พบผลลัพธ์ทั้งหมด 3,361 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5933/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาแบ่งเงินรางวัลแจ้งเบาะแสการเลือกตั้งไม่ขัดศีลธรรม ไม่เป็นโมฆะ
คำมั่นที่จะให้เงินรางวัลแก่ผู้แจ้งเบาะแสผู้กระทำความผิดตามพระราชบัญญัติ การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพ.ศ.2522มาตรา35(1)มีวัตถุประสงค์เพื่อให้การเลือกตั้งเป็นไปโดยบริสุทธิ์ยุติธรรมดังนั้นข้อตกลงตามหนังสือสัญญาแบ่งเงินรางวัลจึงไม่ขัดต่อศีลธรรมอันดีของประชาชนไม่เป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา150
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5933/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาแบ่งเงินรางวัลแจ้งเบาะแสการเลือกตั้ง ไม่ขัดศีลธรรม ไม่เป็นโมฆะ
คำมั่นที่จะให้เงินรางวัลแก่ผู้แจ้งเบาะแสผู้กระทำความผิดตามพระราชบัญญัติ การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพ.ศ.2522มาตรา35(1)มีวัตถุประสงค์เพื่อให้การเลือกตั้งเป็นไปโดยบริสุทธิ์ยุติธรรมดังนั้นข้อตกลงตามหนังสือสัญญาแบ่งเงินรางวัลจึงไม่ขัดต่อศีลธรรมอันดีของประชาชนไม่เป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา150
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5908/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาที่ไม่สมบูรณ์และการหักล้างหนี้ สัญญาที่ไม่สมบูรณ์ทำให้โจทก์ฟ้องบังคับหนี้ไม่ได้ และจำเลยมีสิทธิหักล้างได้
จำเลยกู้ยืมเงินโจทก์และเมื่อจำเลยไม่ชำระหนี้ให้โจทก์ โจทก์ก็ให้จำเลยทำสัญญากู้ให้เรื่อย ๆ โดยมิได้มีการกู้และรับเงินกันจริงตามสัญญากู้ที่ทำขึ้นสัญญากู้ที่โจทก์นำมาฟ้องจึงไม่สมบูรณ์ โจทก์นำมาฟ้องบังคับจำเลยไม่ได้ และเมื่อหนี้ตามสัญญาไม่สมบูรณ์ จำเลยก็มีสิทธิที่จะนำสืบหักล้างได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5734/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับช่วงสิทธิของบริษัทประกันภัย: อำนาจฟ้องและการไม่จำกัดด้วยข้อกำหนดสัญญา
โจทก์ซึ่งเป็นผู้รับประกันภัยฟ้องจำเลยทั้งสองให้รับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนอันเนื่องมาจากลูกจ้างของจำเลยทั้งสองกระทำละเมิด เป็นเหตุให้รถยนต์ของผู้ที่เอาประกันภัยไว้กับโจทก์ได้รับความเสียหาย และโจทก์ได้ใช้ค่าสินไหมทดแทนให้ผู้เอาประกันภัยไปแล้ว โจทก์จึงเข้ารับช่วงสิทธิของผู้เอาประกันภัยฟ้องร้องจำเลยทั้งสองตาม ป.พ.พ. มาตรา 880 มิใช่การฟ้องร้องบังคับคดีตามสัญญาประกันภัย จึงไม่อยู่ภายใต้บังคับของมาตรา 867 วรรคแรกทั้งไม่อยู่ในบังคับตาม ป.วิ.พ. มาตรา 94 เพราะมิใช่กรณีที่ต้องมีพยานเอกสารมาแสดง แม้สัญญาประกันภัยจะปิดอากรแสตมป์ครบหรือไม่ก็ตาม โจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้องจำเลยทั้งสองได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5667/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
