พบผลลัพธ์ทั้งหมด 3,024 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1930/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
จำกัดวงเงินฎีกาในคดีแพ่ง, การรับช่วงสิทธิค่าเสียหาย, และการวินิจฉัยข้อเท็จจริงที่เชื่อมโยงกับคดีอาญา
ทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาของจำเลยที่1ตามคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์คำนวณเงินต้นและดอกเบี้ยถึงวันฟ้องมีเพียง194,114.18บาทจึงไม่เกินสองแสนบาทห้ามมิให้คู่ความฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา248วรรคหนึ่งจำเลยที่1ฎีกาว่าเหตุพิพาทคดีนี้เกิดเพราะความประมาทของจำเลยที่2แม้ศาลจะฟังว่ารถจักรยานยนต์เฉี่ยวชนกับรถเก๋งก็เป็นเหตุสุดวิสัยฎีกาของจำเลยที่1ดังกล่าวเป็นการโต้แย้งที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยข้อเท็จจริงว่าจำเลยที่1ขับรถโดยประมาทมิได้เกิดจากเหตุสุดวิสัยเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามมิให้ฎีกาตามบทมาตราดังกล่าวข้างต้น ในคดีอาญาพนักงานอัยการเป็นโจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยที่2ตามพระราชบัญญัติจราจรทางบกพ.ศ.2522มาตรา43,46,157รัฐเป็นผู้เสียหายจำเลยที่1ไม่ใช่คู่ความหรือผู้เสียหายในคดีอาญาดังกล่าวในการพิพากษาคดีนี้ศาลจึงไม่จำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญา โจทก์เป็นผู้รับช่วงสิทธิตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา880เมื่อข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่ารถยนต์บรรทุกคันที่โจทก์รับประกันภัยไว้ได้รับความเสียหายเป็นจำนวนแน่นอนเท่าใดศาลจึงกำหนดให้ตามควรแก่พฤติการณ์และความร้ายแรงแห่งละเมิดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา438การที่โจทก์ไปตกลงค่าเสียหายกับผู้เอาประกันภัยและจ่ายค่าเสียหายไปโดยไม่ปรากฏว่าค่าเสียหายมีเพียงใดโจทก์จะเรียกร้องเอาเงินที่โจทก์จ่ายไปดังกล่าวเต็มจำนวนหาได้ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1872/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การลดโทษและลงโทษปรับในคดีอาญาหลายกระทง: ศาลฎีกามีอำนาจจำกัดเมื่อโจทก์มิได้ฎีกา
เมื่อวางโทษประหารชีวิตกระทงหนึ่งในคดีที่จำเลยกระทำความผิดหลายกรรมต่างกันแล้วย่อมวางโทษปรับในความผิดกระทงอื่นอีกได้แต่เมื่อโจทก์มิได้ฎีกาศาลฎีกาก็ไม่อาจลงโทษปรับจำเลยได้เพราะจะเป็นการพิพากษาเพิ่มเติมโทษจำเลยซึ่งต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา212ประกอบมาตรา225
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 182/2538 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อจำกัดการฎีกาในคดีทุนทรัพย์น้อยกว่า 200,000 บาท และการโต้แย้งดุลพินิจศาลในการรับฟังพยานหลักฐาน
