พบผลลัพธ์ทั้งหมด 2,822 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4874/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแก้ไขคำให้การที่ไม่เป็นสาระต่อคดี เมื่อประเด็นข้อพิพาทหลักได้สละไปแล้ว คงเหลือเฉพาะประเด็นค่าเสียหาย
คำร้องขอแก้ไขคำให้การของจำเลยเป็นเรื่องเกี่ยวกับประเด็นข้อพิพาทที่ว่าจำเลยที่ 2 ที่ 3 ร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์หรือไม่ซึ่งคู่ความได้สละแล้ว คงเหลือประเด็นค่าเสียหายเท่านั้น แม้ศาลจะอนุญาตก็ไม่ทำให้ผลแห่งคดีเปลี่ยนแปลงไปจึงไม่เป็นสาระแก่คดี ศาลล่างทั้งสองไม่อนุญาตให้แก้ไขคำให้การชอบแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4780/2537 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาประนีประนอมยอมความและสิทธิในการเรียกร้องค่าเสียหาย (เบี้ยปรับ) นอกเหนือจากการชำระหนี้ด้วยการโอนที่ดิน
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยกับสามีฝ่ายหนึ่งและโจทก์กับภริยาอีกฝ่ายหนึ่งได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความที่จะจดทะเบียนโอนที่ดินให้แก่กันและได้บรรยายถึงรายละเอียดของที่ดินแปลงที่จำเลยจะต้องจดทะเบียนโอนให้แก่โจทก์ไว้ด้วย แล้วบรรยายต่อไปว่าหลังจากทำสัญญาประนีประนอมยอมความแล้วจำเลยไม่ไปจดทะเบียนโอนที่ดินตามสัญญาประนีประนอมยอมความให้แก่โจทก์และได้บรรยายถึงสิทธิของโจทก์ที่จะได้รับเมื่อจำเลยผิดสัญญาไว้ด้วย และตอนท้ายก็มีคำขอบังคับ คำฟ้องที่โจทก์บรรยายมาจึงแสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้นพอที่จะทำให้จำเลยเข้าใจได้ดีแล้ว ที่จำเลยอ้างว่าโจทก์ไม่ได้บรรยายให้ชัดว่าคู่สัญญาจะไปจดทะเบียนโอนกันภายในกี่วันและไม่ได้บรรยายถึงสาระสำคัญของสัญญาให้ครบถ้วนนั้น ข้อเท็จจริงดังกล่าวเป็นเพียงรายละเอียดซึ่งอาจนำสืบได้ในชั้นพิจารณา แม้โจทก์จะมิได้สำเนาสัญญาประนีประนอมยอมความมาท้ายฟ้อง คำฟ้องของโจทก์ก็ไม่เคลือบคลุม
สัญญาประนีประนอมยอมความให้สิทธิโจทก์ที่จะเรียกให้จำเลยชำระค่าเสียหายเป็นเบี้ยปรับด้วย อันเป็นเบี้ยปรับซึ่งผู้เป็นลูกหนี้สัญญาจะให้เมื่อตนไม่ชำระหนี้ให้ถูกต้องตามสมควรตาม ป.พ.พ. มาตรา 381 ซึ่งนอกจากจะเรียกให้โอนที่ดินเป็นการชำระหนี้แล้ว เจ้าหนี้ยังมีสิทธิเรียกเอาเบี้ยปรับตามสัญญาจากลูกหนี้ได้อีกด้วย มิใช่เบี้ยปรับตามมาตรา 380 ซึ่งเจ้าหนี้มีสิทธิเรียกให้ชำระหนี้หรือเรียกเอาเบี้ยปรับแทนการชำระหนี้ได้เพียงอย่างใดอย่างหนึ่ง โจทก์จึงมีสิทธิเรียกได้โดยชอบด้วยกฎหมาย
สัญญาประนีประนอมยอมความให้สิทธิโจทก์ที่จะเรียกให้จำเลยชำระค่าเสียหายเป็นเบี้ยปรับด้วย อันเป็นเบี้ยปรับซึ่งผู้เป็นลูกหนี้สัญญาจะให้เมื่อตนไม่ชำระหนี้ให้ถูกต้องตามสมควรตาม ป.พ.พ. มาตรา 381 ซึ่งนอกจากจะเรียกให้โอนที่ดินเป็นการชำระหนี้แล้ว เจ้าหนี้ยังมีสิทธิเรียกเอาเบี้ยปรับตามสัญญาจากลูกหนี้ได้อีกด้วย มิใช่เบี้ยปรับตามมาตรา 380 ซึ่งเจ้าหนี้มีสิทธิเรียกให้ชำระหนี้หรือเรียกเอาเบี้ยปรับแทนการชำระหนี้ได้เพียงอย่างใดอย่างหนึ่ง โจทก์จึงมีสิทธิเรียกได้โดยชอบด้วยกฎหมาย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 436/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความฟ้องค่าเสียหายจากละเมิด: เริ่มนับเมื่อรู้ตัวผู้ทำละเมิดและรู้ถึงความเสียหาย
