พบผลลัพธ์ทั้งหมด 2,589 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4067/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
พยานหลักฐานไม่ชัดเจน ความสัมพันธ์ผู้เสียหาย-จำเลย และระยะเวลาแจ้งความ เป็นเหตุให้ต้องยกประโยชน์แห่งความสงสัย
โจทก์มีผู้เสียหายเป็นประจักษ์พยานเพียงปากเดียวเบิกความยืนยันว่า จำเลยเป็นคนร้ายที่ใช้มีดปลายแหลมจี้แล้วกระชากเอาสร้อยคอทองคำของผู้เสียหายไป แต่ผู้เสียหายตอบคำถามค้านทนายจำเลยว่า ผู้เสียหายกับจำเลยเป็นญาติกัน บ้านอยู่ห่างกันประมาณ 1 กิโลเมตร ทางเข้าออกบ้านจำเลยต้องผ่านบ้านผู้เสียหาย ผู้เสียหายกับจำเลยพบกันเป็นประจำ และเบิกความว่าหลังเกิดเหตุยังเห็นจำเลยขับรถจักรยานยนต์ผ่านไปมาตามปกติไม่ได้หลบหนีไปไหนแต่ทั้งผู้เสียหายและบิดาของผู้เสียหายไม่เคยพูดกับจำเลยถึงเรื่องที่เกิดขึ้นแต่อย่างใดผู้เสียหายเพิ่งแจ้งความหลังจากเกิดเหตุคดีนี้แล้วถึง 17 วัน และเหตุที่จำเลยถูกจับกุมก็เป็นเรื่องอื่นมิใช่เพราะผู้เสียหายไปแจ้งความไว้ แสดงว่าผู้เสียหายเองก็ไม่แน่ใจว่าจำเลยเป็นคนร้ายหรือไม่ พยานโจทก์มีเหตุอันควรสงสัย จึงต้องยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลยตาม ป.วิ.อ. มาตรา 227 วรรคสอง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4067/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความน่าเชื่อถือของพยานหลักฐานและการยกประโยชน์แห่งความสงสัยในคดีอาญา
โจทก์มีผู้เสียหายเป็นประจักษ์พยานเพียงปากเดียวเบิกความยืนยันว่า จำเลยเป็นคนร้ายที่ใช้มีดปลายแหลมจี้แล้วกระชากเอาสร้อยคอทองคำของผู้เสียหายไป แต่ผู้เสียหายตอบคำถามค้านทนายจำเลยว่าผู้เสียหายกับจำเลยเป็นญาติกัน บ้านอยู่ห่างกันประมาณ 1 กิโลเมตรทางเข้าออกบ้านจำเลยต้องผ่านบ้านผู้เสียหาย ผู้เสียหายกับจำเลยพบกันเป็นประจำ และเบิกความว่าหลังเกิดเหตุยังเห็นจำเลยขับรถจักรยานยนต์ผ่านไปมาตามปกติไม่ได้หลบหนีไปไหนแต่ทั้งผู้เสียหายและบิดาของผู้เสียหายไม่เคยพูดกับจำเลยถึงเรื่องที่เกิดขึ้นแต่อย่างใด ผู้เสียหายเพิ่งแจ้งความหลังจากเกิดเหตุคดีนี้แล้วถึง17 วัน และเหตุที่จำเลยถูกจับกุมก็เป็นเรื่องอื่นมิใช่เพราะผู้เสียหายไปแจ้งความไว้ แสดงว่าผู้เสียหายเองก็ไม่แน่ใจว่าจำเลยเป็นคนร้ายหรือไม่ พยานโจทก์มีเหตุอันควรสงสัย จึงต้องยกประโยชน์แห่งความสงสัย ให้จำเลยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 227 วรรคสอง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3969/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การอุทธรณ์สัญญาประนีประนอมยอมความต้องมีพยานหลักฐานสนับสนุนข้ออ้างฉ้อฉล หากไม่มีพยาน ศาลไม่รับวินิจฉัย