คดีนี้จำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกิน 200,000 บาทจึงต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.พ. มาตรา 248 วรรคหนึ่ง ที่จำเลยฎีกาว่าสัญญากู้ฉบับลงวันที่ 14 ตุลาคม 2529 ระหว่างโจทก์กับจำเลยมีอยู่จริง การที่ศาล-อุทธรณ์มิได้หยิบยกเอาพยานเอกสารมาวินิจฉัยประกอบคำเบิกความของพยานโจทก์และจำเลย กลับฟังแต่คำเบิกความของพยานบุคคลเท่านั้น ไม่ชอบด้วยเหตุผลและ ป.วิ.พ.ในเรื่องการรับฟังพยานก็ดี หรือเมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าสัญญากู้มีอยู่จริง โจทก์มิได้โต้แย้งคัดค้านคำสั่งของศาล จึงต้องฟังว่าสัญญากู้มีอยู่จริงก็ดี หรือค่าเสียหายไม่เกินเดือนละ 1,000 บาท ก็ดี ล้วนเป็นฎีกาที่โต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์ จึงเป็นฎีกาในข้อเท็จจริงทั้งสิ้น ต้องห้ามตามบทบญญัติดังกล่าว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1651/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับฟังพยานนอกคำฟ้อง, การพิพากษาเกินคำขอ, และข้อยกเว้นการฎีกา
แม้โจทก์ไม่ได้ส่งสำเนาเอกสารให้จำเลยก่อนวันสืบพยานไม่น้อยกว่า 3 วัน ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 90 ที่ใช้บังคับอยู่ในขณะนั้น แต่ที่ศาลอุทธรณ์ใช้ดุลพินิจรับฟังพยานเอกสารดังกล่าวเพราะเห็นว่าเป็นพยานหลักฐานอันสำคัญซึ่งเกี่ยวกับประเด็น ข้อสำคัญในคดี อันเป็นอำนาจตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 87(2)จึงเป็นการรับฟังพยานหลักฐานที่ชอบด้วยกฎหมาย โจทก์นำสืบถึงการแปลงหนี้ค่าข้าวเปลือกเป็นหนี้ตามสัญญากู้ยืมเงิน เป็นการนำสืบถึงที่มาของหนี้ตามสัญญากู้ยืมเงินแม้โจทก์จะมิได้บรรยายคำฟ้องว่าหนี้ตามสัญญากู้ยืมเงินที่โจทก์นำมาฟ้องเป็นหนี้ที่แปลงมาจากหนี้ค่าข้าเปลือกก็ตามแต่โจทก์ก็มีสิทธินำสืบถึงที่มาและเหตุที่ทำสัญญากู้ยืมเงินตามคำฟ้องได้ ไม่เป็นการนำสืบนอกคำฟ้อง ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ จำเลยชำระเงินแก่โจทก์จำนวน93,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันที่26 กรกฎาคม 2530 จนกว่าจะชำระเสร็จ และศาลอุทธรณ์พิพากษายืน แต่เมื่อคำนวณดอกเบี้ยถึงวันฟ้องได้เป็นจำนวนเงิน42,002.88 บาท ซึ่งเกินกว่าดอกเบี้ยถึงวันฟ้องจำนวน 27,900 บาท ตามคำขอของโจทก์ จึงเป็นการที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาเกินไปกว่าที่ปรากฎในคำฟ้องปัญหาดังกล่าวเป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกา ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขให้ถูกต้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1541/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อจำกัดการฎีกาในข้อเท็จจริง, การรุกล้ำที่ดิน, และความรับผิดของกรรมการบริษัท
คดีนี้จำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทในชั้นฎีกาไม่เกินสองแสนบาท ห้ามมิให้ฎีกาในข้อเท็จจริงตาม ป.พ.พ. มาตรา 248 วรรคหนึ่ง ที่จำเลยฎีกาโต้แย้งกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาท เป็นฎีกาในข้อเท็จจริง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสามรื้อกำแพงของจำเลยที่ปิดกั้นที่ดินโจทก์และให้รื้อหลังคาที่คร่อมที่ดินโจทก์ออกไป เป็นคดีที่โจทก์ใช้สิทธิการเป็นเจ้าของอสังหาริมทรัพย์เรียกร้องให้ขจัดความเดือดร้อนรำคาญให้สิ้นไป ตราบใดที่จำเลยที่ 1 ยังก่อความเดือดร้อนรำคาญอยู่โจทก์ย่อมฟ้องร้องขอให้บังคับได้ มิใช่ฟ้องเรียกค่าเสียหายในทางละเมิด จึงไม่อยู่ในบังคับแห่งอายุความ 1 ปี
จำเลยที่ 1 เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัดซึ่งการแสดงออกย่อมกระทำโดยทางกรรมการ ความเกี่ยวพันระหว่างกรรมการและบริษัทและบุคคลภายนอกให้บังคับตาม ป.พ.พ.ว่าด้วยตัวแทน เมื่อหลังคาโรงงานของจำเลยที่ 1รุกล้ำเป็นละเมิดต่อที่ดินของโจทก์ จำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นกรรมการผู้มีอำนาจจึงต้องร่วมรับผิดในการกระทำละเมิดด้วย
