พบผลลัพธ์ทั้งหมด 2,780 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 548/2535 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดทางละเมิดของหุ้นส่วน vs. ตัวแทน และข้อยกเว้นกรมธรรม์ประกันภัย กรณีผู้ขับไม่มีใบอนุญาต
โจทก์กล่าวอ้างในคำฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ต้องร่วมรับผิดเนื่องจาก พ. เป็นผู้ขับรถของจำเลยที่ 1 และขณะเกิดเหตุปฏิบัติงานในกิจการของจำเลยที่ 1 ซึ่งพอถือได้ว่าโจทก์มุ่งหมายให้จำเลยที่ 1 ร่วมรับผิดในฐานะที่ พ. เป็นตัวแทนหรือลูกจ้างของจำเลยที่ 1 เท่านั้น ไม่อาจแปลว่ามุ่งหมายให้จำเลยที่ 1 ร่วมรับผิดในฐานะหุ้นส่วนของ พ.ด้วยเมื่อจำเลยที่1ให้การต่อสู้คดีว่าพ.ไม่ใช่ลูกจ้างปฏิบัติงานในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 1 และศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นพิพาทในชั้นชี้สองสถานเพียงว่า พ. เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 1 และกระทำในทางการที่จ้างหรือไม่โจทก์มิได้โต้แย้งคัดค้าน คดีจึงมีประเด็นพิพาทในส่วนที่เกี่ยวกับความรับผิดของจำเลยที่ 1 เพียงเท่าที่ศาลชั้นต้นกำหนด การที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าจำเลยที่ 1 ต้องร่วมรับผิดต่อโจทก์เนื่องจากเป็นหุ้นส่วนกับ พ.และ พ. ก่อเหตุละเมิดขณะกระทำภายในขอบวัตถุประสงค์ของหุ้นส่วนจึงเป็นการวินิจฉัยนอกประเด็น กรมธรรม์ตามสัญญาประกันภัยค้ำจุนมีเงื่อนไขยกเว้นไม่คุ้มครองความรับผิดอันเกิดจากการขับขี่โดยบุคคลที่ไม่ได้รับอนุญาตให้ขับรถยนต์ตามกฎหมายหรือเคยได้รับแต่ถูกตัดสิทธิตามกฎหมาย แต่ พ.ซึ่งขับรถคันที่จำเลยที่ 1 เอาประกันภัยไว้กับจำเลยที่ 2 ในวันเกิดเหตุเป็นผู้ได้รับใบอนุญาตขับขี่รถยนต์ของกรมตำรวจ ย่อมมีความรู้ความสามารถในการขับรถยนต์ได้ แม้ไม่ได้รับใบอนุญาตเป็นผู้ขับรถของกรมการขนส่งทางบก ก็จะถือว่าเป็นการผิดเงื่อนไขในกรมธรรม์ประกันภัยมิได้จำเลยที่ 2 จึงต้องร่วมรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้โจทก์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 50/2535 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ผู้ใช้โทรศัพท์โดยไม่ทำสัญญาเช่า ไม่มีนิติสัมพันธ์กับผู้ให้บริการ จึงไม่สามารถฟ้องละเมิดได้