จำเลยอุทธรณ์คำพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความ โดยอ้างว่าอีกฝ่ายหนึ่งฉ้อฉล ศาลฎีกาสั่งให้ศาลชั้นต้นไต่สวน จำเลยมิได้นำพยานหลักฐานมาสืบให้เห็นตามที่อ้างไว้ในคำฟ้องอุทธรณ์ จึงมิใช่เรื่องการฉ้อฉลตามที่อ้าง ไม่เข้าเหตุที่จะอุทธรณ์ได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 138(1)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3969/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การอุทธรณ์สัญญาประนีประนอมยอมความต้องมีพยานหลักฐานสนับสนุน หากอ้างฉ้อฉลแต่ไม่นำสืบ ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยไม่ชอบ
จำเลยอุทธรณ์คำพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความ โดยอ้างว่าฝ่ายโจทก์ฉ้อฉล ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้เพิกถอนสัญญาประนีประนอมยอมความ โจทก์ฎีกา ศาลฎีกาเห็นว่าข้อเท็จจริงในสำนวนยังไม่เพียงพอที่จะวินิจฉัยคดีตามฎีกาโจทก์ได้จึงมีคำสั่งให้ศาลชั้นต้นไต่สวนพยานเกี่ยวกับข้อเท็จจริงที่จำเลยและโจทก์กล่าวอ้างในชั้นอุทธรณ์ แต่จำเลยมิได้นำพยานหลักฐานมาสืบตามที่อ้างไว้ในคำฟ้องอุทธรณ์ กรณีจึงไม่ใช่เรื่องมีการฉ้อฉลตามที่อ้างไม่เข้าเหตุที่จะอุทธรณ์ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 138(1) ที่ศาลอุทธรณ์รับวินิจฉัยมาจึงเป็นการไม่ชอบ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3947/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับฟังพยานหลักฐานสัญญาประกันภัย: สำเนาใบอนุญาตขับขี่ และภาระการพิสูจน์ของผู้รับประกันภัย
ต้นฉบับใบอนุญาตขับรถยนต์ของ น. ซึ่งเป็นผู้ขับรถยนต์คันเกิดเหตุอยู่ในความครอบครองของ น. ซึ่งหลบหนีคดีอาญา โจทก์ที่ 1 จึงอยู่ในฐานะที่ไม่อาจจะนำต้นฉบับใบอนุญาตขับรถยนต์นั้นมาเป็นพยานเอกสารได้ จึงเป็นกรณีเข้าข้อยกเว้นที่ว่าไม่สามารถนำต้นฉบับมาได้โดยประการอื่นศาลจึงรับฟังสำเนาหรือภาพถ่ายเอกสารนั้นได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 93(2) จำเลยให้การรับว่าได้รับประกันภัยรถยนต์ของโจทก์ที่ 1ไว้จริงแต่จำเลยไม่ต้องรับผิดตามสัญญาประกันเพราะผู้ขับรถยนต์คันดังกล่าวไม่ได้รับอนุญาตให้ขับรถยนต์ได้ตามกฎหมาย ซึ่งเป็นข้อยกเว้นความรับผิดตามกรมธรรม์ประกันภัยข้ออ้างดังกล่าวจำเลยเป็นฝ่ายกล่าวอ้างขึ้นในคำให้การจึงมีหน้าที่นำสืบในข้อนี้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3815/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิสูจน์ความเป็นเจ้าของทรัพย์สินของกลางในคดีพนัน พยานหลักฐานขัดแย้งไม่อาจรับฟังได้