คณะกรรมการได้ทำการสอบสวนและสรุปผลการสอบสวนเสนออธิบดีกรมการแพทย์เมื่อปลายเดือนเมษายน 2528 ว่าจำเลยทั้งสองต้องร่วมกันรับผิดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ ต้องถือว่ากรมการแพทย์โจทก์รู้ตัวผู้จะพึงใช้ค่าสินไหมทดแทนตั้งแต่ปลายเดือนเมษายน2528 แม้อธิบดีกรมการแพทย์จะยังไม่ได้พิจารณาเรื่องราวตามสำนวนการสอบสวนในวันดังกล่าว แต่ได้ลงนามในรายงานการสอบสวนและมีคำสั่งเมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 2528 ก็หามีผลทำให้การรู้ถึงการละเมิดและรู้ตัวผู้จะพึงใช้ค่าสินไหมทดแทนของโจทก์เปลี่ยนแปลงไปไม่ โจทก์ฟ้องคดีเมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม 2529 จึงเกิน 1 ปีนับแต่วันที่โจทก์รู้ตัวว่าจำเลยทั้งสองเป็นผู้ทำละเมิดต่อโจทก์คดีโจทก์จึงขาดอายุความ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3831/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาซื้อขายที่ดิน บุตรจำเลยไม่เป็นคู่สัญญา สิทธิเรียกร้องค่าเสียหายจากการไม่สามารถโอนได้
จำเลยทำสัญญาจะขายที่ดินของจำเลยและที่พิพาทแก่โจทก์โดยบุตรจำเลยที่ปรากฎชื่อว่าเป็นผู้จะขายที่พิพาทในสัญญาจะซื้อขายมิได้ลงลายมือชื่อเป็นคู่สัญญากับโจทก์ จึงเป็นกรณีจำเลยตกลงจะขายที่พิพาทแก่โจทก์ด้วย แม้ขณะทำสัญญาจะซื้อขายจำเลยมิใช่เจ้าของที่พิพาทก็ไม่ทำให้สัญญาดังกล่าวเป็นการพ้นวิสัยและตกเป็นโมฆะ เพราะจำเลยมีโอกาสขวนขวายเพื่อให้ได้ที่พิพาทมาโอนแก่โจทก์ตามกำหนดเวลาที่ตกลงกันได้ ที่พิพาทเป็นของบุตรจำเลยซึ่งเป็นบุคคลนอกสัญญาจะซื้อขายเพราะไม่ได้ลงลายมือชื่อเข้าเป็นคู่สัญญากับโจทก์หรือมอบอำนาจให้nจำเลยกระทำการแทน และไม่รู้เห็นยินยอมในการทำสัญญาจะซื้อขายที่พิพาทด้วย โจทก์จึงไม่อาจบังคับให้จำเลยโอนที่พิพาทแก่โจทก์เพราะสภาพแห่งหนี้ไม่เปิดช่องให้กระทำได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3753/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ค่ารักษาพยาบาลอนาคตเป็นค่าเสียหายโดยตรง แต่การคิดค่าเสียหายต้องพิจารณาความเป็นไปได้และจำกัดจำนวน
ค่ารักษาพยาบาลในอนาคต นับว่าเป็นค่าเสียหายโดยตรง ศาลคิดค่า-เสียหายดังกล่าวให้ได้ แต่กรณีของโจทก์ที่ 2 เป็นการพ้นวิสัยที่จะหยั่งรู้ได้แน่ว่าจะมีอาการแทรกซ้อน ทำให้โจทก์ที่ 2 ต้องผ่าตัดหรือไม่ และต้องเสียค่าใช้จ่ายเพียงใดศาลฎีกาเห็นสมควรกำหนดให้โจทก์ที่ 2 เรียกได้ตามที่จ่ายจริงแต่ไม่เกิน 6,000 บาทตามคำขอของโจทก์ที่ 2 โดยสงวนสิทธิที่จะแก้ไขคำพิพากษาภายในกำหนดเวลาสองปีตาม ป.พ.พ. มาตรา 444 วรรคสอง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3753/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ค่าเสียหายจากอุบัติเหตุทางรถยนต์: การคิดค่ารักษาพยาบาลในอนาคตที่ยังไม่แน่นอน
