พบผลลัพธ์ทั้งหมด 3,432 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6976/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความหนี้ค่าที่พักโรงแรม: ศาลฎีกาวินิจฉัยอายุความ 2 ปี ใช้บังคับกับผู้รับชดใช้ แม้ไม่ได้เป็นผู้พักอาศัย
โจทก์กับจำเลยทำธุรกิจท่องเที่ยวร่วมกันโดยมีข้อตกลงกันว่าจำเลยจะจัดส่งนักท่องเที่ยวเข้าไปพักที่โรงแรมของโจทก์โดยโจทก์จะคิดค่าบริการต่างๆที่นักท่องเที่ยวใช้บริการจากจำเลยภายหลังจำเลยได้นำนักท่องเที่ยวเข้าพักที่โรงแรมของโจทก์แล้วโจทก์ได้ออกบิลสินเชื่อเรียกเก็บเงินค่าห้องพักและอาหารจากจำเลยโจทก์จึงอาจบังคับสิทธิเรียกร้องได้ตั้งแต่วันที่ออกบิลสินเชื่อดังกล่าวและมีอายุความ2ปีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา165(4)เดิมแม้จำเลยไม่ได้เป็นผู้มาพักหรือรับบริการเองแต่จำเลยได้ตกลงไว้ล่วงหน้าแล้วว่าตนเองจะเป็นผู้รับชดใช้ให้เช่นนี้ย่อมถือได้ว่าจำเลยเป็นลูกหนี้ในมูลหนี้ตามบทบัญญัติดังกล่าว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6923/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเลิกจ้างไม่เป็นธรรม: ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยอุทธรณ์ข้อเท็จจริง
ศาลแรงงานวินิจฉัยฟังข้อเท็จจริงว่ารายรับของจำเลยเป็นวิธีแสวงหากำไรในทางเศรษฐกิจวิธีหนึ่ง ในแต่ละปีจำเลยมีกำไรจัดแบ่งโบนัสให้แก่โจทก์และพนักงานคนอื่น จำเลยอุทธรณ์ว่ารายรับของจำเลยไม่มีกำไร จึงเป็นอุทธรณ์โต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลแรงงานอันเป็นปัญหาข้อเท็จจริงส่วนที่โจทก์อุทธรณ์ว่า เอกสารหมาย ล.3 เป็นเพียงซีด้าหารือมาเพื่อให้จำเลยหาทางลดจำนวนพนักงานลงเพื่อประหยัดค่าใช้จ่ายในปีต่อไปเท่านั้น หลังจากที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์แล้ว จำเลยก็ยังประกาศรับสมัครพนักงานอื่นอีกและได้เปลี่ยนวิธีการเป็นจ้างนิติบุคคลมาทำงานแทน จำเลยเลิกจ้างโจทก์ก่อนครบกำหนดตามสัญญา ทำให้โจทก์มีปัญหาในครอบครัวของโจทก์ที่ขาดรายได้ตามปกติ การที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์ซึ่งโจทก์ยังมีสิทธิที่จะได้ทำงานตามสัญญาอีกมีระยะเวลาถึง 7 เดือน ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายอย่างมาก เพราะโจทก์หวังว่าจะได้ทำงานจนครบกำหนดตามสัญญาและเมื่อใกล้จะครบกำหนดตามสัญญาโจทก์จึงจะหางานใหม่ได้ทัน จำเลยทำสัญญาไว้กับโจทก์มีระยะเวลาที่แน่นอนและโจทก์มิได้กระทำความผิด ที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์จึงเป็นการเลิกจ้างไม่เป็นธรรม ซึ่งโจทก์มีสิทธิที่จะได้รับค่าเสียหายนั้น ศาลแรงงานวินิจฉัยฟังข้อเท็จจริงว่า หน่วยงานการพัฒนาระหว่างประเทศของแคนาดา (CIDA)มีคำสั่งให้ลดพนักงานลงเนื่องจากโครงการของหน่วยงานการพัฒนาระหว่างประเทศของแคนาดา (CIDA) มีจำนวนลดลงจริง จำเลยจึงมีเหตุผลเพียงพอเป็นการเลิกจ้างที่เป็นธรรม