หนังสือยอมรับหนี้ค่าบริการโทรศัพท์ ไม่ใช่สัญญาประนีประนอมยอมความ มีอายุความ 2 ปี
เอกสารมีใจความว่า จำเลยยอมรับว่าเป็นหนี้โจทก์และยินยอมผ่อนชำระเป็น 3 งวด หากผิดนัดงวดใดงวดหนึ่งยินยอมชำระดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี หากจำเลยถูกฟ้องเป็นคดีล้มละลายและศาลมีคำสั่งพิทักษ์-ทรัพย์หรือจำเลยถูกเจ้าหนี้ตามคำพิพากษายึดหรืออายัดทรัพย์ให้ถือว่าสัญญาสิ้นสุดจำเลยยินยอมชำระเงินที่ค้าง แต่หนี้ที่โจทก์เรียกร้องจากจำเลยเป็นมูลหนี้อันเนื่องมาจากค่าบริการในการพูดโทรศัพท์ โจทก์ผู้เป็นเจ้าหนี้จึงมีสิทธิเรียกร้องให้จำเลยชำระหนี้ค่าบริการในการพูดโทรศัพท์ เมื่อ ท. ผู้รับมอบอำนาจจากจำเลยมาทำเอกสารดังกล่าวยอมใช้หนี้แก่โจทก์ เอกสารฉบับนี้จึงเป็นเพียงหนังสือที่ฝ่ายจำเลยผู้เป็นลูกหนี้ยอมรับสภาพหนี้ต่อโจทก์ ผู้เป็นเจ้าหนี้ตามสิทธิเรียกร้องหาใช่เป็นสัญญาประนีประนอมยอมความไม่
โจทก์เป็นผู้จัดให้มีบริการพูดโทรศัพท์ถือได้ว่าเป็นผู้ประกอบธุรกิจในการรับทำการงานต่าง ๆ เรียกร้องเอาสินจ้างอันพึงจะได้รับในการนั้นตาม ป.พ.พ. มาตรา 165 (7) เดิม หรือ 193/37 (7) ใหม่ สิทธิเรียกร้องค่าบริการในการพูดโทรศัพท์ติดต่อไปต่างประเทศของโจทก์มีอายุความ 2 ปี
โจทก์เป็นผู้จัดให้มีบริการพูดโทรศัพท์ถือได้ว่าเป็นผู้ประกอบธุรกิจในการรับทำการงานต่าง ๆ เรียกร้องเอาสินจ้างอันพึงจะได้รับในการนั้นตาม ป.พ.พ. มาตรา 165 (7) เดิม หรือ 193/37 (7) ใหม่ สิทธิเรียกร้องค่าบริการในการพูดโทรศัพท์ติดต่อไปต่างประเทศของโจทก์มีอายุความ 2 ปี
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5495/2538 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแยกคำนวณทุนทรัพย์ที่พิพาทในสัญญาต่างกัน แม้รวมฟ้องเป็นคดีเดียว ศาลต้องแยกพิจารณาตามวงเงินสัญญาแต่ละส่วน
การคำนวณทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นอุทธรณ์นั้น ต้องแยกคำนวณตามจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันตามข้อหาของการผิดสัญญา โจทก์ฟ้องให้จำเลยที่ 1 รับผิดจากสัญญาเล่นแชร์ 2 วง แต่ละวงมีรายละเอียดข้อสัญญาต่างกัน การผิดสัญญาวงหนึ่งวงใดไม่เป็นเหตุให้ผิดสัญญาอีกวงหนึ่งด้วย โจทก์จึงสามารถแยกฟ้องจำเลยที่ 1 ได้ตามข้อหาของการผิดสัญญาเป็นสองคดีเมื่อจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันสำหรับการเล่นแชร์แต่ละวงมีจำนวนไม่เกิน 