พบผลลัพธ์ทั้งหมด 2,589 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 37/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความน่าเชื่อถือพยานหลักฐานในคดีอาญา: แสงสว่าง, การไม่แจ้งความ, และการปฏิเสธของผู้ต้องหา
เกิดเหตุคนร้ายตีผู้ตายในเวลากลางคืน ในที่เกิดเหตุมีแสงไฟฟ้าจากที่อื่นส่องมาถึงเท่านั้น โจทก์คงมี ว. เป็นประจักษ์พยานเพียงปากเดียว เมื่อเกิดเหตุแล้ว ว. ไม่ได้บอกคนอื่นว่าใครเป็นคนทำร้ายผู้ตาย ครั้นเจ้าพนักงานตำรวจไปทำการชันสูตรพลิกศพและสอบปากคำ ว.ว. ก็ไม่ได้บอกเจ้าพนักงานตำรวจเกี่ยวกับตัวคนร้ายเช่นเดียวกัน จึงไม่น่าเชื่อว่าในที่เกิดเหตุจะมีแสงสว่างพอให้ ว. จำคนร้ายได้ จำเลยให้การปฏิเสธตลอดมา พยานหลักฐานโจทก์จึงยังไม่เพียงพอให้รับฟังลงโทษจำเลยได้ และไม่ต้องวินิจฉัยพยานหลักฐานจำเลย.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3511/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับฟังพยานหลักฐาน (ใบมรณบัตร) แม้มิได้ปฏิบัติตามมาตรา 90 ว.พ.พ. หากโจทก์ไม่เสียเปรียบ
จำเลยยื่นบัญชีพยานระบุอ้างใบมรณบัตรเป็นพยานไว้ก่อนวันสืบพยานไม่น้อยกว่า 3 วัน ทั้งได้ส่งเอกสารดังกล่าวประกอบการถามค้านพยานโจทก์ปากแรกด้วย โจทก์จึงย่อมทราบข้อความของเอกสารใบมรณบัตรก่อนสืบพยาน โจทก์เสร็จสิ้นและมีโอกาสนำพยานมาสืบหักล้างเอกสารดังกล่าวได้ การที่จำเลยมิได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 90 โดยมิได้ส่งสำเนาใบมรณบัตรให้แก่โจทก์ล่วงหน้าก่อนวันสืบพยานไม่น้อยกว่า 3 วันนั้นจึงไม่ได้ทำให้โจทก์เสียเปรียบแต่อย่างใด นอกจากนี้เอกสารดังกล่าวก็เป็นพยานหลักฐานอันสำคัญซึ่งเกี่ยวกับประเด็นข้อสำคัญในคดีเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม ศาลมีอำนาจรับฟังพยานเอกสารดังกล่าวได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 87(2)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 35/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแจ้งความเท็จต้องมีหลักฐานชัดเจนว่าจำเลยได้แจ้งความต่อพนักงานสอบสวนจริง ศาลไม่รับฟังพยานที่ไม่ชัดเจน
ความผิดฐานแจ้งข้อความอันเป็นเท็จเกี่ยวกับความผิดอาญาแก่พนักงานสอบสวนตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 172 นั้น ในชั้นพิจารณาคดีของศาล โจทก์มีหน้าที่ต้องนำพยานหลักฐานมาสืบเพื่อพิสูจน์เพื่อได้ให้ความแน่ชัดว่ามีการกระทำความผิดจริง และจำเลยเป็นผู้กระทำความผิดตามฟ้องของโจทก์ แต่โจทก์ไม่ได้นำพยานหลักฐานที่แสดงว่าจำเลยที่ 2 และที่ 5 ได้ไปแจ้งความต่อพนักงานสอบสวนคนใดที่สถานีตำรวจแห่งใด ด้วยข้อความว่าอย่างไรมาแสดงต่อศาลจึงฟังไม่ได้ว่าจำเลยกระทำผิดดังกล่าว คำเบิกความของโจทก์ในชั้นไต่สวนมูลฟ้อง มิใช่เป็นคำเบิกความในชั้นพิจารณา และพยานเอกสารก็ส่งไว้ในชั้นไต่สวน มูลฟ้องโจทก์หาได้อ้างส่งศาลในชั้นพิจารณาไม่ จึงไม่ชอบ ที่จะรับฟังพยานหลักฐานดังกล่าวในชั้นพิจารณา