คดีชั้นร้องขอคืนของกลาง ผู้ร้องมีหน้าที่นำสืบว่าผู้ร้องเป็นเจ้าของของกลางตามที่กล่าวอ้าง เมื่อพยานหลักฐานที่ผู้ร้องนำสืบมาแตกต่างขัดกันรับฟังไม่ได้ว่า ผู้ร้องเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ของกลาง ผู้ร้องจึงไม่มีสิทธิร้องขอคืนของกลาง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3804/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิจารณาพยานหลักฐานในคดีตัวแทน: ศาลอุทธรณ์ต้องพิจารณาเอกสารท้ายฟ้องประกอบคำฟ้อง
โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยในฐานะตัวแทนมีหน้าที่ต้องส่งมอบเงินและทรัพย์สินให้โจทก์ในฐานะตัวการ รวมทั้งเงินสดที่จำเลยในฐานะตัวแทนได้รับไว้แทนโจทก์ในฐานะตัวการ 2 รายการคือ ลูกหนี้58,301.35 บาท ซึ่งเป็นที่เข้าใจได้ว่าโจทก์กล่าวในฟ้องว่ามีเงินสดจำนวนดังกล่าวอยู่ที่จำเลยแล้ว ส่วนอีกรายการคือสินค้าคงเหลือ57,887.95 บาท ปรากฏตามสำเนาหนังสือทวงถามจากทนายโจทก์ให้จำเลยชำระหนี้เอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 3 เมื่อพิจารณาตามฟ้องโจทก์ประกอบกับเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 3 ซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งของฟ้องโจทก์ได้ยืนยันว่าจำเลยได้จำหน่ายสินค้าคงเหลือเป็นตัวเงินแล้วดังนั้นการที่ศาลอุทธรณ์พิจารณาเพียงจากสภาพคำฟ้องและพิพากษากลับให้ยกฟ้อง โดยวินิจฉัยว่าตามฟ้องโจทก์ขอให้จำเลยชำระเงินสดจำนวน116,189.30 บาท แต่ตามคำฟ้องทั้งสองรายการแปลได้ว่าไม่มีเงินสดอยู่ที่จำเลย ฟ้องโจทก์จึงไม่อาจบังคับกับจำเลยได้นั้น ถือว่าศาลอุทธรณ์มิได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่ง ป.วิ.พ. ว่าด้วยการพิจารณาศาลอุทธรณ์ชอบที่จะพิจารณาพยานหลักฐานตามที่คู่ความนำสืบโต้แย้งก่อนแล้วจึงวินิจฉัย กรณีมีเหตุสมควรที่ศาลฎีกาจะย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาและมีคำพิพากษาใหม่ ตามมาตรา 247 ประกอบด้วยมาตรา 243(2)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3804/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิจารณาพยานหลักฐานในคดีตัวแทน จำหน่ายสินค้าคงเหลือ ศาลต้องพิจารณาตามข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานที่คู่ความนำสืบ
โจทก์บรรยายฟ้องว่า "จำเลยในฐานะตัวแทนมีหน้าที่ต้องส่งมอบเงินสดที่จำเลยในฐานะตัวแทนได้รับไว้ รวม 2 รายการ คือ ก.ลูกหนี้ 58,301.35 บาท " ย่อมเป็นที่เข้าใจได้ว่าโจทก์กล่าวในฟ้องว่ามีเงินสดจำนวนดังกล่าวอยู่ที่จำเลยแล้ว ส่วนรายการ "ข.