50,000 บาท จึงต้องห้ามมิให้คู่ความอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 224 วรรคหนึ่ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5464/2538 เวอร์ชัน 4 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาค้ำประกันการเช่าซื้อ: ความรับผิดของผู้ค้ำประกันแม้ชื่อโจทก์ไม่ปรากฏ
ป.พ.พ. มาตรา 680ป.วิ.พ. มราตรา 172 วรรคสอง
สัญญาค้ำประกันระบุชื่อจำเลยที่ 2 เป็นผู้ค้ำประกันมีข้อความครบถ้วน แสดงว่าเป็นการค้ำประกันการเช่าซื้อโดยยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วมแม้จะมิได้เติมชื่อบริษัทโจทก์และจำเลยที่ 1 ลงในช่องว่างที่เว้นไว้ แต่สัญญาค้ำประกันดังกล่าวเป็นแบบพิมพ์อยู่ในกระดาษแผ่นเดียวกับสัญญาเช่าซื้อระหว่างโจทก์ผู้ให้เช่าซื้อและจำเลยที่ 1 ผู้เช่าซื้อเพียงแต่อยู่ด้านหลังของสัญญาเช่าซื้อและจำเลยที่ 2 ก็เบิกความยอมรับว่าได้ลงชื่อในสัญญาค้ำประกันดังกล่าว แสดงว่าจำเลยที่ 2 ตกลงเข้าค้ำประกันหนี้ตามสัญญาเช่าซื้อที่จำเลยที่ 1 ทำไว้ต่อโจทก์โจทก์จึงมีฐานะเป็นูคู่สัญญาและเจ้าหนี้ย่อมมีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 2 ให้รับผิดตามสัญญาค้ำประกันดังกล่าวได้
ฟ้องโจทก์ได้บรรยายเกี่ยวกับตัวจำเลยที่ 2 ว่า จำเลยที่ 2ได้ทำสัญญาค้ำประกันการเช่าซื้อที่จำเลยที่ 1 ทำไว้ต่อโจทก์ โดยยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วมตามสัญญาเช่าซื้อและสัญญาค้ำประกันท้ายฟ้อง ต่อมาจำเลยที่ 1 ผิดสัญญาเช่าซื้อต้องรับผิดชำระค่าเสียหาย จำเลยที่ 2 จึงต้องรับผิดร่วมกับจำเลยที่ 1 ด้วยคำฟ้องโจทก์จึงแจ้งชัดพอที่จำเลยที่ 2 จะเข้าใจและต่อสู้คดีได้ แม้สัญญาค้ำประกันท้ายฟ้องจะมิได้ระบุชื่อโจทก์และจำเลยที่ 1 ก็หาทำให้เป็นคำฟ้องที่เคลือบคลุมไม่
สัญญาค้ำประกันระบุชื่อจำเลยที่ 2 เป็นผู้ค้ำประกันมีข้อความครบถ้วน แสดงว่าเป็นการค้ำประกันการเช่าซื้อโดยยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วมแม้จะมิได้เติมชื่อบริษัทโจทก์และจำเลยที่ 1 ลงในช่องว่างที่เว้นไว้ แต่สัญญาค้ำประกันดังกล่าวเป็นแบบพิมพ์อยู่ในกระดาษแผ่นเดียวกับสัญญาเช่าซื้อระหว่างโจทก์ผู้ให้เช่าซื้อและจำเลยที่ 1 ผู้เช่าซื้อเพียงแต่อยู่ด้านหลังของสัญญาเช่าซื้อและจำเลยที่ 2 ก็เบิกความยอมรับว่าได้ลงชื่อในสัญญาค้ำประกันดังกล่าว แสดงว่าจำเลยที่ 2 ตกลงเข้าค้ำประกันหนี้ตามสัญญาเช่าซื้อที่จำเลยที่ 1 ทำไว้ต่อโจทก์โจทก์จึงมีฐานะเป็นูคู่สัญญาและเจ้าหนี้ย่อมมีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 2 ให้รับผิดตามสัญญาค้ำประกันดังกล่าวได้
