คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
สิทธิ

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 4,231 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8380/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การรับคำร้องสอดเพื่อประโยชน์แห่งสิทธิของผู้อื่นในคดีที่ดิน: เหตุสมควรและป้องกันการสืบพยานซ้ำ
การร้องสอดเข้ามาเป็นคู่ความตาม ป.วิ.พ. มาตรา 57(1)นั้น ศาลจะอนุญาตหรือไม่ ต้องแล้วแต่เหตุสมควรตามพฤติการณ์ยังไม่มีการสืบพยาน-จำเลย ส่วนพยานโจทก์ ซึ่งต้องสืบก่อนศาลก็งดสืบเพราะเป็นความผิดของโจทก์เองดังนั้น หากจะรับคำร้องสอดไว้พิจารณาก็จะทำให้คดีเกี่ยวกับที่ดินพิพาทนี้เสร็จไปได้ในคราวเดียวโดยไม่ต้องให้ผู้ร้องสอดต้องไปฟ้องโจทก์จำเลยใหม่ เพราะแม้ผู้ร้องสอดจะฟ้องโจทก์จำเลยเป็นอีกคดีหนึ่ง ก็จะต้องสืบพยานโจทก์ จำเลยซึ่งน่าจะเป็นพยานชุดเดียวกัน ทำให้ต้องมีการสืบพยานซ้ำอีก เมื่อกรณีมีเหตุที่ผู้ร้องสอดจำเป็นเพื่อยังให้ได้รับความรับรอง คุ้มครอง หรือบังคับตามสิทธิของตนที่มีอยู่ โดยได้ยื่นคำร้องขอต่อศาลที่คดีนั้นอยู่ในระหว่างพิจารณา กรณีมีเหตุสมควรที่จะรับคำร้องสอดของผู้ร้องสอดไว้พิจารณาต่อไป

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 837/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิผ่านทางจำเป็นและค่าทดแทน: เงื่อนไขการใช้สิทธิและการกำหนดค่าเสียหาย
ที่ดินของโจทก์ติดกับลำรางสาธารณะ แต่ลำรางไม่มีน้ำที่จะใช้เป็นทางสัญจรทางเรือตลอดเวลา เพราะบางฤดูน้ำแห้งและเป็นโคลน มีสภาพตื้นเขินประชาชนที่อาศัยอยู่ตามริมลำรางไม่ได้ใช้เป็นทางสัญจรมาประมาณ 10 ปีแล้ว จึงไม่เป็นทางสาธารณะตาม ป.พ.พ.มาตรา 1349 ที่ดินของโจทก์มีที่ดินแปลงอื่นล้อมอยู่จนไม่มีทางออกสู่ทางสาธารณะได้ โจทก์จึงมีสิทธิผ่านที่ดินของจำเลยในฐานะเป็นทางจำเป็นเพื่อออกไปสู่ทางสาธารณะที่ใกล้ที่สุดได้ โดยให้โจทก์มีสิทธิในทางเพียงเพื่อความจำเป็นในการเข้าออกที่ดินตามปกติที่มิใช่การค้า
จำเลยฎีกาว่าทางในที่ดินของจำเลยเป็นถนนส่วนบุคคลไม่ใช่ที่ดินว่างเปล่า จึงไม่มีกฎหมายในเรื่องทางจำเป็นที่จะบังคับให้จำเลยยินยอมให้โจทก์ใช้ถนนของจำเลยได้ โดยจำเลยมิได้ยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้ในคำให้การ จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ และมิใช่ข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ต้องห้ามฎีกาตามป.วิ.พ.มาตรา 249 วรรคหนึ่ง
ฟ้องขอให้บังคับจำเลยเปิดทางจำเป็น และได้เสนอค่าทดแทนความเสียหายให้แก่จำเลยและจำเลยให้การต่อสู้ในข้อนี้ แต่คำขอท้ายฟ้องของโจทก์มิได้ขอให้บังคับจำเลยรับเงินค่าทดแทนความเสียหายที่โจทก์ใช้ที่ดินของจำเลยและจำเลยก็มิได้ฟ้องแย้งเรียกร้องค่าทดแทนดังกล่าวว่าควรจะเป็นจำนวนเท่าใดที่โจทก์ฎีกาว่า ค่าทดแทนความเสียหายที่โจทก์ใช้ที่ดินของจำเลยตามที่โจทก์เสนอมาพอสมควรหรือไม่ ซึ่งศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าค่าทดแทนที่โจทก์เสนอมาเป็นจำนวนน้อยไม่คุ้มกับความเสียหายที่จำเลยจะได้รับและข้อเท็จจริงยังไม่เพียงพอที่จะกำหนดค่าทดแทนนั้น ศาลฎีกาจึงยังไม่วินิจฉัยให้ ชอบที่จำเลยจะว่ากล่าวเอาแก่โจทก์ในเรื่องค่าทดแทนความเสียหายเป็นอีกคดีหนึ่งต่างหาก