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3463/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การประเมินภาษีการค้าเพิ่มเติม: ศาลรับฟังพยานหลักฐานแม้ไม่ได้แสดงต่อเจ้าพนักงานประเมินและคณะกรรมการอุทธรณ์ได้
การที่โจทก์ถูกประเมินภาษีการค้าแล้ว มิได้นำพยานหลักฐานไปแสดงต่อเจ้าพนักงานประเมิน หรือคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ยังสามารถนำมาแสดงในชั้นศาลได้ภายใต้ ป.วิ.พ. และกฎหมายอื่นที่ว่าด้วยการรับฟังพยานหลักฐานเนื่องจากไม่มีบทกฎหมายใดบัญญัติตัดสิทธิได้ แม้เอกสารที่โจทก์อ้างส่งต่อศาลเป็นเพียงสำเนาที่ไม่มีพยานเบิกความรับรองก็ตาม แต่ต้นฉบับเอกสารดังกล่าวก็อยู่ในความครอบครองของจำเลยและจำเลยไม่ได้คัดค้านว่าเอกสารนั้นไม่มีต้นฉบับหรือต้นฉบับปลอมหรือสำเนาไม่ถูกต้องจึงต้องห้ามมิให้คัดค้านการมีอยู่และความแท้จริงของเอกสารหรือความถูกต้องของสำเนาเอกสาร ศาลรับฟังเป็นพยานได้ เมื่อตามพยานหลักฐานฟังได้ว่า ภาษีการค้าและภาษีบำรุงเทศบาลที่จำเลยประเมินเพิ่มเติมนั้นเป็นการประเมินในดอกเบี้ยที่โจทก์ได้รับมาจากบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ที่มีการหักภาษี ณ ที่จ่ายไว้แล้ว ย่อมเป็นการประเมินที่ไม่ชอบ เนื่องจากโจทก์ได้รับยกเว้นไม่ต้องเสียภาษีการค้าในรายรับดังกล่าวอีก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 345/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
พยานหลักฐานที่ไม่เพียงพอต่อการลงโทษผู้ต้องหาจากคำรับสารภาพและการซัดทอดที่ไม่สอดคล้องกัน
โจทก์ไม่มีพยานหลักฐานใดที่แสดงว่าจำเลยที่ 2 ได้ร่วมกระทำความผิดกับจำเลยที่ 1 คงมีแต่คำให้การรับสารภาพของจำเลยที่ 1และที่ 2 ในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวน ซึ่งเป็นเพียงพยานบอกเล่ามีน้ำหนักน้อย และจำเลยที่ 2 ยังนำสืบปฏิเสธว่าคำรับดังกล่าวเกิดจากการถูกบังคับขู่เข็ญ จึงไม่อาจนำมาฟังลงโทษจำเลยที่ 2ได้ ส่วนคำให้การของจำเลยที่ 1 ในชั้นสอบสวนว่าจำเลยที่ 2 ได้ร่วมกระทำความผิดด้วยนั้น เป็นคำให้การซัดทอดของผู้ต้องหาด้วยกัน และไม่สอดคล้องกับคำให้การชั้นสอบสวนของจำเลยที่ 3ซึ่งมิได้ให้การพาดพิงถึงจำเลยที่ 2 โจทก์จึงจะอาศัยคำให้การซัดทอดดังกล่าวมาใช้ยันเพื่อลงโทษจำเลยที่ 2 หาได้ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3418/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจศาลในการวินิจฉัยพยานหลักฐานและการใช้ดุลพินิจตาม ป.วิ.พ. มาตรา 104