ค่ารักษาพยาบาลในอนาคต นับว่าเป็นค่าเสียหายโดยตรง ศาลคิดค่าเสียหายดังกล่าวให้ได้ แต่กรณีของโจทก์ที่ 2 เป็นการพ้นวิสัยที่จะหยั่งรู้ได้แน่ว่าจะมีอาการแทรกซ้อน ทำให้โจทก์ที่ 2ต้องผ่าตัดหรือไม่ และต้องเสียค่าใช้จ่ายเพียงใด ศาลฎีกาเห็นสมควรกำหนดให้โจทก์ที่ 2 เรียกได้ตามที่จ่ายจริงแต่ไม่เกิน 6,000 บาทตามคำขอของโจทก์ที่ 2 โดยสงวนสิทธิที่จะแก้ไขคำพิพากษาภายในกำหนดเวลาสองปีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 444 วรรคสอง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3618/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความฟ้องเรียกค่าเสียหายจากสัญญาเช่า: ป.พ.พ. มาตรา 563 กับข้อผิดหน้าที่ทั่วไปของผู้เช่า
คดีที่ผู้ให้เช่าจะต้องฟ้องผู้เช่าเกี่ยวแก่สัญญาเช่าภายในกำหนด6 เดือน นับแต่วันส่งคืนทรัพย์สินที่เช่า ตาม ป.พ.พ. มาตรา 563 หมายถึงกรณีที่ผู้เช่าปฏิบัติผิดหน้าที่ของผู้เช่าโดยทั่วไป แต่โจทก์ฟ้องเรียกค่าเสียหายที่ต้องขาดประโยชน์จากการใช้รถยนต์พิพาทกับค่าเสียหายที่โจทก์ขายรถยนต์พิพาทได้ไม่คุ้มราคาค่าเช่าซื้อ ซึ่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์หรือกฎหมายอื่นมิได้บัญญัติอายุความไว้โดยเฉพาะ จึงมีอายุความ 10 ปี ตาม ป.พ.พ. มาตรา 164 เดิมที่ใช้อยู่ในขณะโจทก์บังคับสิทธิเรียกร้องได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3618/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความฟ้องเรียกค่าเสียหายจากสัญญาเช่าซื้อ: แยกพิจารณาตามลักษณะการผิดสัญญาของผู้เช่า
คดีที่ผู้ให้เช่าจะต้องฟ้องผู้เช่าเกี่ยวแก่สัญญาเช่าภายในกำหนด 6 เดือน นับแต่วันส่งคืนทรัพย์สินที่เช่าตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 563 หมายถึงกรณีที่ผู้เช่าปฏิบัติผิดหน้าที่ของผู้เช่าโดยทั่วไปแต่โจทก์ฟ้องเรียกค่าเสียหายที่ต้องขาดประโยชน์จากการใช้รถยนต์พิพาทกับค่าเสียหายที่โจทก์ขายรถยนต์พิพาทได้ไม่คุ้มราคาค่าเช่าซื้อ ซึ่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์หรือกฎหมายอื่นมิได้บัญญัติอายุความไว้โดยเฉพาะจึงมีอายุความ 10 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 164 เดิมที่ใช้อยู่ในขณะโจทก์บังคับสิทธิเรียกร้องได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 351/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเลิกจ้างลูกจ้างฐานประมาทเลินเล่อ และสิทธิในการได้รับเงินสะสมหลังถูกฟ้องเรียกค่าเสียหาย
อุทธรณ์ของโจทก์เป็นอุทธรณ์ที่โต้เถียงข้อเท็จจริงที่ศาลแรงงานกลางฟังมาเพื่อให้ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงใหม่ แล้วนำไปวินิจฉัยข้อกฎหมาย อุทธรณ์ของโจทก์เป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงานพ.ศ. 2522 มาตรา 54 การเลิกจ้างจะเป็นการเลิกจ้างไม่เป็นธรรมหรือไม่ จะต้องพิจารณาถึงเหตุแห่งการเลิกจ้างว่ามีเหตุจริงหรือไม่ และเหตุนั้นเป็นเหตุสมควรจะเลิกจ้างได้หรือไม่ คดีนี้ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่าจำเลยเลิกจ้างโจทก์เพราะเหตุที่โจทก์กระทำโดยประมาทเลินเล่อทำให้จำเลยได้รับความเสียหายอย่างร้ายแรง ถือได้ว่ามีเหตุอันสมควรที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์ได้มิใช่การเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม ข้อบังคับการรถไฟแห่งประเทศไทย