แม้ ป.พ.พ.มาตรา 1352 จะบัญญัติว่าเจ้าของที่ดินต้องยอมให้ผู้อื่นวางท่อน้ำ ท่อระบายน้ำ สายไฟฟ้า หรือสิ่งอื่นซึ่งคล้ายกันผ่านที่ดินของตนเพื่อประโยชน์แก่ที่ดินติดต่อก็ตาม แต่ความในมาตรานี้ก็บัญญัติไว้ด้วยว่าเจ้าของที่ดินจะต้องยอมก็ต่อเมื่อได้รับค่าทดแทนตามสมควรแล้ว ซึ่งเป็นหน้าที่ของผู้ที่จะวางต้องบอกกล่าวเสนอจำนวนค่าทดแทนให้เจ้าของที่ดินทราบก่อน ตามคำฟ้องไม่ปรากฏว่าก่อนฟ้องคดีโจทก์เคยบอกกล่าวเสนอค่าทดแทนแก่จำเลย ทั้งคำขอท้ายฟ้องโจทก์ก็มิได้ขอให้จำเลยรับเงินค่าทดแทนจากโจทก์ คดีจึงไม่มีประเด็นว่าโจทก์ชอบที่จะใช้สิทธิตาม ป.พ.พ.มาตรา 1352 ได้หรือไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8378/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเวนคืนอสังหาริมทรัพย์: สิทธิค่าทดแทนเฉพาะค่าที่ดิน ไม่มีสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายทางจิตใจ
ที่ดินของโจทก์ทั้งสองถูกเขตทางซึ่งอยู่ในบริเวณที่ที่จะเวนคืนตามพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืนในท้องที่เขตจตุจักร พ.ศ.2535 ซึ่งมีผลใช้บังคับวันที่ 29 สิงหาคม 2535 โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินที่ต้องเวนคืนจะมีสิทธิได้รับเงินค่าทดแทนเพียงใดต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการตามพระราชบัญญัติ ว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ.2530 หมวด 2 เงินค่าทดแทน ซึ่งไม่มีบทบัญญัติให้จ่ายเงินค่าทดแทนสำหรับค่าเสียหายทางจิตใจไว้โจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องเรียกค่าเสียหายทางจิตใจ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8345/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การขายทอดตลาด การงดบังคับคดี และสิทธิในการรับคืนเงินประมูลเมื่อการขายทอดตลาดถูกยกเลิก
ผู้ร้องเป็นผู้ประมูลซื้อสิทธิการเช่าตึกแถวได้จากการขายทอดตลาดในราคา 1,940,000 บาท ผู้ร้องได้ชำระราคาครบถ้วนในวันขายทอดตลาดและกรมบังคับคดีได้มีหนังสือถึงศาลแพ่งให้ดำเนินการจดทะเบียนโอนสิทธิการเช่าตึกแถวดังกล่าวให้แก่ผู้ร้องแล้ว แสดงว่าการซื้อขายเสร็จสิ้นลงแล้ว คงอยู่ในระหว่างดำเนินการจดทะเบียนโอนสิทธิการเช่าเท่านั้น แต่จำเลยที่ 1 ร้องขอให้ยกเลิกการขายทอดตลาด เจ้าพนักงานบังคับคดีจึงงดการบังคับคดีไว้เพื่อรอคำสั่งศาลและได้ให้ผู้ร้องรับเงินค่าซื้อสิทธิการเช่าตึกแถวคืนไปบางส่วน โดยเหลือเงินไว้ร้อยละ 5ของราคาที่ซื้อได้คิดเป็นเงิน 97,000 บาท ปรากฏว่าการขายทอดตลาดครั้งใหม่มีบุคคลอื่นประมูลได้ในราคา 2,320,000 บาท ซึ่งสูงกว่าราคาที่ผู้ร้องประมูลได้กรณีไม่มีความเสียหายใด ๆ ที่ผู้ร้องจะต้องรับผิดตาม ป.