ฟ้องโจทก์ได้บรรยายเกี่ยวกับตัวจำเลยที่ 2 ว่า จำเลยที่ 2ได้ทำสัญญาค้ำประกันการเช่าซื้อที่จำเลยที่ 1 ทำไว้ต่อโจทก์ โดยยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วมตามสัญญาเช่าซื้อและสัญญาค้ำประกันท้ายฟ้อง ต่อมาจำเลยที่ 1 ผิดสัญญาเช่าซื้อต้องรับผิดชำระค่าเสียหาย จำเลยที่ 2 จึงต้องรับผิดร่วมกับจำเลยที่ 1 ด้วยคำฟ้องโจทก์จึงแจ้งชัดพอที่จำเลยที่ 2 จะเข้าใจและต่อสู้คดีได้ แม้สัญญาค้ำประกันท้ายฟ้องจะมิได้ระบุชื่อโจทก์และจำเลยที่ 1 ก็หาทำให้เป็นคำฟ้องที่เคลือบคลุมไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5385/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญากู้เงิน, จำนอง, ค้ำประกัน: ศาลยืนยึดสิทธิบังคับชำระหนี้จากทรัพย์สินจำนองตามสัญญา
หนี้ตามสัญญากู้เงินระบุวันครบกำหนดสัญญาไว้ถือได้ว่าเป็นหนี้ที่ได้กำหนดเวลาชำระหนี้ตามวันแห่งปฏิทินจำเลยทั้งสามจะอ้างว่ามีข้อตกลงระหว่างโจทก์กับจำเลยที่1ให้โจทก์เป็นผู้รับเงินค่าซื้อตึกแถวจากผู้ซื้อตึกแถวหักชำระหนี้โดยจำเลยที่1ไม่ต้องชำระดอกเบี้ยเป็นงวดและไม่มีกำหนดเวลาชำระต้นเงินคืนและนำพยานบุคคลมาสืบตามข้ออ้างดังกล่าวเพื่อที่จะให้ศาลรับฟังว่าหนี้ยังไม่ถึงกำหนดชำระจำเลยทั้งสามไม่ได้เป็นฝ่ายผิดสัญญาหาได้ไม่เพราะเป็นการสืบพยานบุคคลเพื่อเพิ่มเติมตัดทอนหรือเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อความในเอกสารต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา94(ข) ปัญหาที่ว่าม. ทนายความได้รับมอบอำนาจจากโจทก์ให้มีหนังสือทวงถามและบอกกล่าวบังคับจำนองแทนโจทก์แต่โจทก์ไม่มีหนังสือมอบอำนาจที่ให้ม.มีหนังสือทวงถามให้ชำระหนี้และบอกกล่าวบังคับจำนองแทนโจทก์จึงไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา728เป็นปัญหาที่จำเลยมิได้ยกต่อสู้ไว้ในคำให้การและมิใช่ปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนจึงเป็นปัญหาที่มิได้ว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา225วรรคแรก โจทก์บรรยายฟ้องว่าโจทก์เป็นบริษัทเงินทุนและเป็นสถาบันการเงินตามพระราชบัญญัติดอกเบี้ยเงินให้กู้ของสถาบันการเงินพ.ศ.2523อันจะมีสิทธิเรียกดอกเบี้ยจากผู้กู้ยืมได้เป็นพิเศษโดยมีอัตราสูงกว่าที่กำหนดไว้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา654ร้อยละ15ต่อปีจำเลยทั้งสามให้การในส่วนที่เกี่ยวกับดอกเบี้ยแต่เพียงว่าดอกเบี้ยที่โจทก์ฟ้องร้องสูงกว่ากฎหมายกำหนดไว้ซึ่งจำเลยที่1เห็นว่าไม่ควรเกินร้อยละ15ต่อปีคำให้การของจำเลยทั้งสามดังกล่าวไม่ได้แสดงโดยชัดแจ้งว่าดอกเบี้ยที่โจทก์เรียกร้องสูงกว่ากฎหมายอะไรและเพราะเหตุใดจึงไม่ควรเกินร้อยละ15ต่อปีเป็นคำให้การไม่ชัดแจ้งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา177วรรคสองจึงไม่มีประเด็นว่าโจทก์คิดดอกเบี้ยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่แม้ศาลชั้นต้นจะกำหนดประเด็นข้อนี้ไว้และศาลอุทธรณ์รับวินิจฉัยให้ก็เป็นการไม่ชอบถือได้ว่าเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา249
