คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
เจตนา

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 4,077 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1925/2537 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเป็นตัวแทนเชิดต้องแสดงเจตนาหรือยินยอม การกระทำโดยทุจริตของตัวการไม่ถือเป็นตัวแทน
การเป็นตัวแทนตาม ป.พ.พ.นั้น อาจเกิดโดยการแต่งตั้งโดยชัดแจ้งหรือโดยปริยายก็ได้ และกรณีตัวแทนเชิดที่ถือได้ว่าเป็นการแต่งตั้งโดยปริยายนั้น ตัวการผู้เชิดต้องแสดงออกว่าผู้ถูกเชิดเป็นตัวแทนของตน หรือรู้แล้วยอมให้ผู้เชิดแสดงออกว่าเขาเป็นตัวแทนของตน ตัวการจึงจะมีความรับผิดต่อบุคคลภายนอกในกิจการทั้งหลายที่ตัวแทนได้กระทำลงไป คดีนี้ ไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 1 สั่งให้จำเลยที่ 3 สั่งซื้อเบียร์จากโจทก์ หรือยินยอมให้จำเลยที่ 3 สั่งซื้อเบียร์จากโจทก์ในนามจำเลยที่ 1 แต่เป็นเรื่องจำเลยที่ 3 ใช้ตำแหน่งหน้าที่โดยทุจริตสั่งซื้อเบียร์จากโจทก์เองโดยพลการ การที่จำเลยที่ 3 ใช้อำนาจหน้าที่หักภาษี ณ ที่จ่ายไว้โดยใช้ใบรับเงินของจำเลยที่ 1 ก็ไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 1 รู้เห็นยินยอมให้จำเลยที่ 3 กระทำ การกระทำของจำเลยที่ 3 ต่าง ๆ จำเลยที่ 1 มิได้มีส่วนได้เสียหรือยินยอมด้วย จำเลยที่ 3 จึงมิใช่ตัวแทนเชิดของจำเลยที่ 1

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1925/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การรับผิดของตัวการเมื่อตัวแทนกระทำทุจริต ตัวแทนเชิดต้องแสดงเจตนาหรือยอมความ
เมื่อไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 1 สั่งให้จำเลยที่ 3 สั่งซื้อเบียร์จากโจทก์ หรือยินยอมให้จำเลยที่ 3 สั่งซื้อเบียร์จากโจทก์ในนามจำเลยที่ 1 แต่เป็นเรื่องจำเลยที่ 3 ใช้ตำแหน่งหน้าที่โดยทุจริตสั่งซื้อเบียร์จากโจทก์เองโดยพลการ และการที่จำเลยที่ 3ใช้อำนาจหน้าที่หักภาษี ณ ที่จ่ายไว้โดยใช้ใบรับเงินของจำเลยที่ 1ก็ไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 1 รู้เห็นยินยอมให้จำเลยที่ 3 กระทำจำเลยที่ 3 จึงมิใช่ตัวแทนเชิดของจำเลยที่ 1

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 188/2537 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิดฐานหน่วงเหนี่ยวกักขังโดยมีอาวุธ การกระทำที่แสดงเจตนาเตรียมพร้อมใช้ความรุนแรงถือเป็นความร่วม