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสามรื้อกำแพงของจำเลยที่ปิดกั้นที่ดินโจทก์และให้รื้อหลังคาที่คร่อมที่ดินโจทก์ออกไป เป็นคดีที่โจทก์ใช้สิทธิการเป็นเจ้าของอสังหาริมทรัพย์เรียกร้องให้ขจัดความเดือดร้อนรำคาญให้สิ้นไป ตราบใดที่จำเลยที่ 1 ยังก่อความเดือดร้อนรำคาญอยู่โจทก์ย่อมฟ้องร้องขอให้บังคับได้ มิใช่ฟ้องเรียกค่าเสียหายในทางละเมิด จึงไม่อยู่ในบังคับแห่งอายุความ 1 ปี
จำเลยที่ 1 เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัดซึ่งการแสดงออกย่อมกระทำโดยทางกรรมการ ความเกี่ยวพันระหว่างกรรมการและบริษัทและบุคคลภายนอกให้บังคับตาม ป.พ.พ.ว่าด้วยตัวแทน เมื่อหลังคาโรงงานของจำเลยที่ 1รุกล้ำเป็นละเมิดต่อที่ดินของโจทก์ จำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นกรรมการผู้มีอำนาจจึงต้องร่วมรับผิดในการกระทำละเมิดด้วย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 153/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คดีมีทุนทรัพย์ไม่เกิน 200,000 บาท ต้องห้ามฎีกาข้อเท็จจริง แม้มีการโต้แย้งดุลพินิจ
โจทก์ทั้งสองฟ้องว่าจำเลยที่1กระทำละเมิดยึดรถยนต์ที่โจทก์ที่1ซื้อไว้จากตัวแทนของจำเลยที่1ทำให้โจทก์ทั้งสองเสียหายโดยโจทก์ที่1ไม่ได้รับเงินค่ารถยนต์ส่วนที่เหลือจากการขายให้โจทก์ที่2และโจทก์ที่2ต้องเสียเงินที่ชำระให้จำเลยที่1แล้วกับไม่ได้รับประโยชน์จากการใช้รถยนต์แต่ละวันจำเลยที่1ให้การต่อสู้ว่ารถยนต์เป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยที่1ไม่ได้ให้ผู้ใดเป็นตัวแทนไปขายให้โจทก์ที่1เป็นการโต้เถียงกรรมสิทธิ์ในรถยนต์จึงเป็นคดีมีทุนทรัพย์ตามราคารถยนต์เมื่อโจทก์แต่ละคนต่างเรียกร้องให้จำเลยที่1รับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายที่ตนได้รับเท่านั้นจึงเป็นหนี้ที่แบ่งแยกกันชำระได้เมื่อคดีสำหรับโจทก์แต่ละคนเป็นคดีที่ราคาทรัพย์สินหรือจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกิน200,000บาทจึงต้องห้ามมิให้ฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา248วรรคหนึ่ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1517/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาที่เกี่ยวข้องกับข้อต้องห้ามอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง และอำนาจฟ้องที่เป็นสาระสำคัญของคดี
จำเลยฎีกาว่าคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ไม่ชอบเพราะต้องห้ามอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงเป็นคดีที่มีคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาได้และเป็นเรื่องอำนาจฟ้องซึ่งเป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนเป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา249
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1280/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อจำกัดการฎีกาในคดีแพ่งที่มีทุนทรัพย์พิพาทไม่เกินสองแสนบาท และการโต้แย้งดุลพินิจศาล