การฟ้องคดีฐานละเมิดอาจเกิดขึ้นได้ทั้งกรณีที่มีสัญญาและไม่มีสัญญาต่อกันแล้วแต่ว่าการกระทำละเมิดเกิดจากเหตุและกรณีใดเป็นรายกรณีไป โดยอาศัยพฤติการณ์แห่งคดีเป็นหลัก และผู้ที่มีสิทธิฟ้อง นั้นต้องเป็นผู้เสียหายโดยนิตินัย หาใช่เพียงแต่เป็นผู้เสียหาย โดยพฤตินัยเท่านั้นไม่ และบางกรณีต้องเป็นผู้เสียหายตามสัญญาที่ ได้ทำไว้ต่อ กันเท่านั้น โจทก์มิได้ทำสัญญาเป็นผู้เช่าโทรศัพท์กับองค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย จำเลยที่ 1 เป็นแต่เพียงผู้ครอบครองและใช้โทรศัพท์โดยได้รับมอบหมายมาจากบริษัท ค. เจ้าของอาคารที่โจทก์เช่าตั้งสำนักงานประกอบกิจการอยู่เท่านั้น แม้โจทก์ได้ชำระค่าเช่าและค่าบริการโทรศัพท์ให้จำเลยที่ 1 ตลอดมา ก็ถือว่าโจทก์เป็นแต่เพียง มีสิทธิใช้โดยพฤตินัยเท่านั้น หาได้มีสิทธิผูกพันกับจำเลยที่ 1 ไม่ โจทก์ยังไม่ได้รับอนุญาตจากจำเลยที่ 1 ให้เป็นผู้เช่าโทรศัพท์ แทนผู้เช่าเดิม การชำระค่าเช่าและค่าบริการโทรศัพท์ของโจทก์จึง เป็นการชำระแทนผู้เช่าเดิม โจทก์จึงไม่มีนิติสัมพันธ์ใด ๆ กับจำเลย ที่ 1จำเลยที่ 1 จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 50/2535 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ผู้ใช้โทรศัพท์โดยไม่ได้ทำสัญญาเช่า ไม่มีสิทธิฟ้องละเมิดเมื่อถูกตัดบริการค้างชำระ
จำเลยที่ 1 ให้บริษัท ส. ซึ่งตั้งสำนักงานอยู่ในอาคารพาณิชย์ของบริษัท ด.เช่าโทรศัพท์ต่อมาบริษัทส. ย้ายออกไปและมอบเครื่องโทรศัพท์ให้บริษัท ด.ไว้บริษัทด. นำโทรศัพท์ดังกล่าวให้โจทก์ใช้โดยโจทก์นำค่าเช่าและค่าบริการไปชำระให้แก่จำเลยที่ 1 ตลอดมา ต่อมาจำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นพนักงานของจำเลยที่ 1 ได้ปลดฟิวส์ งดมิให้ใช้บริการ เนื่องจากค้างชำระค่าเช่าและค่าบริการของงวดที่เกิดขึ้นในระหว่างวันที่โจทก์ใช้อยู่ประเด็นแห่งคดีมีว่าจำเลยที่ 3 ได้ทำละเมิดต่อโจทก์หรือไม่การที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า โจทก์มิใช่ผู้เช่าโทรศัพท์และเป็นบุคคลภายนอก เป็นการพิจารณาถึงสิทธิของโจทก์ว่ามีต่อจำเลยทั้งสามอย่างไรบ้างเพื่อที่จะให้เห็นว่า การกระทำของจำเลยที่ 3ซึ่งทำให้โจทก์ไม่ได้ใช้โทรศัพท์นั้นเป็นการทำละเมิดต่อโจทก์ดังที่โจทก์ฟ้องหรือไม่ ทั้งเหตุที่ศาลอุทธรณ์ยกขึ้นมาวินิจฉัยนี้ก็เป็นเรื่องเกี่ยวกับประเด็นที่โต้แย้งกันโดยตรงซึ่งจำเลยทั้งสามได้ให้การต่อสู้คดี ไม่เป็นการวินิจฉัยนอกประเด็น โจทก์มิได้ทำสัญญาเป็นผู้เช่าโทรศัพท์กับจำเลยที่ 1 โจทก์เป็นแต่เพียงผู้ครอบครองและใช้โทรศัพท์โดยได้รับมอบหมายจากบริษัท ด. เจ้าของอาคารที่โจทก์เช่าตั้งสำนักงานประกอบกิจการอยู่เท่านั้น แม้โจทก์ชำระค่าเช่าและค่าบริการโทรศัพท์ให้จำเลยที่ 1 ตลอดมา ก็ถือว่าโจทก์เป็นแต่เพียงมีสิทธิใช้โดยพฤตินัยเท่านั้น