จำเลยทั้งสามมีอาวุธปืนติดตัวขึ้นไปบนสถานีตำรวจ จำเลยที่ 1ขอให้ผู้เสียหายไปตรวจค้นบ้านบุคคลอื่น แต่ผู้เสียหายไม่ยอมทำตาม จำเลยที่ 1จึงใช้อาวุธปืนจี้บังคับไม่ยอมให้ผู้เสียหายออกจากห้องแล้วใช้มือล็อกคอและกอดปล้ำบังคับผู้เสียหายให้นั่งบนโซฟา โดยจำเลยที่ 2 ถืออาวุธปืนสั้นและจำเลยที่ 3 ยืนจับด้ามปืนสั้นที่เอว แม้จำเลยที่ 3 จะไม่ได้ชักปืนออกมาก็ตาม แต่การกระทำของจำเลยที่ 3 แสดงว่าจำเลยที่ 3 ได้เตรียมพร้อมที่จะใช้อาวุธปืนบังคับผู้เสียหายด้วยจำเลยที่ 3 จึงมีความผิดฐานร่วมกับจำเลยที่ 1 และที่ 2 หน่วงเหนี่ยวกักขังผู้เสียหายให้ปราศจากเสรีภาพในร่างกาย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1832/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ จำนองเพื่อประกันการค้ำประกัน vs. หนี้เบิกเกินบัญชี สัญญาจำนองชัดเจน ศาลฎีกาตัดสินตามเจตนา
ปรากฏตามหนังสือมอบอำนาจว่า จำเลยที่ 3 มอบอำนาจให้ ช.ทำการจำนองที่ดิน 2 แปลง ตามโฉนดที่ดินที่ระบุไว้ในหนังสือมอบอำนาจเพื่อเป็นประกันการที่โจทก์ออกหนังสือค้ำประกันจำเลยที่ 1 ต่อกรุงเทพมหานคร จำนวนเงิน 117,000 บาท และตามหนังสือสัญญาจำนองที่ดินและสัญญาต่อท้ายก็มีข้อความระบุว่าผู้จำนองตกลงจำนองที่ดินแปลงดังกล่าวทั้งแปลงแก่ผู้รับจำนองเพื่อเป็นประกันการออกหนังสือค้ำประกันจำเลยที่ 1 ต่อกรุงเทพมหานคร เป็นจำนวนเงิน 117,000 บาทข้อความที่ระบุไว้ในหนังสือมอบอำนาจและหนังสือสัญญาจำนองที่ดินดังกล่าวย่อมเห็นได้อย่างชัดแจ้งว่า เป็นการจำนองเพื่อประกันหนี้ที่โจทก์ออกหนังสือค้ำประกันจำเลยที่ 1 ต่อกรุงเทพมหานคร จำนวนเงิน117,000 บาท เท่านั้น หาได้จำนองเพื่อประกันหนี้อื่น ๆ ที่จำเลยที่ 1 เป็นหนี้โจทก์ไม่ ส่วนที่หนังสือสัญญาจำนองที่ดินมีข้อความว่าส่วนข้อตกลงอื่น ๆ ให้เป็นไปตามหนังสือสัญญาต่อท้ายของธนาคารรวมอยู่ด้วยนั้น ย่อมหมายถึงข้อตกลงที่เป็นรายละเอียดปลีกย่อยนอกจากที่กล่าวไว้ในหนังสือสัญญาจำนองที่ดิน แต่ก็ต้องถือเอาข้อความที่ระบุไว้ในหนังสือสัญญาจำนองที่ดินเป็นหลักในการพิจารณาว่า คู่กรณีมีเจตนาในการจำนองที่ดินเพื่อประกันหนี้อะไรและมีจำนวนเงินมากน้อยเพียงใด ข้อความในสัญญาต่อท้ายเป็นเพียงส่วนประกอบของหนังสือสัญญาจำนองที่ดินเท่านั้น แม้ตามหนังสือสัญญาต่อท้ายหนังสือสัญญาจำนองที่ดินจะมีข้อความระบุไว้ด้วยว่า เพื่อเป็นประกันเงินซึ่งผู้จำนองหรือจำเลยที่ 1 ซึ่งต่อไปในสัญญานี้จะเรียกว่า ลูกหนี้ ได้หรือจะได้กู้ไปจากธนาคาร ได้เบิกหรือจะได้เบิกเงินเกินบัญชีไปจากธนาคาร และหนี้สินอื่นใดซึ่งลูกหนี้หรือผู้จำนองเป็นหนี้ธนาคารอยู่ในเวลานี้ หรือที่จะเป็นต่อไปในภายหน้าในวงเงินไม่เกิน 117,000 บาท แต่ข้อความดังกล่าวจะตีความว่ารวมถึงหนี้เบิกเงินเกินบัญชีที่จำเลยที่ 1 มีอยู่กับโจทก์หาได้ไม่ เพราะถ้าโจทก์และจำเลยที่ 3 มีเจตนาที่จะให้จำเลยที่ 3 จำนองที่ดินเพื่อประกันหนี้เบิกเงินเกินบัญชีของจำเลยที่ 1 ด้วย ก็คงจะต้องระบุข้อความดังกล่าวรวมทั้งจำนวนเงินที่จำเลยที่ 