โจทก์อุทธรณ์ว่าหน่วยงานการพัฒนาระหว่างประเทศแคนาดา(CIDA) เพียงแต่หารือมาให้จำเลยหาทางลดจำนวนพนักงานลงเพื่อประหยัดค่าใช้จ่ายในปีต่อไปเท่านั้น จำเลยเลิกจ้างโจทก์จึงเป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมนั้นเป็นอุทธรณ์โต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลแรงงานอันเป็นปัญหาข้อเท็จจริงเช่นเดียวกัน อุทธรณ์ของโจทก์และจำเลยจึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามพ.ร.บ.จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522 มาตรา 54วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6923/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมและการโต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐาน ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยอุทธรณ์เนื่องจากเป็นปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลแรงงานวินิจฉัยฟังข้อเท็จจริงว่ารายรับของจำเลยเป็นวิธีแสวงหากำไรในทางเศรษฐกิจวิธีหนึ่ง ในแต่ละปีจำเลยมีกำไรจัดแบ่งโบนัสให้แก่โจทก์และพนักงานคนอื่นจำเลยอุทธรณ์ว่ารายรับของจำเลยไม่มีกำไร จึงเป็นอุทธรณ์โต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลแรงงานอันเป็นปัญหาข้อเท็จจริงส่วนที่โจทก์อุทธรณ์ว่าเอกสารหมาย ล.3 เป็นเพียงซีด้าหารือมาเพื่อให้จำเลยหาทางลดจำนวนพนักงานลงเพื่อประหยัดค่าใช้จ่ายในปีต่อไปเท่านั้นหลังจากที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์แล้ว จำเลยก็ยังประกาศรับสมัครพนักงานอื่นอีกและได้เปลี่ยนวิธีการเป็นจ้างนิติบุคคลมาทำงานแทน จำเลยเลิกจ้างโจทก์ก่อนครบกำหนดตามสัญญา ทำให้โจทก์มีปัญหาในครอบครัวของโจทก์ที่ขาดรายได้ตามปกติ การที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์ซึ่งโจทก์ยังมีสิทธิที่จะได้ทำงานตามสัญญาอีกมีระยะเวลาถึง7 เดือน ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายอย่างมาก เพราะโจทก์หวังว่าจะได้ทำงานจนครบกำหนดตามสัญญาและเมื่อใกล้จะครบกำหนดตามสัญญาโจทก์จึงจะหางานใหม่ได้ทัน จำเลยทำสัญญาไว้กับโจทก์มีระยะเวลาที่แน่นอนและโจทก์มิได้กระทำความผิดที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์จึงเป็นการเลิกจ้างไม่เป็นธรรมซึ่งโจทก์มีสิทธิที่จะได้รับค่าเสียหายนั้น ศาลแรงงานวินิจฉัยฟังข้อเท็จจริงว่า หน่วยงานการพัฒนาระหว่างประเทศของแคนาดา (CIDA) มีคำสั่งให้ลดพนักงานลงเนื่องจากโครงการของหน่วยงานการพัฒนาระหว่างประเทศของแคนาดา (CIDA) มีจำนวนลดลงจริง จำเลยจึงมีเหตุผลเพียงพอเป็นการเลิกจ้างที่เป็นธรรม โจทก์อุทธรณ์ว่าหน่วยงานการพัฒนาระหว่างประเทศแคนาดา (CIDA) เพียงแต่หารือมาให้จำเลยหาทางลดจำนวนพนักงานลงเพื่อประหยัดค่าใช้จ่ายในปีต่อไปเท่านั้น จำเลยเลิกจ้างโจทก์จึงเป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมนั้นเป็นอุทธรณ์โต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลแรงงานอันเป็นปัญหาข้อเท็จจริงเช่นเดียวกัน