หาได้มีสิทธิผูกพันจำเลยที่ 1 ไม่ การที่โจทก์ชำระค่าเช่าและค่าบริการโทรศัพท์เท่ากับเป็นการชำระแทนผู้เช่าเดิมและใช้โดยอาศัยสิทธิของผู้เช่าเดิมคือบริษัท ส. เท่านั้นโจทก์จึงไม่มีนิติสัมพันธ์เกี่ยวกับการใช้หรือครอบครองโทรศัพท์กับจำเลยที่ 1 ในอันที่จำเลยที่ 1 จะต้องแจ้งให้โจทก์ทราบก่อนปลดฟิวส์ ดังนั้น เมื่อจำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นพนักงานของจำเลยที่ 1ได้ส่งใบแจ้งเตือนให้ผู้เช่าตามที่อยู่ซึ่งให้ไว้ตรงตามสัญญาเช่าให้นำเงินไปชำระค่าเช่าและค่าบริการโทรศัพท์ที่ค้างชำระอยู่แก่จำเลยที่ 1 ครบกำหนดตามใบแจ้งเตือนแล้วผู้เช่าไม่นำเงินไปชำระ การที่จำเลยที่ 3 ขออนุมัติและทำการปลดฟิวส์ ย่อมถือได้ว่าจำเลยที่ 3 ได้กระทำการตามหน้าที่ และตามระเบียบของจำเลยที่ 1แล้ว จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 507/2535 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความฟ้องคดีละเมิด: เริ่มนับเมื่อผู้เสียหายรู้ถึงการละเมิดและตัวผู้กระทำผิด
วันที่ 9 กันยายน 2526 จำเลยขับรถยนต์ของกองทัพเรือโจทก์ไปตามคำสั่งผู้บังคับบัญชา ชนกำแพงเรือนจำทหารเรือ ทำให้รถยนต์และกำแพงเสียหาย โจทก์ตั้งกรรมการสอบสวนหาผู้รับผิดทางแพ่ง กรรมการสอบสวนแล้วมีความเห็นแจ้งให้โจทก์ทราบเมื่อวันที่ 18 เมษายน 2527ว่า กรณีไม่สมควรมีผู้หนึ่งผู้ใดต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายเพราะมีเหตุสุดวิสัย ตามความเห็นดังกล่าวไม่ปรากฏว่าได้มีการละเมิดหรือมีผู้จะพึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนในขณะนั้น โจทก์จึงไม่อาจรู้ถึงการละเมิดและรู้ตัวผู้จะพึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทน โจทก์ส่งเรื่องให้กระทรวงการคลังทราบ กระทรวงการคลังเสนอเรื่องให้คณะกรรมการสอบสวนหาผู้รับผิดทางแพ่งซึ่งตั้ง ขึ้นโดยคณะรัฐมนตรีพิจารณา คณะกรรมการพิจารณาแล้วมีความเห็นเมื่อวันที่ 21 มีนาคม 2528ว่า จำเลยขับรถโดยประมาทต้องรับผิดทางแพ่ง กระทรวงการคลังได้แจ้งเรื่องให้โจทก์ทราบ ถือว่าโจทก์เพิ่งรู้ถึงการละเมิดและรู้ตัวผู้จะพึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนหลังวันดังกล่าว โจทก์ฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2529 ยังไม่เกิน 1 ปี จึงไม่ขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 448 วรรคแรก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 50/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิฟ้องละเมิดต้องเป็นผู้เสียหายโดยนิตินัย ผู้ครอบครองโทรศัพท์ไม่มีสิทธิฟ้องหากไม่ใช่ผู้เช่า