1 เป็นหนี้โจทก์ในวันที่จดทะเบียนจำนองที่ดินไว้ในหนังสือสัญญาจำนองที่ดินและสัญญาต่อท้ายด้วย การที่จำเลยที่ 3 นำพยานบุคคลมาสืบว่า การจำนองที่ดินตามสัญญาต่อท้ายสัญญาจำนองที่ดินเป็นการจำนองเพื่อเป็นประกันการที่โจทก์ออกหนังสือค้ำประกันจำเลยที่ 1 ต่อกรุงเทพมหานคร โดยไม่รวมถึงหนี้ตามฟ้องโจทก์ด้วยนั้นเท่ากับเป็นการนำสืบว่าโจทก์กับจำเลยที่ 3ไม่มีหนี้ตามฟ้องที่จะต้องรับผิดต่อกันสัญญาจำนองที่ดินเพื่อประกันหนี้ตามฟ้องไม่เกิดขึ้นหรือไม่สมบูรณ์ จึงไม่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94 ที่จำเลยที่ 3 จะนำพยานบุคคลมาสืบประกอบข้ออ้างดังกล่าว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1638/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การกระทำความผิดร่วม การไม่มีเจตนา การช่วยเหลือความผิด
ขณะเกิดเหตุ ท.และจำเลยกับพวกดื่มสุรากันมาจนมึนเมามิได้ร่วมสมคบกันมาก่อนที่จะทำร้ายผู้เสียหาย และการที่ ท.กับพวกรุมชกต่อยและ ท.ใช้อาวุธมีดแทงผู้เสียหายนี้ได้ทำขึ้นทันทีทันใดหลังจากที่ผู้เสียหายบอก ท.ว่าผู้เสียหายเรียนอยู่ที่ ว.ค. ส่วนการที่จำเลยจับแขนของนางสาว อ.ไว้ก็เพราะกลัวว่านางสาวอ.จะไปช่วยผู้เสียหาย อีกทั้งจำเลยก็มิได้จับแขนนางสาว อ.ไว้แน่น แต่กลับปล่อยให้นางสาว อ.สะบัดหลุดส่อลักษณะเป็นการให้โอกาสนางสาว อ.สะบัดหลุดเพื่อวิ่งหนีไปเพราะอาจได้รับอันตรายจากเหตุที่เกิดขึ้น เช่นนี้พฤติการณ์แห่งคดียังฟังไม่ได้ว่าจำเลยเป็นตัวการร่วมกระทำความผิดกับ ท.และพวก

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1624/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง: การวินิจฉัยเจตนาตัวการร่วม, ต้องห้ามฎีกาตาม ป.วิ.อ. มาตรา 218
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ลงโทษจำคุกจำเลย 6 ปี 8 เดือน ที่โจทก์ฎีกาว่า ตามพฤติการณ์แห่งคดีส่อแสดงให้เห็นเจตนาของจำเลยได้ว่า จำเลยมีเจตนาเข้าร่วมกับพวกของจำเลยฆ่าผู้ตายจึงเป็นตัวการร่วมกับคนร้ายใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายนั้น เป็นการฎีกาโต้เถียงดุลพินิจในการวินิจฉัยชั่งน้ำหนักพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์ภาค 1 อันเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง จึงต้องห้ามมิให้โจทก์ฎีกาตาม ป.วิ.อ. มาตรา 218 วรรคสอง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1576/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจตนาฆ่าจากยิงด้วยอาวุธปืนร้ายแรง แม้ไม่ถึงแก่ชีวิต ถือเป็นความผิดฐานพยายามฆ่า