อุทธรณ์ของโจทก์และจำเลยจึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 54 วรรคหนึ่งศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6860/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ประเด็นทางสาธารณะและการละเมิด: ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยประเด็นที่มิได้ยกขึ้นในชั้นอุทธรณ์
แม้จำเลยได้ยื่นคำแก้อุทธรณ์ในปัญหาที่ว่าที่ดินของจำเลยไม่มีทางสาธารณะตัดผ่าน และโจทก์ทั้งหกไม่ได้รับความเสียหายเป็นพิเศษ แต่คำแก้อุทธรณ์ได้ยื่นเข้ามาเมื่อพ้นกำหนดและศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับเป็นเพียงคำแถลงการณ์เท่านั้น ซึ่งไม่ก่อให้เกิดเป็นประเด็นในชั้นอุทธรณ์ตามคำแก้อุทธรณ์ของจำเลยดังกล่าวคดีจึงมีปัญหาในชั้นอุทธรณ์ตามอุทธรณ์ของโจทก์ทั้งหกแต่เพียงว่า ทางสาธารณะพิพาทกว้างเท่าใดและโจทก์ทั้งหกได้รับความเสียหายเป็นพิเศษหรือไม่ ดังนั้นที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยในปัญหาที่ว่า ที่ดินของจำเลยมีทางสาธารณะตัดผ่านหรือไม่ จึงเป็นการวินิจฉัยนอกเหนือไปจากประเด็นที่คู่ความยกขึ้นอ้างในชั้นอุทธรณ์ เป็นการไม่ชอบและถือว่าประเด็นดังกล่าวเป็นอันยุติไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น แม้จำเลยฎีกาในปัญหาดังกล่าวต่อมาก็ถือว่าเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลอุทธรณ์โดยชอบ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
ทางสาธารณะที่พิพาทที่ผ่านที่ดินของจำเลยเป็นทางสาธารณะจากหมู่บ้านออกสู่ถนนสายธนบุรี - ปากท่อ โจทก์ทั้งหกซึ่งมีที่ดินและบ้านพักอาศัยอยู่ในท้องที่หมู่บ้านดังกล่าวเคยใช้ทางสาธารณะที่พิพาทอยู่แต่เดิม การที่จำเลยทำรั้วปิดกั้นทางสาธารณะที่พิพาทย่อมทำให้โจทก์ทั้งหกเสียหายไม่สามารถใช้ทางสาธารณะที่พิพาทเป็นทางเข้าออกได้ การกระทำของจำเลยจึงทำให้โจทก์ทั้งหกได้รับความเสียหายเป็นพิเศษและเป็นละเมิดต่อโจทก์ทั้งหก โจทก์ทั้งหกจึงมีอำนาจฟ้อง
ทางสาธารณะที่พิพาทที่ผ่านที่ดินของจำเลยเป็นทางสาธารณะจากหมู่บ้านออกสู่ถนนสายธนบุรี - ปากท่อ โจทก์ทั้งหกซึ่งมีที่ดินและบ้านพักอาศัยอยู่ในท้องที่หมู่บ้านดังกล่าวเคยใช้ทางสาธารณะที่พิพาทอยู่แต่เดิม การที่จำเลยทำรั้วปิดกั้นทางสาธารณะที่พิพาทย่อมทำให้โจทก์ทั้งหกเสียหายไม่สามารถใช้ทางสาธารณะที่พิพาทเป็นทางเข้าออกได้ การกระทำของจำเลยจึงทำให้โจทก์ทั้งหกได้รับความเสียหายเป็นพิเศษและเป็นละเมิดต่อโจทก์ทั้งหก โจทก์ทั้งหกจึงมีอำนาจฟ้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6849/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเพิกถอนการจดทะเบียนแก้ไขเนื้อที่ดินที่ไม่ชอบ ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าผู้รับผิดชอบการจดทะเบียนต้องเพิกถอนให้ถูกต้อง