ประเด็นแห่งคดีมีว่า จำเลยที่ 3 ได้ทำละเมิดต่อโจทก์หรือไม่การที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าโจทก์มิใช่ผู้เช่าโทรศัพท์และเป็นบุคคลภายนอก เป็นการพิจารณาถึงสิทธิของโจทก์ว่ามีต่อจำเลยทั้งสามอย่างไรบ้าง เพื่อที่จะให้เห็นว่าการกระทำของ จำเลยที่ 3ซึ่งทำให้โจทก์ไม่ได้ใช้โทรศัพท์นั้น เป็นการทำละเมิดต่อโจทก์ดังที่โจทก์ฟ้องหรือไม่ทั้งเหตุที่ศาลอุทธรณ์ยกขึ้นมาวินิจฉัยจำเลยทั้งสามได้ให้การและนำสืบมาแต่ต้นแล้ว จึงไม่เป็นการวินิจฉัยนอกประเด็น ผู้ที่มีสิทธิฟ้องคดีฐานละเมิดนั้น ต้องเป็นผู้เสียหายโดยนิตินัย หาใช่เพียงแต่เป็นผู้เสียหายโดยพฤตินัยเท่านั้นไม่และบางกรณีต้องเป็นผู้เสียหายตามสัญญาที่ได้ทำไว้ต่อกันเท่านั้นบุคคลภายนอกแม้จะได้รับความเสียหายก็ไม่มีสิทธิฟ้องคดีเพราะมิใช่เป็นการทำละเมิดต่อผู้นั้น กรณีของโจทก์เห็นได้ชัดว่าเป็นแต่เพียงผู้ครอบครองและใช้โทรศัพท์โดยได้รับมอบหมายจากบริษัทด. เจ้าของอาคารที่โจทก์เช่าตั้งสำนักงานประกอบกิจการอยู่เท่านั้น แม้โจทก์จะได้ชำระค่าเช่าและค่าบริการโทรศัพท์ให้จำเลยที่ 1 ตลอดมา ก็เป็นการชำระแทนผู้เช่าเดิมและใช้โดยอาศัยสิทธิของผู้เช่าเดิมคือบริษัทสายการบิน ท. ทั้งนี้เพราะสัญญาเช่าโทรศัพท์ระหว่างบริษัทดังกล่าวกับจำเลยที่ 1 ยังมิได้เลิกกันและโจทก์ยังไม่ได้รับอนุญาตจากจำเลยที่ 1 ให้เป็นผู้เช่าโทรศัพท์แทนบริษัทดังกล่าว นอกจากนี้ตั้งแต่จำเลยที่ 1 ทำสัญญาให้บริษัทดังกล่าวเป็นผู้เช่าโทรศัพท์ จำเลยที่ 1 มีหนังสือติดต่อและแจ้งเก็บเงินค่าเช่าและค่าบริการโทรศัพท์กับผู้เช่าตลอดมา หาได้มีเอกสารติดต่อกับโจทก์โดยตรงไม่แม้แต่ค่าเช่าและค่าบริการโทรศัพท์ที่จำเลยที่ 3 ตรวจพบว่ามีการค้าง ชำระประจำเดือนมีนาคม 2527จำเลยที่ 3 ก็มีหนังสือแจ้งเตือนให้นำเงินไปชำระยังบริษัทดังกล่าวแสดงว่าจำเลยที่ 1 ยังคงถือว่าบริษัทดังกล่าวเป็นคู่สัญญาเช่าโทรศัพท์เครื่องพิพาทกับจำเลยที่ 1 ตลอดมา จึงฟังไม่ได้ว่าโจทก์มีนิติสัมพันธ์เกี่ยวกับการใช้หรือครอบครองโทรศัพท์กับจำเลยที่ 1แต่ประการใด การที่โจทก์อ้างว่าเป็นละเมิดต่อโจทก์เพราะไม่แจ้งให้โจทก์ทราบก่อนปลดฟิวส์ โจทก์มีสิทธินำคดีมาฟ้อง จึงรับฟังไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 489/2535 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การละเมิดสิทธิการใช้น้ำจากลำเหมืองสาธารณะ การถมลำเหมืองกระทบสิทธิทำนาของผู้อื่น