พ.พ. มาตรา 516กรมบังคับคดีจึงไม่มีสิทธิที่จะริบเงินจำนวนนี้ จึงต้องคืนเงินจำนวนนี้แก่ผู้ร้อง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8313/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิธนาคารในการหักเงินจากบัญชีร้านค้าเมื่อได้รับการปฏิเสธการจ่ายเงินจากมาสเตอร์การ์ด
ตามบันทึกข้อตกลงข้อ 9 ระบุว่า ในกรณีที่ธนาคาร (จำเลย)ได้รับเซลส์สลิปและนำเงินเข้าบัญชีของร้านค้า (โจทก์) แล้ว ปรากฏในภายหลังว่าร้านค้าปฏิบัติผิดไปจากข้อตกลง... หรือกรณีอื่นใดอันเป็นผลให้ธนาคารได้รับการปฏิเสธการจ่ายเงินจากสมาชิก... ร้านค้าจะต้องคืนเงินเท่ากับจำนวนที่ธนาคารได้รับปฏิเสธการจ่ายเงินดังกล่าวให้กับธนาคารพร้อมทั้งยอมเสียดอกเบี้ยในอัตราสูงสุดเท่าที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์คิดจากผู้กู้ยืม...โดยให้ธนาคารหักเงินดังกล่าวข้างต้นทั้งหมดจากบัญชีเดินสะพัดตามที่ระบุไว้...เมื่อปรากฏว่าจำเลยได้จ่ายเงินให้แก่โจทก์ เนื่องจากมีผู้นำมาสเตอร์การ์ดที่ออกโดยธนาคารในต่างประเทศซึ่งเป็นสมาชิกมาสเตอร์การ์ดระหว่างประเทศมาซื้อสินค้าจากโจทก์ตามข้อตกลง ครั้นเมื่อจำเลยเรียกเก็บเงินจากธนาคารผู้ออกมาสเตอรการ์ดแล้วได้รับการปฏิเสธการจ่ายเงิน กรณีจึงต้องด้วยข้อตกลงที่ว่า กรณีอื่นใดอันเป็นผลให้จำเลยได้รับการปฏิเสธการจ่ายเงินตามบันทึกข้อตกลงข้อ 9 จำเลยจึงมีสิทธิหักเงินออกจากบัญขีของโจทก์ได้ตามข้อตกลงดังกล่าว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8277/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจ้าของรวม-พินัยกรรมยกทรัพย์สิน: สิทธิในที่ดินและบ้านเมื่อมีเจ้าของรวมและพินัยกรรมยกให้ทั้งหมด
ในขณะที่ ผ. กับจำเลยเป็นเจ้าของรวมในที่ดินพิพาทคนละครึ่ง ดังนั้น แม้พินัยกรรมของ ผ. จะระบุว่าให้ยกที่ดินพิพาทให้โจทก์ทั้งแปลง พินัยกรรมที่ยกที่ดินพิพาทในส่วนที่เป็นของจำเลยย่อมไม่มีผลใช้บังคับ โจทก์จึงมีสิทธิได้รับที่ดินพิพาทตามพินัยกรรมเฉพาะส่วนของ ผ. โจทก์กับจำเลยจึงเป็นเจ้าของรวมในที่ดินพิพาทคนละครึ่ง แม้โจทก์จะเป็นเจ้าของบ้านพิพาท แต่บ้านพิพาทก็ปลูกอยู่ในที่ดินพิพาทที่โจทก์กับจำเลยเป็นเจ้าของร่วมกัน โจทก์จะฟ้องขอให้ขับไล่จำเลยออกไปหรือเรียกค่าเสียหายจากจำเลยไม่ได้ แต่โดยบทบัญญัติของประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142(2)ศาลฎีกาพิพากษาให้จำเลยคืนบ้านพิพาทให้โจทก์ กับแบ่งที่ดินพิพาทให้โจทก์ครึ่งหนึ่งให้เสร็จสิ้นกันไป

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 823/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาเช่าทรัพย์สิน: สิทธิเลิกสัญญาเช่าธรรมดา และความรับผิดในความเสียหายหลังสิ้นสุดสัญญา