ความผิดฐานมีอาวุธปืน ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ มาตรา 7,72 วรรคแรก จำคุก1 ปี ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาแก้เป็นว่าจำเลยทั้งสองมีความผิดตามมาตรา 7,72 วรรคสาม จำคุก 6 เดือน ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 219ส่วนความผิดฐานพาอาวุธปืนศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยทั้งสองมีความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ มาตรา 8 ทวิ วรรคแรก,72 ทวิ วรรคสอง และประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 371 จำคุก 6 เดือนศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาแก้เฉพาะบทลงโทษเป็น มาตรา 8 ทวิ วรรคสอง,72 ทวิ วรรคสอง ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคแรก จำเลยทั้งสองฎีกาว่าพยานหลักฐานโจทก์ฟังไม่ได้ว่าจำเลยทั้งสองกระทำผิดทั้งสองฐานเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามบทกฎหมายดังกล่าว การที่จำเลยที่ 2 ขับรถจักรยานยนต์มีจำเลยที่ 1 ซ้อนท้ายโดยจำเลยที่ 1 มีอาวุธปืนลูกซองสั้นติดตัวไป เมื่อพบผู้เสียหายทั้งสามกับพวกกำลังคุยกันอยู่ จำเลยที่ 1 ก็ยิงปืนไปที่ผู้เสียหายทั้งสาม อาวุธปืนเป็นอาวุธที่ร้ายแรงถ้าหากยิงถูกอวัยวะสำคัญอาจถึงตายได้ การกระทำของจำเลยทั้งสองจึงเป็นการกระทำโดยมีเจตนาฆ่าผู้เสียหายทั้งสาม จำเลยทั้งสองลงมือกระทำไปโดยตลอดแล้วแต่การกระทำไม่บรรลุผล เนื่องจากกระสุนปืนถูกอวัยวะไม่สำคัญจำเลยทั้งสองจึงมีความผิดฐานพยายามฆ่าผู้เสียหาย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1343/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การใช้สิทธิร้องขอคืนของกลางโดยไม่สุจริตของผู้ให้เช่าซื้อ แสดงเจตนาช่วยเหลือผู้เช่าซื้อ
การที่ผู้ร้องมอบอำนาจให้ จ. หุ้นส่วนผู้จัดการของผู้เช่าซื้อยื่นคำร้องขอรถยนต์บรรทุกของกลางคืนจากศาล โดยให้สัญญาเช่าซื้อรถยนต์บรรทุกของกลางระหว่างผู้ร้องกับผู้เช่าซื้อยังคงมีผลผูกพันบังคับกันอยู่นั้น เป็นพฤติการณ์ที่แสดงให้เห็นว่าผู้ร้องมายื่นคำร้องขอรถยนต์บรรทุกของกลางคืนก็เพื่อประโยชน์ของผู้เช่าซื้ออันเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต จึงไม่มีสิทธิขอให้ศาลสั่งคืนรถยนต์บรรทุกของกลางให้แก่ผู้ร้องได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1292/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจตนาและกรรมเดียวในการทำร้ายร่างกาย - การชนท้ายรถเพื่อหวังทำร้าย - การพิจารณาเจตนาฆ่าและไตร่ตรองไว้ก่อน
