คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
คำพิพากษา

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,887 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1901/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การบังคับคดีแบ่งแยกที่ดิน: ศาลมีอำนาจปรับลดเนื้อที่ตามความเป็นจริง แม้คำพิพากษาถึงที่สุดแล้ว
ศาลพิพากษาให้แบ่งแยกกรรมสิทธิ์ที่ดินให้โจทก์ตรงตามโฉนดโดยถือตามคำฟ้องของโจทก์ เมื่อปรากฏในชั้นบังคับคดีว่าจำนวนเนื้อที่ดินที่แท้จริงขาดไปจากจำนวนที่ระบุไว้ในโฉนดที่ดิน ศาลย่อมมีอำนาจพิพากษาให้บังคับคดีแบ่งแยกกรรมสิทธิ์ที่ดินให้โจทก์ลดลงตามส่วนของเนื้อที่ดินที่เหลือผิดไปจากคำพิพากษาที่ถึงที่สุดแล้วได้ กรณีเช่นนี้ถือไม่ได้ว่าเป็นการแก้ไขคำพิพากษาที่ถึงที่สุดแล้วเพราะในชั้นบังคับคดีศาลย่อมมีอำนาจบังคับคดีไปตามความเป็นจริงได้
เมื่อข้อเท็จจริงต่าง ๆ ที่ศาลอุทธรณ์จะต้องวินิจฉัยปรากฏชัดอยู่ในสำนวนโดยคำแถลงรับของคู่ความพอที่ศาลอุทธรณ์จะวินิจฉัยได้แล้ว ศาลอุทธรณ์ก็ไม่จำเป็นต้องสั่งให้ไต่สวนคำร้องของจำเลยอีก

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1901/2530

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การบังคับคดีแบ่งแยกที่ดิน: ศาลมีอำนาจปรับลดเนื้อที่ตามข้อเท็จจริง แม้คำพิพากษาถึงที่สุดแล้ว
ศาลพิพากษาให้แบ่งแยกกรรมสิทธิ์ที่ดินให้โจทก์ตรงตามโฉนดโดยถือตามคำฟ้องของโจทก์ เมื่อปรากฏในชั้นบังคับคดีว่าจำนวนเนื้อที่ดินที่แท้จริงขาดไปจากจำนวนที่ระบุไว้ในโฉนดที่ดิน ศาลย่อมมีอำนาจพิพากษาให้บังคับคดีแบ่งแยกกรรมสิทธิ์ที่ดินให้โจทก์ลดลงตามส่วนของเนื้อที่ดินที่เหลือผิดไปจากคำพิพากษาที่ถึงที่สุดแล้วได้ กรณีเช่นนี้ถือไม่ได้ว่าเป็นการแก้ไขคำพิพากษาที่ถึงที่สุดแล้วเพราะในชั้นบังคับคดีศาลย่อมมีอำนาจบังคับคดีไปตามความเป็นจริงได้
เมื่อข้อเท็จจริงต่าง ๆ ที่ศาลอุทธรณ์จะต้องวินิจฉัยปรากฎชัดอยู่ในสำนวนโดยคำแถลงรับของคู่ความพอที่ศาลอุทธรณ์จะวินิจฉัยได้แล้ว ศาลอุทธรณ์ก็ไม่จำเป็นต้องสั่งให้ไต่สวนคำร้องของจำเลยอีก.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1853/2530 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ กรรมเดียวความผิดเดียวกัน สิทธิฟ้องระงับเมื่อมีคำพิพากษาเด็ดขาดแล้ว
จำเลยลงพิมพ์บทความหมิ่นประมาทโจทก์และ ป. ในครั้งเดียวกันเป็นการกระทำกรรมเดียว เมื่อ ป. ได้ฟ้องจำเลยในความผิดกรรมนี้จนมีคำพิพากษาเสร็จเด็ดขาดไปแล้ว สิทธินำคดีอาญามาฟ้องของโจทก์ย่อมระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39 (4)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1853/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ กรรมเดียวความผิดเดียวกัน: สิทธิฟ้องระงับเมื่อมีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้ว
จำเลยที่ 1 เขียนบทความลงพิมพ์ในหนังสือพิมพ์เป็นข้อความหมิ่นประมาทโจทก์และ ป. ในครั้งเดียวกัน เป็นการกระทำอันเป็นกรรมเดียว ป. ได้ฟ้องจำเลยที่ 1 ในความผิดกรรมเดียวกับที่โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 และศาลได้มีคำพิพากษาเสร็จเด็ดขาดในความผิดซึ่งได้ฟ้องนั้นแล้วสิทธินำคดีอาญามาฟ้องของโจทก์ย่อมระงับไปตาม ป.วิ.อ.มาตรา 39(4).