ในสำนวนคดีหลัง จำเลยที่ 1 ฟ้องขับไล่โจทก์ออกจากทรัพย์ที่เช่าซึ่งขณะยื่นคำฟ้องมีค่าเช่าเดือนละหนึ่งหมื่นบาทจึงต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคสองโจทก์ฎีกาโต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐาน จึงเป็นฎีกาในข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามบทบัญญัติดังกล่าว ศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัยข้อฎีกาของโจทก์ดังกล่าวในสำนวนหลัง ค่าใช้จ่ายปรับปรุงซ่อมแซมทรัพย์สินอันเป็นกิจการพิพาทเพื่อประโยชน์ของโจทก์จะใช้สอยและเรียกเก็บค่าบริการ หาใช่เป็นการใช้จ่ายช่วยค่าก่อสร้างกิจการพิพาทจึงมิใช่ค่าใช้จ่ายที่จะถือว่าโจทก์จ่ายค่าตอบแทนให้จำเลยที่ 1 เป็นพิเศษยิ่งกว่ากว่าใช้จ่ายเช่ากิจการพิพาทตามสัญญาเช่าธรรมดา สัญญาเช่าระหว่างโจทก์จำเลยที่ 1 เป็นสัญญาเช่าธรรมดาและโจทก์จำเลยที่ 1 มิได้ตกลงระยะเวลาการเช่าต่อกันไว้โจทก์จำเลยที่ 1 ย่อมใช้สิทธิเลิกสัญญาต่อกันเมื่อใดก็ได้ตามคำฟ้องโจทก์บรรยายว่า โจทก์จำเลยที่ 1ตกลงชำระค่าเช่ากันเป็นรายเดือน การบอกเลิกสัญญาเช่าจึงต้องบอกเลิกสัญญาเช่าในขณะเมื่อสิ้นสุดระยะเวลาอันเป็นกำหนดชำระค่าเช่าได้ทุกระยะ แต่ต้องแจ้งให้คู่สัญญารู้ตัวก่อนชั่วกำหนดระยะเวลาชำระค่าเช่าระยะหนึ่งเป็นอย่างน้อย แต่ไม่จำต้องบอกกล่าวล่วงหน้ากว่าสองเดือนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 566 จำเลยที่ 1แจ้งบอกเลิกการเช่าต่อโจทก์ประมาณกลางเดือนกุมภาพันธ์2533 และจำเลยที่ 1 ยื่นคำฟ้องขับไล่โจทก์ วันที่ 17 เมษายน2533 เกินกำหนดระยะเวลาชำระค่าเช่าระยะหนึ่งแล้วดังนี้การอยู่ดำเนินกิจการพิพาทของโจทก์ภายหลังจากนั้นเป็นการไม่ชอบ เป็นการกระทำละเมิดต่อจำเลยที่ 1 โจทก์ต้องรับผิดในความเสียหายที่จำเลยที่ 1 พึงได้รับในระหว่างที่โจทก์อยู่ในกิจการพิพาท ไม่ส่งมอบกิจการพิพาทคืนให้จำเลยที่ 1 เมื่อครบกำหนดระยะเวลาชำระค่าเช่าในเดือนต่อมาหลังจากโจทก์รับทราบการบอกเลิกการเช่า สำนวนแรกเป็นคดีที่มีคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ แต่ศาลอุทธรณ์กำหนดค่าทนายความในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์เป็นเงินรวม 15,000 บาทนั้นเกินกว่าอัตราที่กำหนดไว้ตามมาตรา 6 ท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง แม้โจทก์จะมิได้ฎีกาในปัญหาข้อนี้ ศาลฎีกาย่อมกำหนดใหม่ให้ถูกต้องได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8224/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การยอมรับสถานะนิติบุคคลของโจทก์โดยจำเลย ทำให้โจทก์มีสิทธิฟ้องดำเนินคดีได้
ปัญหาว่าโจทก์เป็นนิติบุคคลหรือไม่เป็นข้อเท็จจริง จำเลยทั้งสองมิได้ให้การปฏิเสธว่าโจทก์ไม่เป็นนิติบุคคล เท่ากับจำเลยทั้งสองยอมรับว่าโจทก์เป็นนิติบุคคล โจทก์จึงไม่ต้องนำสืบในปัญหานี้และโจทก์มีสิทธิดำเนินคดีทางศาลได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8173/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิในรถยนต์เช่าซื้อและการประกันภัย: ผู้เช่าซื้อยังคงมีสิทธิและหน้าที่ตามสัญญา แม้จะขายต่อ