ข้อ 6 ทวิ และข้อ 7 ระบุว่าในกรณีที่พนักงานการรถไฟแห่งประเทศไทยมีกรณีต้องหาว่ากระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรงจนถูกสอบสวนหรือฟ้องคดีอาญาหรือถูกกล่าวหาว่ากระทำผิดอาญา จำเลยจะต้องรอฟังผลการสอบสวนหรือพิจารณาเมื่อศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยได้ดำเนินการสอบสวนตามขั้นตอนแล้วจึงมีคำสั่งเลิกจ้างโจทก์ฐานประมาทเลินเล่อ เป็นเหตุให้เสียหายแก่กิจการจำเลยอย่างร้ายแรงเป็นคำสั่งที่ชอบและเป็นธรรมซึ่งตามข้อบังคับของจำเลยดังกล่าวไม่จำเป็นต้องรอฟังผลการพิจารณาคดีของศาลก่อน จำเลยจึงมีสิทธิเลิกจ้างได้ทันที คดีที่จำเลยฟ้องเรียกค่าเสียหายจากโจทก์ยังไม่ปรากฏผลของคดี ค่าเสียหายจึงยังไม่แน่นอน จำเลยจะนำเอาค่าเสียหายดังกล่าวมาหักจากเงินสะสมของโจทก์หาได้ไม่ และไม่มีเหตุที่จำเลยจะรอการจ่ายเงินสะสมไว้ได้ จึงต้องคืนเงินสะสมให้แก่โจทก์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3360/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาซื้อขาย, การเลิกสัญญา, สิทธิเรียกร้องคืนสภาพเดิม, การครอบครองปรปักษ์, ค่าเสียหายจากการปลูกสร้าง
โจทก์ทั้งสองได้ทำสัญญาตกลงให้จำเลยปลูกสร้างตึกแถวในที่ดินสองแปลง รวม 4 ห้อง เมื่อปลูกสร้างเสร็จแล้วจำเลยจะยกตึกแถวจำนวน2 ห้อง ที่ปลูกให้แก่โจทก์ทั้งสอง ส่วนโจทก์ที่ 1 จะยกที่ดินของโจทก์ที่ 1 ในส่วนที่ปลูกตึกแถวอีก 2 ห้อง ให้แก่จำเลยเป็นการตอบแทนกัน ต่อมาขณะที่จำเลยปลูกสร้างตึกแถวพิพาทยังไม่เสร็จโจทก์ทั้งสองกับจำเลยได้ตกลงเลิกสัญญาการสร้างตึกแถว และได้ทำสัญญาจะซื้อขายที่ดินโดยโจทก์ที่ 1 ตกลงจะขายที่ดินให้จำเลยแต่ยังไม่ได้ตกลงราคากัน และโจทก์ที่ 1 ยินยอมให้จำเลยทำการปลูกสร้างตึกแถวพิพาทต่อไป แต่ในที่สุดตกลงราคากันไม่ได้ จึงเลิกสัญญาจะซื้อขายกันอีก ดังนี้ จึงต้องนำประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 391 วรรคแรก ที่บัญญัติว่า เมื่อคู่สัญญาฝ่ายหนึ่งได้ใช้สิทธิเลิกสัญญาแล้ว คู่สัญญาแต่ละฝ่ายจำต้องให้อีกฝ่ายหนึ่งได้กลับคืนสู่ฐานะดังที่เป็นอยู่เดิม และวรรคสามที่บัญญัติว่า ส่วนที่เป็นการงานอันได้กระทำให้และเป็นการยอมให้ใช้ทรัพย์นั้น การที่จะชดใช้คืน ท่านให้ทำได้ด้วยใช้เงินตามควรค่าแห่งการนั้น มาปรับแก่คดีโดยจำเลยต้องคืนที่ดินพร้อมตึกแถวพิพาทซึ่งถือได้ว่าเป็นส่วนควบตกเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ทั้งสองผู้เป็นเจ้าของที่ดินแล้วให้แก่โจทก์ทั้งสอง จำเลยไม่มีสิทธิที่จะครอบครองที่ดินและตึกแถวพิพาทของโจทก์ทั้งสองต่อไป และโจทก์ทั้งสองต้องชดใช้ค่าปลูกสร้างตึกแถวพิพาทอันเป็นการงานที่จำเลยได้กระทำไปให้แก่จำเลย แต่เนื่องจากจำเลยไม่ได้ฟ้องแย้งขอให้โจทก์ทั้งสองชดใช้ค่าปลูกสร้างตึกแถวพิพาทให้แก่จำเลย ดังนั้น จึงไม่มีประเด็นที่จะวินิจฉัยว่าโจทก์ทั้งสองต้องชดใช้ค่าปลูกสร้างตึกแถวพิพาทให้แก่จำเลยเป็นจำนวนเงินเท่าใด และโจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยและบริวารให้ออกไปจากที่ดินและตึกแถวพิพาทของโจทก์ทั้งสองได้แต่จะขอให้บังคับจำเลยรื้อถอนตึกแถวพิพาทออกไปจากที่ดินของโจทก์ทั้งสองไม่ได้