สินค้าคงเหลือมีข้อความระบุว่า" ตลอดจนเงินสดตามบัญชีเงินสดดังกล่าวว่าด้วยลูกหนี้และสินค้าคงเหลือซึ่งท่านได้จำหน่ายไปหมดสิ้นแล้วจำนวน 116,189.30 บาท จำหน่ายสินค้าคงเหลือจำนวน116,189.30 บาท คืน" ก็ถือได้ว่าโจทก์ได้ยืนยันแล้วว่าจำเลยได้จำหน่ายสินค้าคงเหลือเป็นตัวเงินแล้ว ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิจารณาเพียงจากสภาพคำฟ้องแล้ววินิจฉัยว่า รายการในบัญชีเงินสดลูกหนี้และสินค้าคงเหลือในทางบัญชีย่อมหมายความว่าเป็นรายการที่บุคคลภายนอกหรือลูกหนี้ค้างชำระอยู่ จำเลยยังหาได้รับเงินจากลูกหนี้ไม่จึงไม่มีเงินสดอยู่ในความครอบครองของจำเลย จำเลยจึงไม่ต้องรับผิด และพิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์ โดยไม่พิจารณาพยานหลักฐานตามที่คู่ความนำสืบโต้แย้งกันก่อนถือได้ว่าศาลอุทธรณ์ภาค 1มิได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งกรณีมีเหตุย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิจารณาและมีคำพิพากษาใหม่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 247 ประกอบด้วย243(2)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3779/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
พยานหลักฐานไม่เพียงพอรับฟังว่าจำเลยกระทำความผิด ฎีกาแก้ฟ้องได้ แม้ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์มีผู้เสียหายเป็นประจักษ์พยานเพียงคนเดียว และไม่ได้ตัวมาเบิกความ คงมีแต่คำให้การชั้นสอบสวนของผู้เสียหาย บันทึกการชี้ตัวผู้ต้องหาและภาพถ่ายการชี้ตัวผู้ต้องหา ที่ผู้เสียหายเป็นผู้ชี้เป็นพยานต่อศาลว่า ผู้เสียหายจำจำเลยได้ว่าเป็นคนร้าย แต่พยานหลักฐานโจทก์ดังกล่าวเป็นพยานชั้นสอง มิได้ทำต่อหน้าศาล จำเลยไม่มีโอกาสซักค้านเพื่อให้ข้อเท็จจริงเป็นที่กระจ่างชัดแก่ศาลได้พยานโจทก์ที่เหลือมีแต่คำให้การรับสารภาพของจำเลยในชั้นสอบสวนและในชั้นแจ้งข้อหา บันทึกการนำชี้เกิดเหตุประกอบคำรับสารภาพ และภาพถ่ายผู้ต้องหานำชี้ที่เกิดเหตุประกอบคำรับสารภาพ เมื่อจำเลยนำสืบต่อสู้ว่าได้ให้การรับสารภาพดังกล่าวเพราะถูกขู่บังคับและทำร้าย แม้โจทก์จะมีพนักงานสอบสวนผู้ดำเนินการตามเอกสารและภาพถ่ายดังกล่าวมาเป็นพยานประกอบ พยานหลักฐานโจทก์ก็ยังไม่มีน้ำหนักเพียงพอให้รับฟังว่าจำเลยเป็นคนร้ายที่ใช้อาวุธปืนจี้ชิงทรัพย์ผู้เสียหายตามฟ้อง
ความผิดฐานมีอาวุธปืนไว้ในครอบครองและพาอาวุธปืนติดตัวไปตามทางสาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาตนั้น แม้ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ลงโทษจำคุกจำเลยแต่ละกระทงไม่เกิน 5 ปี ซึ่งต้องห้ามมิให้จำเลยฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.อ. มาตรา 218 วรรคแรก เมื่อศาลฎีกาเห็นว่าพยานหลักฐานโจทก์ไม่มีน้ำหนักเพียงพอให้รับฟังว่าจำเลยเป็นคนร้ายที่ใช้อาวุธปืนจี้ชิงทรัพย์ผู้เสียหายแล้ว ย่อมฟังไม่ได้ว่าจำเลยมีอาวุธปืนไว้ในครอบครองและพาอาวุธปืนติดตัวไปตามฟ้องด้วย ศาลฎีกามีอำนาจพิพากษายกฟ้องโจทก์ในความผิดทั้งสองฐานนี้ได้ด้วย ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 185