เมื่อกรมที่ดินจำเลยที่4จะต้องรับผิดตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ในการเพิกถอนการจดทะเบียนแก้ไขเนื้อที่และรูปแผนที่ในโฉนดของจำเลยที่1ซึ่งหากไม่อาจเพิกถอนได้ผู้ที่จะใช้ราคาที่ดินคือจำเลยที่1ส่วนจำเลยที่2และที่3มิได้ถูกพิพากษาให้ต้องรับผิดเมื่อเป็นเช่นนี้ในการรังวัดที่ดินของจำเลยที่2ซึ่งเป็นพนักงานรังวัดที่ดินและการเสนอความเห็นของจำเลยที่3ซึ่งเป็นหัวหน้าหมวดรังวัดที่ดินต่อผู้บังคับบัญชาเพื่อแก้ไขเนื้อที่และรูปแผนที่ในโฉนดที่ดินไม่ว่าโจทก์จะได้ไปชี้แนวเขตหรือไม่และจำเลยที่2และที่3ได้กระทำตามระเบียบว่าด้วยการรังวัดหรือไม่ก็ตามในเมื่อมีการจดทะเบียนแก้ไขเนื้อที่และรูปแผนที่ในโฉนดที่ดินเป็นเหตุให้จำเลยที่1ได้รับที่ดินเพิ่มขึ้นและทำให้ที่ดินพิพาทของโจทก์ตกเป็นของจำเลยที่1การจดทะเบียนที่ได้ทำไปจึงเป็นการไม่ชอบจำเลยที่4ในฐานะที่เป็นผู้รับผิดชอบเกี่ยวกับการจดทะเบียนในโฉนดที่ดินจึงมีหน้าที่ที่จะต้องเพิกถอนการจดทะเบียนแก้ไขเนื้อที่และรูปแผนที่ในโฉนดที่ดินให้ถูกต้องศาลจึงพิพากษาบังคับให้จำเลยที่4ทำการเพิกถอนการจดทะเบียนดังกล่าวได้และไม่ต้องวินิจฉัยว่าโจทก์ได้นำชึ้แนวเขตที่ดินหรือไม่และจำเลยที่2และที่3ได้กระทำตามระเบียบว่าด้วยการรังวัดหรือไม่เพราะไม่ทำให้ผลคดีเปลี่ยนแปลงไป
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6674/2538 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การริบรถจักรยานยนต์ที่ใช้ในการแข่งรถผิดกฎหมาย โดยศาลฎีกาเห็นว่าเป็นการใช้ทรัพย์สินในการกระทำความผิด
ในความผิดฐานแข่งรถในทางตามพระราชบัญญัติจราจรทางบกพ.ศ. 2522 มาตรา 134 รถจักรยานยนต์ที่ใช้ในการแข่งถือเป็นทรัพย์สินซึ่งจำเลยได้ใช้ในการกระทำความผิดสมควรริบตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33(1)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6455/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การอุทธรณ์ฎีกาคำสั่งรับบัญชีระบุพยานเกินกรอบเวลาและข้อจำกัดเรื่องทุนทรัพย์ ศาลฎีกามีอำนาจแก้ไขค่าทนายความ
การที่จำเลยยื่นคำร้องขออนุญาตยื่นบัญชีระบุพยานของจำเลยหลังจากระยะเวลากำหนดให้ยื่นบัญชีระบุพยานตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา88วรรคหนึ่งได้สิ้นสุดลงแล้วโดยอ้างว่ามีเหตุอันสมควรที่ไม่สามารถยื่นบัญชีระบุพยานตามกำหนดเวลาดังกล่าวได้และศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตนั้นเป็นกรณีที่ศาลชั้นต้นได้พิจารณาแล้วใช้ดุลพินิจอนุญาตให้จำเลยยื่นบัญชีระบุพยานตามที่ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา88ให้อำนาจไว้เมื่อคดีนี้มีทุนทรัพย์เพียง27,500บาทคู่ความจึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์และฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา224วรรคหนึ่งและมาตรา248วรรคหนึ่งตามลำดับการที่โจทก์อุทธรณ์ฎีกาโต้แย้งคำสั่งของศาลชั้นต้นดังกล่าวเป็นการอุทธรณ์ฎีกาโต้แย้งดุลพินิจของศาลชั้นต้นอันเป็นการอุทธรณ์ฎีกาในข้อเท็จจริงจึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ฎีกาตามบทบัญญัติดังกล่าว