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1835/2530

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การส่งสำเนาอุทธรณ์โดยชอบด้วยกฎหมาย การพิจารณาคดีโดยไม่ส่งสำเนาอุทธรณ์เป็นเหตุให้คำพิพากษาไม่ชอบ
พนักงานเดินหมายนำสำเนาอุทธรณ์ของโจทก์ไปส่งให้แก่จำเลย 2 ครั้ง ณ ภูมิลำเนาตามฟ้อง แต่ไม่พบจำเลย พบแต่ประตูบ้านปิดใส่กุญแจ และสอบถามผู้ที่อยู่บ้านข้างเคียง ไม่มีใครทราบว่าจำเลยไปไหน ครั้นนัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์พนักงานเดินหมายนำหมายนัดไปส่งให้แก่จำเลย ณ ภูมิลำเนาเดิมโดยในครั้งที่สองได้ปิดหมายไว้ จำเลยไปฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ตามกำหนดนัด เช่นนี้ แสดงว่าการที่พนักงานเดินหมายไม่พบจำเลยอาจเป็นเพราะจำเลยไม่อยู่บ้านหรือออกไปทำงานในตอนเช้าและกลับบ้านในตอนเย็นดังจำเลยกล่าวอ้างก็ได้ ถือไม่ได้ว่าการส่งสำเนาอุทธรณ์ของโจทก์ให้แก่จำเลยไม่ได้นั้นเป็นเพราะหาตัวจำเลยไม่พบ หรือหลบหนีหรือจงใจไม่รับสำเนาอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 201 การพิจารณาพิพากษาคดีของศาลอุทธรณ์จึงไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 200.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1814/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ปล้นทรัพย์โดยมีอาวุธปืน: การระบุวรรคของมาตรา 340 ในคำพิพากษา
จำเลยที่ 1 ที่ 2 เป็นคนร้ายปล้นทรัพย์โดยจำเลยที่ 1 มีอาวุธปืนติดตัวเพื่อกระทำผิด การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดตาม ป.อ. มาตรา 340 วรรคสอง ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาว่าจำเลยทั้งสองมีความผิดตาม ป.อ. มาตรา 340 โดยไม่ได้ระบุวรรคใด นั้นไม่ถูกต้อง สมควรระบุเสียให้ถูกต้อง.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 180/2530

