม ป.พ.พ. มาตรา 583 เมื่อการกระทำของลูกจ้างเป็นการฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับเป็นกรณีร้ายแรง การที่นายจ้างเลิกจ้างลูกจ้างย่อมมีเหตุอันสมควร ไม่ใช่การเลิกจ้างไม่เป็นธรรม.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1108/2534
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเลิกจ้างลูกจ้างที่เมาสุราเข้าทำงานในโรงงาน ถือเป็นการฝ่าฝืนระเบียบร้ายแรง เลิกจ้างได้โดยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชย
ระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของจำเลยกำหนดว่า ห้ามพนักงานดื่มหรือเสพสุราในขณะปฏิบัติงานหรือในบริเวณโรงงานหรือบริษัทโดยมิได้รับอนุญาตจากฝ่ายบริหารเป็นอันขาดผู้ใดฝ่าฝืนถือเป็นความผิดทางวินัยอย่างร้ายแรง ระเบียบข้อบังคับดังกล่าวมีความมุ่งหมายที่จะห้ามมิให้พนักงานมึนเมาสุราในขณะปฏิบัติงาน เพื่อไม่ให้เกิดความเสียหายแก่กิจการของจำเลยและผู้ปฏิบัติงานในสถานที่ทำงานของจำเลย การที่โจทก์ออกไปดื่มสุราข้างนอกบริษัทแล้วเมาสุรากลับเข้าไปทำงานในโรงงานหรือบริษัท ย่อมถือได้ว่าโจทก์เมาสุราในขณะปฏิบัติงานนั่นเองอันเป็นการฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับดังกล่าวและเมื่อลักษณะงานของโจทก์เป็นงานขับรถเครน ยกของหนักซึ่งโจทก์ต้องใช้ความระมัดระวังอย่างสูง ทั้งเคยมีอุบัติเหตุเกี่ยวกับเครนทำให้พนักงานของจำเลยได้รับบาดเจ็บสาหัสการกระทำของโจทก์จึงเป็นการฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับในกรณีร้ายแรง จำเลยเลิกจ้างโจทก์ได้โดยไม่ต้องตักเตือนเป็นหนังสือก่อน ไม่ต้องบอกกล่าวล่วงหน้าไม่ต้องจ่ายค่าชดเชย และไม่ใช่การเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 97/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเลิกจ้างลูกจ้างป่วย: สิทธิค่าชดเชยเมื่อเหตุป่วยมิใช่ข้อยกเว้นตามประกาศกระทรวงแรงงาน
ตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงานได้กำหนดว่านายจ้างไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยให้แก่ลูกจ้าง เมื่อลูกจ้างกระทำการกรณีใดกรณีหนึ่งตามข้อ 47(1)-(6) แต่กรณีของ บ.ลูกจ้างของจำเลยป่วยไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่การงานได้ตาม ปกตินั้น เป็นเหตุเกิดตามสภาพร่างกายโดยธรรมชาติ ถือไม่ได้ว่า บ.กระทำการเข้าข้อยกเว้นข้อหนึ่งข้อใดตามประกาศข้อ 47 ดังกล่าวดังนี้เมื่อจำเลยเลิกจ้าง บ. ด้วยเหตุป่วยดังกล่าว บ. จึงมีสิทธิได้รับค่าชดเชย.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 97/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเลิกจ้างลูกจ้างเนื่องจากป่วย: สิทธิในการได้รับค่าชดเชยแม้มีข้อบังคับการลา
ตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน ได้กำหนดว่านายจ้างไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยให้แก่ลูกจ้างเมื่อลูกจ้างได้กระทำการอย่างใดอย่างหนึ่งตามข้อ 47(1)-(6) แต่กรณีของ บ. ลูกจ้างของจำเลยซึ่งป่วยไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่การงานได้ตามปกตินั้นเป็นเหตุที่เกิดขึ้นตามสภาพร่างกายโดยธรรมชาติ ถือไม่ได้ว่าบ. กระทำการอันเข้าข้อยกเว้นตามข้อ 47 ของประกาศดังกล่าวดังนี้ เมื่อจำเลยเลิกจ้าง บ. ด้วยเหตุป่วย บ. จึงมีสิทธิได้รับค่าชดเชย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 964/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเลิกจ้างลูกจ้างที่กระทำผิดระเบียบข้อบังคับ นายจ้างต้องตักเตือนเป็นหนังสือเว้นแต่กรณีร้ายแรง การทำร้ายร่างกายที่ไม่ร้ายแรงไม่ถือเป็นเหตุเลิกจ้างโดยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชย
ระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของจำเลยซึ่ง เป็นนายจ้างที่กำหนดให้จำเลยเลิกจ้างลูกจ้างผู้ก่อเหตุทะเลาะวิวาท ทำร้ายร่างกายกันนั้น ต้อง อยู่ภายใต้บังคับของประกาศกระทรวงมหาดไทยเรื่องคุ้มครองแรงงาน ข้อ 47(3) โจทก์ลูกจ้างทำร้าย บ. แต่ไม่เป็นเหตุให้ บ. ได้ รับอันตรายแก่กายและจิตใจ เกิดเหตุในห้องครัว ไม่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อ ชื่อเสียงของจำเลยไม่เป็นการฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับกรณีที่ร้ายแรง เมื่อจำเลยเลิกจ้างโจทก์โดย มิได้ตักเตือน เป็นหนังสือก่อน ดังนี้ จำเลยต้อง จ่ายค่าชดเชยให้โจทก์.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 768/2533 เวอร์ชัน 4 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมและการดำเนินการทางวินัยของลูกจ้างภายใต้ข้อตกลงสภาพการจ้างและกฎหมายแรงงาน
ข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างให้ลูกจ้างหยุดพักรับประทานอาหารตั้งแต่เวลา 9-10.30 นาฬิกา โดยไม่ได้กำหนดเวลาแน่นอนว่าลูกจ้างคนใดจะต้องหยุดพักรับประทานอาหารในเวลาใด ต่อมานายจ้างมีคำสั่งกำหนดเวลารับประทานอาหารแก่ลูกจ้างเป็นเวลาแน่นอน โดยแบ่งเป็นกลุ่มกลุ่มละ 30 นาที โดยกำหนดตามเวลาในข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างดังกล่าว เพื่อเป็นระเบียบในการทำงานโดยไม่ได้ยกเลิกหรือเปลี่ยนแปลงเวลาใหม่ ดังนี้ นายจ้างย่อมมีอำนาจออกคำสั่งให้ลูกจ้างปฏิบัติตามได้ ถือว่าเป็นอำนาจในการบริหาร หาใช่เป็นการเปลี่ยนแปลงข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างที่จะต้องมีการแจ้งข้อเรียกร้องตามพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518 มาตรา 13 ไม่
ลูกจ้างมีหน้าที่คุมเครื่องปั่นด้าย ได้ละทิ้งหน้าที่ไปรับประทานอาหารก่อนเวลาที่กำหนดเป็นเวลาครึ่งชั่วโมง โดยไม่มีผู้อื่นมาคุมเครื่องแทน เป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหายโดยด้ายขาดและพันเครื่อง ต้องหยุดเครื่องปั่นด้ายเพื่อต่อด้ายใหม่แต่ความเสียหายที่โจทก์ได้รับเป็นความเสียหายปกติธรรมดาที่เกิดขึ้นจากความผิดพลาดในการทำงาน การละทิ้งหน้าที่ของลูกจ้างดังกล่าวจึงไม่ใช่ความผิดร้ายแรง โจทก์ไม่อาจเลิกจ้างได้โดยไม่เคยตักเตือนเป็นหนังสือมาก่อนตามพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518 มาตรา 123(3) คำสั่งเลิกจ้างของโจทก์จึงเป็นการกระทำอันไม่เป็นธรรม