ลำเหมืองพิพาทอยู่ในที่ดินของจำเลยทั้งสอง เป็นลำเหมืองสาธารณะที่มีมาแต่เดิม โจทก์ได้อาศัยน้ำจากลำเหมืองดังกล่าวซึ่งไหลผ่านนาของจำเลยทั้งสองใช้ทำนามาเป็นเวลา 40 ปีแล้วจำเลยทั้งสองถมลำเหมืองพิพาท ทำให้โจทก์ไม่อาจใช้น้ำจากลำเหมืองทำนาได้ตามปกติ จนเป็นเหตุให้โจทก์ทำนาไม่ได้เพราะขาดน้ำ จึงเป็นการละเมิด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 415/2535 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับเงินจากผู้อื่นโดยไม่ทราบแหล่งที่มาที่ไม่ใช่ทรัพย์สินที่ถูกลักไป ไม่ถือเป็นการละเมิด
ทรัพย์ของโจทก์ถูกจำเลยที่ 1 ที่ 2 ลักไป จำเลยทั้งสองได้ ขายทรัพย์นั้นและมอบเงินที่ได้ให้จำเลยที่ 3 ที่ 4 แต่คดีฟังไม่ได้ ว่าจำเลยที่ 3 ที่ 4 ได้รับเงินไว้โดยรู้ว่าจำเลยที่ 1 ที่ 2 ได้มา จากการขายทรัพย์ของโจทก์ที่ถูกลักไป ทั้งไม่ถือว่าเงินนั้นเป็น ของโจทก์เพราะไม่ใช่ทรัพย์ที่ได้มาจากการกระทำผิด การกระทำของ จำเลยที่ 3ที่ 4 จึงไม่เป็นการละเมิดต่อโจทก์ โจทก์ไม่มีสิทธิ เรียกเงินดังกล่าวคืนจากจำเลยที่ 3 ที่ 4.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 415/2535 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับเงินจากผู้อื่นโดยไม่รู้ว่าเป็นเงินที่ได้จากการกระทำผิด ไม่ถือเป็นการละเมิด
จำเลยที่ 1 ที่ 2 ร่วมกับพวกลักทรัพย์ของโจทก์ไปจำหน่ายและจำนำ และจำเลยที่ 2 นำเงินที่ได้จากการนี้บางส่วนไปฝากธนาคารต่อมาจำเลยที่ 2 ถอนเงินจำนวน 100,000 บาท และ 64,721.25 บาทมาให้จำเลยที่ 3 และที่ 4 นำไปฝากธนาคารในนามจำเลยที่ 3 ที่ 4ตามลำดับ แล้วจำเลยที่ 4 มอบเงินที่รับมาให้จำเลยที่ 3 ไปอีก50,000 บาท แต่จำเลยที่ 3 ที่ 4 รับเงินจำนวนดังกล่าวไว้โดยไม่รู้ว่า จำเลยที่ 2 ได้มาจากการขายทรัพย์ของโจทก์ที่ถูกลักไปและเงินจำนวนนั้นก็ไม่ใช่ทรัพย์ที่ได้มาจากการกระทำความผิดการที่จำเลยที่ 3 ที่ 4 รับเงินจำนวนดังกล่าวไว้ จึงไม่เป็นการละเมิดต่อโจทก์ และแม้เป็นเงินที่ได้มาจากการขายทรัพย์สินของโจทก์ที่ถูกลักไป ก็จะถือว่าเป็นเงินของโจทก์มิได้เพราะมิใช่ตัวทรัพย์ของโจทก์ที่ถูกลักไป โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกร้องเงินจำนวนดังกล่าวคืนจากจำเลยที่ 3 ที่ 4
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4114/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความฟ้องคดีละเมิด เริ่มนับจากวันที่ผู้เสียหายรู้ถึงการละเมิดและตัวผู้กระทำละเมิด