โจทก์เป็นผู้เช่าซื้อรถยนต์จากบริษัท ง. โจทก์ในฐานะผู้เช่าซื้อย่อมมีสิทธิที่จะยึดถือและใช้ประโยชน์ตลอดจนต้องรับผิดในความสูญหายหรือบุบสลายอันเกิดแก่รถยนต์คันที่เช่าซื้อ และเมื่อได้ใช้เงินครบถ้วนแล้วรถยนต์นั้นย่อมตกเป็นกรรมสิทธิ์แก่โจทก์ หรือหากเลิกสัญญาเช่าซื้อกันโจทก์ก็มีหน้าที่ต้องส่งมอบรถยนต์คืนให้ผู้เช่าซื้อในสภาพเดิม โจทก์จึงเป็นผู้มีส่วนได้เสียในรถยนต์คันที่เช่าซื้อมา แม้ในระหว่างที่โจทก์ผ่อนชำระค่าเช่าซื้ออยู่นั้นโจทก์ได้ขายและส่งมอบรถยนต์คันที่เช่าซื้อมาให้แก่ ส.โดยมีข้อตกลงให้ ส.ผ่อนชำระค่าเช่าซื้อส่วนที่เหลือแทนโจทก์ ซึ่งมีลักษณะเป็นการโอนสิทธิการเช่าซื้อรถยนต์ให้แก่ ส. แต่บริษัท ง.ผู้ให้เช่าซื้อก็มิได้ตกลงด้วย โจทก์จึงยังคงเป็นผู้เช่าซื้อตามสัญญาเช่าซื้อระหว่างโจทก์กับบริษัท ง.ผู้ให้เช่าซื้ออยู่ และยังคงมีความผูกพันตามสัญญาเช่าซื้อในฐานะที่เป็นผู้เช่าซื้อมีสิทธิหน้าที่และความรับผิดในรถยนต์คันที่เช่าซื้อต่อบริษัท ง.ตามสัญญาเช่าซื้อและตามกฎหมายลักษณะเช่าซื้อ โจทก์จึงเป็นผู้มีส่วนได้เสียในรถยนต์คันที่เช่าซื้อซึ่งเอาประกันวินาศภัยไว้แก่จำเลย สัญญาประกันภัยย่อมผูกพันโจทก์และจำเลยตาม ป.พ.พ.มาตรา 863

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 81-82/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การใช้เครื่องหมายการค้าที่คล้ายคลึงกันทำให้เกิดความเข้าใจผิดและละเมิดสิทธิในเครื่องหมายการค้า
แม้รูปลักษณะการวางตัวอักษรโรมันของเครื่องหมายการค้าของโจทก์และของจำเลยจะแตกต่างกันโดยเครื่องหมายการค้าของโจทก์เป็นตัวอักษรโรมันSPSในแนวนอนส่วนเครื่องหมายการค้าของจำเลยเป็นตัวอักษรโรมันSPSซ้อนกันในแนวตั้งก็ตามแต่การอ่านออกเสียงเครื่องหมายการค้าทั้งสองก็อ่านว่า"เอสพีเอส"เช่นเดียวกันทั้งยังใช้กับสินค้าจำพวกกางเกงในเหมือนกันด้วยสาธารณชนจึงอาจหลงผิดได้โดยง่ายว่าสินค้าของจำเลยเป็นสินค้าของโจทก์เมื่อจำเลยทราบดีอยู่ก่อนแล้วว่าโจทก์ได้ใช้ตัวอักษรโรมันSPSอ่านว่า"เอสพีเอส"ในแนวนอนเป็นเครื่องหมายการค้าของโจทก์สำหรับสินค้ากางเกงในการที่จำเลยนำตัวอักษรโรมันSPSอ่านว่า"เอสพีเอส"ซ้อนกันในแนวตั้งไปจดทะเบียนเป็นเครื่องหมายการค้าของจำเลยสำหรับสินค้าจำพวกเครื่องนุ่งห่มและแต่งกายซึ่งรวมถึงสินค้ากางเกงในจึงแสดงให้เห็นว่าจำเลยมุ่งประสงค์จะแสวงหาประโยชน์โดยอาศัยแอบอิงเครื่องหมายการค้าของโจทก์โดยไม่สุจริตเพื่อให้ผู้ซื้อซึ่งจำคำเรียกขานของเครื่องหมายการค้าของโจทก์เข้าใจผิดว่าสินค้าของจำเลยเป็นสินค้าของโจทก์แม้โจทก์ยังมิได้ขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าของโจทก์ในขณะที่จำเลยขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าของจำเลยโจทก์ก็มีสิทธิในเครื่องหมายการค้าตัวอักษรโรมันSPSอ่านว่า"เอสพีเอส"ดีกว่าจำเลย
of 424