บทบัญญัติมาตรา 41(4) แห่งพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518 หาได้จำกัดว่าคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์จะมีคำสั่งได้เพียงอย่างใดอย่างหนึ่งเท่านั้น เพราะข้อความตอนท้ายบัญญัติให้อำนาจแก่คณะกรรมการสั่งให้ผู้ฝ่าฝืนปฏิบัติหรือไม่ปฏิบัติอย่างใดอย่างหนึ่งได้ตามที่เห็นสมควร คณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์จึงมีอำนาจสั่งให้นายจ้างรับลูกจ้างกลับเข้าทำงานพร้อมทั้งชดใช้ค่าเสียหายด้วยได้
ลูกจ้างมีหน้าที่คุมเครื่องปั่นด้าย ได้ละทิ้งหน้าที่ไปรับประทานอาหารก่อนเวลาที่กำหนดเป็นเวลาครึ่งชั่วโมง โดยไม่มีผู้อื่นมาคุมเครื่องแทน เป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหายโดยด้ายขาดและพันเครื่อง ต้องหยุดเครื่องปั่นด้ายเพื่อต่อด้ายใหม่แต่ความเสียหายที่โจทก์ได้รับเป็นความเสียหายปกติธรรมดาที่เกิดขึ้นจากความผิดพลาดในการทำงาน การละทิ้งหน้าที่ของลูกจ้างดังกล่าวจึงไม่ใช่ความผิดร้ายแรง โจทก์ไม่อาจเลิกจ้างได้โดยไม่เคยตักเตือนเป็นหนังสือมาก่อนตามพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518 มาตรา 123(3) คำสั่งเลิกจ้างของโจทก์จึงเป็นการกระทำอันไม่เป็นธรรม
บทบัญญัติมาตรา 41(4) แห่งพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518 หาได้จำกัดว่าคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์จะมีคำสั่งได้เพียงอย่างใดอย่างหนึ่งเท่านั้น เพราะข้อความตอนท้ายบัญญัติให้อำนาจแก่คณะกรรมการสั่งให้ผู้ฝ่าฝืนปฏิบัติหรือไม่ปฏิบัติอย่างใดอย่างหนึ่งได้ตามที่เห็นสมควร คณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์จึงมีอำนาจสั่งให้นายจ้างรับลูกจ้างกลับเข้าทำงานพร้อมทั้งชดใช้ค่าเสียหายด้วยได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 768/2533 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมและการคุ้มครองลูกจ้างที่เป็นสมาชิกสหภาพแรงงานภายใต้ พ.ร.บ.แรงงานสัมพันธ์
เดิมโจทก์มีคำสั่งให้ลูกจ้างกะเช้าหยุดรับประทานอาหาร ตั้งแต่เวลา 9.00-10.30 นาฬิกา โดยไม่ได้กำหนดว่าลูกจ้างคนใดจะต้องหยุดรับประทานอาหารในเวลาใด ต่อมาโจทก์ได้กำหนดเวลารับประทานอาหารแก่ลูกจ้างเป็นกลุ่ม กลุ่มละ 30 นาที และกำหนดให้ ต. รับประทานอาหารเมื่อเวลา 10 นาฬิกา ดังนี้ การกำหนดเวลารับประทานอาหารที่แน่นอนต่อลูกจ้าง โจทก์ได้กำหนดตามเวลาในข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างเดิม โจทก์ไม่ได้ยกเลิกหรือเปลี่ยนแปลงเวลาใหม่แต่ได้กำหนดเวลาสำหรับลูกจ้างแต่ละคนให้แน่นอนเพื่อเป็นระเบียบในการทำงาน โจทก์ในฐานะนายจ้างซึ่งเป็นผู้มีอำนาจบังคับบัญชาย่อมออกคำสั่งให้ลูกจ้างปฏิบัติตามได้ ถือว่าเป็นอำนาจในการบริหารหาใช่เป็นการเปลี่ยนแปลงข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างที่จะต้องมีการแจ้งข้อเรียกร้องตาม พ.ร.