การที่จำเลยขับรถจักรยานยนต์ด้วยความประมาทชนรถยนต์ของโจทก์ได้รับความเสียหาย แต่คณะกรรมการสอบสวนหาตัวผู้รับผิดทางแพ่งของโจทก์เสนอความเห็นให้โจทก์ทราบเมื่อวันที่ 14 มกราคม 2530ว่าเหตุที่เกิดขึ้นเป็นเหตุสุดวิสัย ไม่มีผู้ใดต้องรับผิดชดใช้ทางแพ่ง โจทก์รายงานผลการสอบสวนดังกล่าวให้กระทรวงการคลังทราบตามระเบียบ ต่อมาคณะกรรมการที่ปรึกษาความรับผิดทางแพ่งซึ่งแต่งตั้งโดยคณะรัฐมนตรีเห็นว่าจำเลยขับรถจักรยานยนต์โดยประมาทและต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายให้โจทก์ จึงแจ้งความเห็นดังกล่าวให้โจทก์ทราบในวันที่ 9 กรกฎาคม 2530 นั้น เมื่อในวันที่14 มกราคม 2530 ที่โจทก์ทราบความเห็นของคณะกรรมการสอบสวนของโจทก์นั้นโจทก์ไม่อาจรู้ถึงการละเมิดและรู้ตัวผู้พึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนได้ โจทก์เพิ่งรู้ถึงการกระทำละเมิดและรู้ตัวผู้จะพึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนเมื่อโจทก์ทราบความเห็นของคณะกรรมการที่ปรึกษาความรับผิดทางแพ่งในวันที่ 9 กรกฎาคม 2530ว่าจำเลยขับรถจักรยานยนต์โดยประมาทเป็นเหตุให้รถยนต์ของโจทก์เสียหายและต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหาย โจทก์ฟ้องคดีนี้ในวันที่ 1กรกฎาคม 2531 ยังไม่เกิน 1 ปี คดีโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4074/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การถอนฟ้องจำเลยบางส่วนมีผลทำให้ศาลไม่อาจสั่งเพิกถอน น.ส.3 ก. เกินคำฟ้องเดิม และการพิพากษาเรื่องละเมิดต้องมีผู้เสียหายจริง
คำขอท้ายฟ้องของโจทก์ขอให้บังคับจำเลยที่ 1 ถึงที่ 4เพิกถอน น.ส.3 ก. ถ้าจำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 ไม่ปฏิบัติตามก็ขอให้เอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาของจำเลยที่ 1ถึงที่ 4 เมื่อต่อมาโจทก์ถอนฟ้องจำเลยที่ 1 ถึงที่ 4ย่อมมีผลเป็นการไม่ติดใจให้บังคับจำเลยที่ 1 ถึงที่ 4ตามคำขอท้ายฟ้องด้วย จึงถือเสมือนไม่มีคำขอให้เพิกถอนน.ส.3 ก. อยู่ในคำขอท้ายฟ้อง ศาลจึงสั่งเกี่ยวกับการเพิกถอน น.ส.3 ก. ไม่ได้ เนื่องจากจะเป็นการสั่งเกินคำฟ้องซึ่งต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 น.ส.3 ก. ของที่ดินพิพาทไม่ได้ทับที่ดินของโจทก์การที่จำเลยที่ 5 ได้ น.ส.3 ก. ดังกล่าวไปจากเจ้าพนักงานที่ดินแล้วได้โอนที่ดินตาม น.ส.3 ก. ให้แก่จำเลยที่ 6 ไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าได้ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายในทางอื่นอีกจำเลยที่ 5 และที่ 6 จึงไม่ได้กระทำละเมิดต่อโจทก์โจทก์ไม่ใช่ผู้เสียหายที่จะมีสิทธิฟ้องจำเลยที่ 5 และที่ 6