ความผิดฐานมีอาวุธปืนไว้ในครอบครองและพาอาวุธปืนติดตัวไปตามทางสาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาตนั้น แม้ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ลงโทษจำคุกจำเลยแต่ละกระทงไม่เกิน 5 ปี ซึ่งต้องห้ามมิให้จำเลยฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.อ. มาตรา 218 วรรคแรก เมื่อศาลฎีกาเห็นว่าพยานหลักฐานโจทก์ไม่มีน้ำหนักเพียงพอให้รับฟังว่าจำเลยเป็นคนร้ายที่ใช้อาวุธปืนจี้ชิงทรัพย์ผู้เสียหายแล้ว ย่อมฟังไม่ได้ว่าจำเลยมีอาวุธปืนไว้ในครอบครองและพาอาวุธปืนติดตัวไปตามฟ้องด้วย ศาลฎีกามีอำนาจพิพากษายกฟ้องโจทก์ในความผิดทั้งสองฐานนี้ได้ด้วย ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 185
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3779/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
พยานหลักฐานโจทก์อ่อนแอ ไม่สามารถรับฟังได้ว่าจำเลยกระทำความผิดฐานชิงทรัพย์และมีอาวุธปืน
โจทก์มีผู้เสียหายเป็นประจักษ์พยานเพียงคนเดียวและไม่ได้ตัวมาเบิกความ คงมีแต่คำให้การชั้นสอบสวนของผู้เสียหาย บันทึกการชี้ตัวผู้ต้องหาและภาพถ่าย การ ชี้ตัวผู้ต้องหา ที่ผู้เสียหายเป็นผู้ชี้เป็นพยานต่อศาลว่าผู้เสียหายจำจำเลยได้ว่าเป็นคนร้าย แต่พยานหลักฐานโจทก์ดังกล่าวเป็นพยานชั้นสอง มิได้ทำต่อหน้าศาล จำเลยไม่มีโอกาส ซักค้านเพื่อให้ข้อเท็จจริงเป็นที่กระจ่างชัดแก่ศาลได้ พยานโจทก์ที่เหลือมีแต่คำให้การรับสารภาพของจำเลยในชั้นสอบสวนและในชั้นแจ้งข้อหา บันทึกการนำชี้เกิดเหตุประกอบคำสารภาพ และภาพถ่ายผู้ต้องหานำชี้ที่เกิดเหตุประกอบคำรับสารภาพ เมื่อจำเลยนำสืบต่อสู้ว่าได้ให้ การรับสารภาพดังกล่าวเพราะถูกขู่บังคับและทำร้าย แม้โจทก์จะมีพนักงานสอบสวนผู้ดำเนินการตามเอกสารและภาพถ่ายดังกล่าวมา เป็นพยานประกอบ พยานหลักฐานโจทก์ก็ยังไม่มีน้ำหนักเพียงพอให้รับฟังว่าจำเลยเป็นคนร้ายที่ใช้อาวุธปืนจี้ชิงทรัพย์ผู้เสียหายตามฟ้อง ความผิดฐานมีอาวุธปืนไว้ในครอบครองและพาอาวุธปืนติดตัวไปตาม ทางสาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาตนั้น แม้ศาลอุทธรณ์พิพากษา ยืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ลงโทษจำคุกจำเลยแต่ละกระทง ไม่เกิน 5 ปี ซึ่งต้องห้ามมิให้จำเลยฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคแรก เมื่อศาลฎีกาเห็นว่าพยานหลักฐานโจทก์ไม่มีน้ำหนักเพียงพอ ให้รับฟังว่าจำเลยเป็นคนร้ายที่ใช้อาวุธปืนจี้ชิงทรัพย์ ผู้เสียหายแล้ว ย่อมฟังไม่ได้ว่าจำเลยมีอาวุธปืน ไว้ในครอบครองและพาอาวุธปืนติดตัวไปตามฟ้องด้วย ศาลฎีกามีอำนาจ พิพากษายกฟ้องโจทก์ในความผิดทั้งสองฐานนี้ได้ด้วย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 185