บ. แรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518มาตรา 13 ไม่ กรณีจะต้องบังคับตาม พ.ร.บ. แรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518มาตรา 123 หรือไม่ ไม่ได้พิจารณาเฉพาะคำสั่งหรือข้อบังคับที่ลูกจ้างฝ่าฝืนเท่านั้น แต่จะต้องพิจารณาว่าในสถานประกอบกิจการนั้นได้มีข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างที่เกิดจากการแจ้งข้อเรียกร้องใช้บังคับอยู่หรือไม่ด้วย พ.ร.บ. แรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518 มาตรา 41(4) ข้อความตอนท้ายบัญญัติให้อำนาจแก่คณะกรรมการสั่งให้ผู้ฝ่าฝืนปฏิบัติหรือไม่ปฏิบัติอย่างใดอย่างหนึ่งได้ตามที่เห็นสมควร หาได้จำกัดว่าคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์จะมีคำสั่งได้เพียงอย่างใดอย่างหนึ่งเท่านั้น.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 768/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม กรณีลูกจ้างฝ่าฝืนคำสั่งและการเปลี่ยนแปลงเวลาพัก การพิจารณาความร้ายแรงของความผิด
เดิมมีข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างให้ลูกจ้างหยุดพักรับประทานอาหารตั้งแต่เวลา 9-10.30 นาฬิกา โดยไม่ได้กำหนดเวลาแน่นอนว่าลูกจ้างคนใดจะต้องหยุดพักรับประทานอาหารในเวลาใด ต่อมานายจ้างมีคำสั่งกำหนดเวลารับประทานอาหารแก่ลูกจ้างเป็นเวลาแน่นอน โดยแบ่งเป็นกลุ่ม กลุ่มละ 30 นาที โดยกำหนดตามเวลาในข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างเดิม เพื่อเป็นระเบียบในการทำงาน ไม่ได้ยกเลิกหรือเปลี่ยนแปลงเวลาใหม่ดังนี้ นายจ้างย่อมมีอำนาจออกคำสั่งให้ลูกจ้างปฏิบัติตามได้ ถือว่าเป็นอำนาจในการบริหาร หาใช่เป็นการเปลี่ยนแปลงข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างที่จะต้องมีการแจ้งข้อเรียกร้องตามพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518 มาตรา 13 ไม่ ลูกจ้างมีหน้าที่คุมเครื่องจักร ได้ละทิ้งหน้าที่ไปรับประทานอาหารก่อนเวลาที่กำหนดเป็นเวลาครึ่งชั่วโมง โดยไม่มีผู้อื่นมาคุมเครื่องจักรแทน แต่ความเสียหายที่โจทก์ได้รับเป็นความเสียหายปกติธรรมดาที่เกิดขึ้นจากความผิดพลาดในการทำงาน และโจทก์ไม่ได้นำสืบให้เห็นว่า โจทก์ได้รับความเสียหายร้ายแรงอย่างไร การละทิ้งหน้าที่ของลูกจ้างดังกล่าวจึงไม่ใช่ความผิดร้ายแรง โจทก์ไม่อาจเลิกจ้างได้โดยไม่เคยตักเตือนเป็นหนังสือมาก่อน ตามพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518 มาตรา 123(3) คำสั่งเลิกจ้างของโจทก์จึงเป็นการกระทำอันไม่เป็นธรรม บทบัญญัติมาตรา 41(4) แห่งพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์พ.ศ. 2518 หาได้จำกัดว่าคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์จะมีคำสั่งได้เพียงอย่างใดอย่างหนึ่งเท่านั้น เพราะข้อความตอนท้ายบัญญัติให้อำนาจแก่คณะกรรมการสั่งให้ผู้ฝ่าฝืนปฏิบัติหรือไม่ปฏิบัติอย่างใดอย่างหนึ่งได้ตามสมควร คณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์จึงมีอำนาจสั่งให้นายจ้างรับลูกจ้างกลับเข้าทำงานพร้อมทั้งชดใช้ค่าเสียหายด้วยได้