การที่ศาลชั้นต้นกำหนดให้โจทก์ใช้ค่าทนายความแทนจำเลยเกินกว่าอัตราที่กฎหมายกำหนดเป็นการไม่ชอบศาลฎีกาย่อมกำหนดใหม่ให้ถูกต้องได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 642/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบังคับคดีออกจากที่ดิน: ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าการพิพากษาให้จำเลยออกจากที่ดินแปลงที่ไม่ปรากฏหลักฐานการบุกรุกเป็นไปโดยไม่ชอบ
โจทก์ฟ้องว่าโจทก์เป็นเจ้าของที่ดินส.ค.1เลขที่58และเลขที่63จำเลยบุกรุกนำรถเข้าไปไถในที่นาตามส.ค.1เลขที่58โดยไม่ชอบขอให้บังคับจำเลยออกไปจากที่ดินส.ค.1เลขที่58และที่ดินเลขที่63ห้ามมิให้จำเลยเข้าเกี่ยวข้องกับที่ดินดังกล่าวทั้งสองแปลงอีกต่อไปคู่ความตกลงกันให้จำเลยเป็นฝ่ายเข้าทำนาในที่นาพิพาทตามส.ค.1เลขที่58จนกว่าคดีจะถึงที่สุดโดยไม่ปรากฏจากพยานหลักฐานโจทก์ว่าจำเลยบุกรุกเข้าไปในที่ดินส.ค.1เลขที่63แต่อย่างใดการที่ศาลพิพากษาให้จำเลยออกจากที่ดินส.ค.1เลขที่63ด้วยจึงไม่ชอบ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 639/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การกำหนดค่าเสียหายที่ไม่ชัดเจนในคดีความผิดตามพ.ร.บ.เดินเรือ ศาลฎีกาพิพากษาให้ยกการชดใช้ค่าเสียหายแก่กรมเจ้าท่า
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามพระราชบัญญัติการเดินเรือในน่านน้ำไทยพ.ศ.2456โดยมิได้บรรยายฟ้องว่ากรมเจ้าท่าได้เสียค่าใช้จ่ายที่ต้องเสียไปในการแก้ไขสิ่งเป็นพิษเป็นจำนวนเท่าไรอีกทั้งมิได้ขอให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายส่วนนี้และข้อเท็จจริงไม่ปรากฏว่ากรมเจ้าท่าได้เสียค่าใช้จ่ายในการแก้ไขสิ่งที่เป็นพิษเป็นจำนวนเท่าใดจึงไม่อาจกำหนดค่าเสียหายส่วนนี้ให้แก่กรมเจ้าท่าได้การที่ศาลล่างทั้งสองกำหนดให้จำเลยทั้งสองชดใช้ค่าเสียหายให้แก่กรมเจ้าท่าจึงไม่ถูกต้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 638/2538 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การกำหนดค่าเสียหายต้องระบุจำนวนชัดเจน แม้จำเลยมิได้อุทธรณ์ ศาลฎีกายกขึ้นวินิจฉัยได้
โจทก์มิได้บรรยายฟ้องมาว่า กรมเจ้าท่าได้เสียค่าใช้จ่ายที่ต้องเสียไปในการแก้ไขสิ่งเป็นพิษเป็นจำนวนเท่าใด มิได้ขอให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าเสียหายส่วนนี้จำนวนเท่าใด และข้อเท็จจริงก็ไม่ปรากฏว่ากรมเจ้าท่าได้เสียค่าใช้จ่ายในการแก้ไขสิ่งเป็นพิษเป็นจำนวนเท่าใด จึงไม่อาจกำหนดค่าเสียหายส่วนนี้ให้แก่กรมเจ้าท่าได้ แม้ปัญหาข้อนี้จำเลยทั้งสองจะมิได้ฎีกาขึ้นมาก็ตาม เนื่องจากเป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้