การที่พวกของจำเลยขับรถยนต์ชนท้ายรถจักรยานยนต์ที่ ส.ขับโดยมีโจทก์ร่วมนั่งซ้อนท้ายเป็นเหตุให้รถจักรยานยนต์ล้มลงแล้วพวกของจำเลยทั้งสองจึงหยุดรถแล้วลงไปใช้เหล็กท่อนเป็นอาวุธทำร้ายร่างกาย ส. และโจทก์ร่วม เห็นได้ว่าการใช้รถยนต์ชนท้ายรถจักรยานยนต์เพียงต้องการให้หยุดรถเพื่อที่จะได้ทำร้ายร่างกายเท่านั้นเมื่อปรากฏว่า ส. กระเด็นตกจากรถไปนั่งที่พื้นมีอาการจุกเสียด ส่วนโจทก์ร่วมไม่มีอาการบาดเจ็บลุกขึ้นยืนได้ แสดงว่าจำเลยทั้งสองมิได้มีเจตนาฆ่าเพราะหากมีเจตนาฆ่าก็น่าจะขับรถยนต์ชนอย่างแรง หรือขับรถยนต์กับ ส. และโจทก์ร่วมไปแล้ว โจทก์ฎีกาว่าหลังจากที่จำเลยทั้งสองกับพวกรุมทำร้ายร่างกายส. และโจทก์ร่วมแล้วพวกของจำเลยทั้งสองได้ขับรถยนต์เก๋งทับร่างของโจทก์ร่วมด้วย เมื่อข้อเท็จจริงดังกล่าวโจทก์มิได้บรรยายไว้ในคำฟ้อง จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15ประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคแรก จำเลยทั้งสองกับพวกเข้าไปรุมตี ส. และโจทก์ร่วมพร้อม ๆ กันเมื่อเห็น ส. ขับรถจักรยานยนต์มีโจทก์ร่วมนั่งซ้อนท้ายผ่านมามีการร้องท้าทาย ส.และโจทก์ร่วมให้ตีกันเมื่อส. กับพวกไม่สนใจและไม่ยอมหยุดรถจักรยานยนต์พวกของจำเลยทั้งสองจึงขับรถยนต์เก๋งไปชนท้ายรถจักรยานยนต์ล้มลง จากนั้นจำเลยทั้งสองกับพวกจึงเข้าไปกลุ้มรุมทำร้ายร่างกาย ส. และโจทก์ร่วม ดังนี้เป็นการกระทำครั้งหนึ่งคราวเดียวและมีเจตนาเดียวกันในการทำร้ายร่างกาย ส. และโจทก์ร่วม การกระทำของจำเลยทั้งสองจึงเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1223/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การครอบครองปรปักษ์ต้องมีเจตนาเป็นเจ้าของ การครอบครองโดยไม่มีเจตนาดังกล่าวไม่ทำให้ได้กรรมสิทธิ์
คดีนี้ขึ้นมาสู่ศาลฎีกาได้เฉพาะปัญหาข้อกฎหมาย ในการวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมาย ศาลฎีกาต้องถือข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 ได้วินิจฉัยจากพยานหลักฐานในสำนวน ศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยพยานหลักฐานในสำนวนว่า พยานผู้ร้องยกเว้น ป.และ ศ. ไม่มีผู้ใดยืนยันว่าผู้ร้องอยู่ในที่ดินพิพาทโดยอาศัยสิทธิอะไรสำหรับ ป.และ ศ. ซึ่งเบิกความว่า ผู้ร้องซื้อที่ดินมาจาก อ. ก็ขัดกับเอกสารและเป็นพยานบอกเล่า มีน้ำหนักน้อย และการที่ผู้ร้องมิได้โต้แย้งคัดค้าน เมื่อมีผู้อื่นมาขอออกโฉนดในนามของคนอื่นก็ดี หรือนำที่ดินไปจำนองต่อธนาคารก็ดี ดูจะเป็นเหตุผิดปกติวิสัย ยกเว้นแต่ผู้ร้องจะทราบดีว่าตนไม่มีสิทธิใด ๆ ในที่ดินพิพาทเท่านั้นเป็นการฟังข้อเท็จจริงแล้วว่าผู้ร้องครอบครองที่ดินพิพาทโดยมิได้มีเจตนายึดถือครอบครองอย่างเป็นเจ้าของอันเป็นข้อเท็จจริงที่ศาลฎีกาต้องถือตาม
ผู้ร้องมิได้มีเจตนายึดถือครอบครองที่ดินพิพาทอย่างเป็นเจ้าของผู้ร้องย่อมไม่ได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1382
of 408