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การอุทธรณ์คำพิพากษาศาลแขวงในปัญหาข้อเท็จจริงเป็นไปตามกฎหมายหรือไม่ ศาลฎีกายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์
คดีอาญาที่อยู่ในอำนาจศาลแขวง เมื่อศาลแขวงพิพากษายกฟ้องโจทก์โดยวินิจฉัยว่าจำเลยไม่ได้รับมอบหมายจากโจทก์ให้ร่วมกับชมรมโรงสีจัดซื้อข้าวเปลือกจากเกษตรกรสมาชิกของโจทก์และฟังไม่ได้ว่าจำเลยมีเจตนาทุจริตเบียดบังเงินค่าบริการของโจทก์ ย่อมถือว่าเป็นการพิพากษายกฟ้องโดยอาศัยข้อเท็จจริงซึ่งต้องห้ามอุทธรณ์คำพิพากษาศาลชั้นต้นในปัญหาข้อเท็จจริงตามพระราชบัญญัติ จัดตั้งศาลแขวง ฯ มาตรา 22 การที่โจทก์อุทธรณ์ว่าจำเลยได้ร่วมกับชมรมโรงสีกระทำผิดหน้าที่ของจำเลยและจำเลยมีเจตนาทุจริตเบียดบังเงินของโจทก์จึงเป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงซึ่งต้องห้าม ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยข้อเท็จจริงให้ตามอุทธรณ์ของโจทก์จึงไม่ถูกต้องและต้องถือว่าข้อเท็จจริงยุติแล้วตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ศาลฎีกาย่อมพิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์และยกฎีกาจำเลย.(ที่มา-ส่งเสริมฯ)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1686/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คำบังคับคดีไม่ถูกต้องแก้ไขได้ โจทก์มีสิทธิขอออกคำบังคับใหม่ให้ถูกต้องตามคำพิพากษา
คำสั่งศาลเกี่ยวกับการบังคับคดี เช่นการออกคำบังคับ หากออกไปโดยไม่ถูกต้องตามคำพิพากษาย่อมแก้ไขใหม่ให้ถูกต้องได้ เพื่อให้เป็นไปตามคำพิพากษา และการแก้ไขนี้มิใช่เป็นการแก้ไขคำพิพากษาโจทก์จึงมีสิทธิขอให้ออกคำบังคับใหม่ หรือแก้ไขให้ถูกต้องได้.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1686/2530

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การแก้ไขคำบังคับคดี: ศาลมีอำนาจแก้ไขคำบังคับที่ไม่ถูกต้องเพื่อให้เป็นไปตามคำพิพากษา
คำสั่งศาลเกี่ยวกับการบังคับคดี เช่น การออกคำบังคับหากออกไปไม่ถูกต้อง ย่อมแก้ไขใหม่ให้ถูกต้องได้ เพื่อให้เป็นไปตามคำพิพากษาและการแก้ไขนี้เป็นเรื่องแก้ไขคำบังคับ ไม่ใช่เป็นการแก้ไขคำพิพากษาโจทก์จึงมีสิทธิขอให้ออกคำบังคับใหม่ได้.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1684/2530

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิผู้ซื้อที่ดินตามคำพิพากษาเดิมกับการบังคับคดีชั่วคราว: การคุ้มครองสิทธิก่อนมีคำพิพากษา
ผู้ร้องร้องว่าโจทก์และจำเลยในคดีนี้ได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับผู้ร้องในคดีก่อนให้ผู้ร้องซื้อที่ดินซึ่งพิพาทกันในคดีนี้จากจำเลย จนศาลชั้นต้นได้พิพากษาตามยอมและผู้ร้องได้ชำระราคาแก่จำเลยแล้ว ดังนี้ หากเป็นความจริงผู้ร้องย่อมมีสิทธิตามคำพิพากษาที่จะบังคับให้จำเลยจดทะเบียนสิทธิได้ก่อนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1300 อันจะบังคับคดีในคดีนี้ให้กระทบกระทั่งถึงสิทธิดังกล่าวของผู้ร้องมิได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 287 การที่ศาลชั้นต้นออกคำสั่งอายัดที่ดินพิพาท และมีหมายห้ามโอนไปยังเจ้าพนักงานที่ดินเป็นวิธีการชั่วคราวก่อนคำพิพากษาเพื่อคุ้มครองปกป้องผลประโยชน์ของโจทก์ให้ได้รับผลตามคำพิพากษาโดยสมบูรณตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 264 ซึ่งมาตรา 259 ให้นำบทบัญญัติว่าด้วยการบังคับคดีมาใช้บังคับแก่วิธีการชั่วคราวโดยอนุโลมฉะนั้นหากได้ความตามคำร้องของผู้ร้อง คำสั่งอายัดและหมายห้ามโอนนั้นก็กระทบกระทั่งสิทธิของผู้ร้อง อาจต้องเพิกถอนเสีย จึงควรรับคำร้องของผู้ร้องไว้ดำเนินการพิจารณาต่อไปศาลล่างมีคำสั่งยกคำร้องของผู้ร้องไม่ชอบด้วยกระบวนพิจารณา
of 189