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5350/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เงินวางมัดจำกับการกู้ยืม: การพิสูจน์เจตนาของคู่สัญญาเพื่อกำหนดลักษณะของธุรกรรม
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยชำระหนี้เงินกู้จำนวน 277,000 บาทตามเอกสารสัญญากู้ยืมเงิน จำเลยให้การว่าโจทก์จะซื้อที่ดินจากจำเลย ได้วางเงินมัดจำ 277,000 บาท แก่จำเลยเอกสารสัญญากู้ยืมเงินไม่ใช่หลักฐานการกู้เงิน จำเลยจึงนำสืบข้อเท็จจริงตามคำให้การได้ว่าเงินตามที่ระบุไว้ในเอกสารดังกล่าว เป็นเงินมัดจำที่โจทก์วางไว้แก่จำเลยเพราะเป็นการนำสืบถึงความไม่มีมูลหนี้ที่จำเลยต้องรับผิดหรืออีกนัยหนึ่งหนี้ที่ระบุในสัญญากู้ไม่สมบูรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94 วรรคท้าย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5317/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาจะขายฝากมีผลบังคับใช้ได้หากมีเจตนาชัดเจน แม้จะยังไม่ได้จดทะเบียน และศาลสามารถบังคับคดีได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
สัญญาพิพาทมีข้อความระบุไว้ชัดตั้งแต่ชื่อของสัญญาตลอดจนข้อสัญญาทุกข้อว่าเป็นสัญญาจะขายฝาก เพียงแต่ไม่มีกำหนดเวลาว่าจะไปทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่เมื่อใดเท่านั้น จึงไม่อาจถือได้ว่าเป็นสัญญาขายฝากเพราะตามสัญญาได้ระบุความรับผิดของทั้งสองฝ่ายไว้ในกรณีไม่ไปทำหนังสือและจดทะเบียนตามกำหนด แสดงถึงเจตนาของคู่สัญญาว่ามิได้มีเจตนาจะทำสัญญาขายฝาก หากแต่ต้องการให้เป็นเพียงสัญญาจะขายฝากซึ่งจะต้องได้มีการทำหนังสือจดทะเบียนกันให้ถูกต้องอีกครั้งหนึ่ง จึงกำหนดหน้าที่ความรับผิดของคู่สัญญาไว้ ส่วนที่กำหนดเวลาไถ่คืนไว้ในสัญญานี้ด้วยก็เพื่อให้เป็นการแน่นอนว่า ถ้าได้ทำหนังสือจดทะเบียนโดยถูกต้องแล้วกำหนดเวลาไถ่คืนต้องเป็นไปตามนั้นทั้งโฉนดที่ดินที่จะขายฝากอยู่ที่บุคคลภายนอก จึงจำเป็นอยู่เองที่คู่กรณีจะต้องทำเป็นสัญญาจะขายฝากไว้ก่อน เมื่อได้โฉนดที่ดินมาแล้วจึงไปทำสัญญากันในภายหลัง ดังนั้นเมื่อสัญญาพิพาทมีหลักฐานเป็นหนังสือลงลายมือชื่อจำเลยฝ่ายที่ต้องรับผิดเป็นสำคัญแล้ว โจทก์ก็ฟ้องร้องให้บังคับคดีได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 456 วรรคสอง