โจทก์ฟ้องขอให้ห้ามจำเลยทั้งสองนำรถยนต์โดยสารเข้ามาจอดหรือใช้ประโยชน์ในพื้นที่เช่าของโจทก์และขอให้ชำระค่าเสียหายพร้อมดอกเบี้ยและค่าเสียหายในอนาคตอีกเดือนละ20,000บาทจำเลยทั้งสองให้การต่อสู้ว่าเป็นเรื่องผิดสัญญาเช่ามิใช่ละเมิดโดยเดิมจำเลยที่2เคยเช่าโดยค่าเช่าเดือนละ10,000บาทต่อมาโจทก์ขอขึ้นค่าเช่าเป็นเดือนละ20,000บาทจึงไม่เช่าต่อดังนั้นจุดประสงค์ของคดีคือพิพาทกันเรื่องค่าเช่าที่ค้างและเงินค่าเสียหายส่วนคำขอของโจทก์ที่ห้ามจำเลยทั้งสองมิให้กระทำการดังกล่าวเป็นเพียงผลต่อเนื่องมาจากความประสงค์สำคัญที่ขอให้ศาลกำหนดเงินค่าเช่าและค่าเสียหายซึ่งเป็นคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันอาจคำนวณเป็นราคาเงินได้เมื่อคดีมีทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกินสองแสนบาทจึงต้องห้ามมิให้ฎีกาในข้อเท็จจริง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1280/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาต้องห้าม: คดีค่าเช่าและค่าเสียหายเกินทุนทรัพย์ที่ฟ้องร้องในชั้นฎีกา
โจทก์ฟ้องขอให้ห้ามจำเลยทั้งสองนำรถยนต์โดยสารเข้ามาจอดหรือใช้ประโยชน์ในพื้นที่เช่าของโจทก์และขอให้ชำระค่าเสียหายพร้อมดอกเบี้ยและค่าเสียหายในอนาคตอีกเดือนละ20,000บาทจำเลยทั้งสองให้การต่อสู้ว่าเป็นเรื่องผิดสัญญาเช่ามิใช่ละเมิดโดยเดิมจำเลยที่2เคยเช่าในราคาเดือนละ10,000บาทแต่ต่อมาโจทก์ขอขึ้นค่าเช่าเป็นเดือนละ20,000บาทซึ่งสูงเกินไปจึงไม่เช่าต่อดังนั้นจุดประสงค์ของคดีคือพิพาทกันเรื่องค่าเช่าที่ค้างและเงินค่าเสียหายจึงเป็นคดีที่มีคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันอาจคำนวณเป็นราคาเงินได้แม้โจทก์มีคำขอให้ห้ามจำเลยทั้งสองนำรถยนต์โดยสารเข้ามาจอดหรือใช้ประโยชน์ในพื้นที่เช่าของโจทก์ก็ตามก็เป็นเพียงผลต่อเนื่องมาจากความประสงค์สำคัญที่ขอให้ศาลกำหนดเงินค่าเช่าและค่าเสียหายคดีจึงมีทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกินสองแสนบาทต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา248วรรคหนึ่ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1255/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อตกลงประนีประนอมยอมความในการหย่าขาดจากกัน เป็นเหตุให้ไม่อุทธรณ์ฎีกาได้
การที่ศาลชั้นต้นพิพากษาให้โจทก์จำเลยหย่าขาดจากกันโดยให้จำเลยเป็นผู้ปกครองดูแลบุตรผู้เยาว์ทั้งสามและเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองแต่เพียงผู้เดียวตามที่คู่ความได้ตกลงกันนั้นประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา138วรรคสองบัญญัติห้ามมิให้อุทธรณ์คำพิพากษาเช่นว่านี้เว้นแต่จะเข้าข้อยกเว้นแห่งบทบัญญัติของมาตราดังกล่าวฉะนั้นเมื่อจำเลยอุทธรณ์คำพิพากษาศาลชั้นต้นเพียงว่าจำเลย ไม่ได้ สละประเด็นเรื่อง อำนาจฟ้องอันเป็นการโต้แย้งข้อความที่ตกลงกันและมิได้มีข้อความใดๆที่แสดงให้เห็นว่าอุทธรณ์ของจำเลยต้องด้วยบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา138วรรคสองการที่ศาลอุทธรณ์ภาค3รับวินิจฉัยตามที่จำเลยอุทธรณ์ย่อมไม่ชอบจึงเป็นข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลอุทธรณ์ภาค3จำเลยไม่อาจฎีกาในประเด็นนี้ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา249วรรคแรกศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้