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าพยานจำเลยเบิกความเจือสมพยานโจทก์ก็เพราะพยานจำเลยได้เบิกความต่อศาลในคดีนี้ว่า พยานจำเลยไม่ต้องเช่าทางเดินจากจำเลย อันเป็นข้อเท็จจริงที่ปรากฎในสำนวนคดีนี้ แม้ไม่ได้กล่าวถึงคำรับสารภาพของพยานจำเลยที่ให้การรับสารภาพต่อศาลอาญาธนบุรีว่าได้เบิกความในคดีนี้เป็นความเท็จ และยอมรับว่าได้เช่าทางพิพาทของจำเลยเดินเข้าออกสู่ถนนสาธารณะ ก็เป็นเพราะศาลอุทธรณ์ไม่เชื่อพยานหลักฐานของจำเลยในส่วนนี้ เป็นการใช้ดุลพินิจวินิจฉัยจากพยานหลักฐานที่คู่ความนำสืบโดยอาศัยอำนาจตาม ป.วิ.พ.มาตรา 104 ที่ให้ศาลมีอำนาจเต็มที่ในอันที่จะวินิจฉัยว่าพยานหลักฐานที่คู่ความนำสืบมานั้นเพียงพอให้เชื่อฟังเป็นยุติได้หรือไม่แล้วพิพากษาคดีไปตามนั้น ศาลอุทธรณ์มิได้วินิจฉัยคลาดเคลื่อนไปจากที่ปรากฎในสำนวนคดีนี้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3418/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การวินิจฉัยพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์ที่ชอบแล้ว แม้มีข้อเท็จจริงใหม่ที่พยานจำเลยให้การรับสารภาพต่อศาลอื่น
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าพยานจำเลยเบิกความเจือสมพยานโจทก์ก็เพราะพยานจำเลยได้เบิกความต่อศาลในคดีนี้ว่าพยานจำเลยไม่ต้องเช่าทางเดินจากจำเลย อันเป็นข้อเท็จจริงที่ปรากฏในสำนวนคดีนี้ แม้ไม่ได้กล่าวถึงคำรับสารภาพของพยานจำเลยที่ให้การรับสารภาพต่อศาลอาญาธนบุรีว่าได้เบิกความในคดีนี้เป็นความเท็จ และยอมรับว่าได้เช่าทางพิพาทของจำเลยเดินเข้าออกสู่ถนนสาธารณะ ก็เป็นเพราะศาลอุทธรณ์ไม่เชื่อพยานหลักฐานของจำเลยในส่วนนี้ เป็นการใช้ดุลพินิจวินิจฉัยจากพยานหลักฐานที่คู่ความนำสืบโดยอาศัยอำนาจตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 104 ที่ให้ศาลมีอำนาจเต็มที่ในอันที่จะวินิจฉัยว่าพยานหลักฐานที่คู่ความนำสืบมานั้นเพียงพอให้เชื่อฟังเป็นยุติได้หรือไม่แล้วพิพากษาคดีไปตามนั้น ศาลอุทธรณ์มิได้วินิจฉัยคลาดเคลื่อนไปจากที่ปรากฏในสำนวนคดีนี้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3273/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิสูจน์ความเป็นบุตรและการกำหนดค่าอุปการะเลี้ยงดู โดยพิจารณาจากพยานหลักฐานและการยอมรับของจำเลย
ฟ้องโจทก์บรรยายว่า เมื่อระหว่างวันที่ 20 ตุลาคม 2530ถึงวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2531 โจทก์จำเลยได้มีความสัมพันธ์ทางชู้สาวและร่วมประเวณีกันหลายครั้งในระยะเวลาที่โจทก์สามารถตั้งครรภ์ได้และทำให้โจทก์ตั้งครรภ์ในเวลาต่อมาและจำเลยเขียนจดหมายถึงโจทก์ยอมรับว่าเด็กหญิงที่คลอดจากโจทก์คือเด็กหญิง บ. เป็นบุตรของจำเลย ตามเอกสารท้ายฟ้องนั้นเป็นคำฟ้องที่แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาพอที่จำเลยจะเข้าใจแล้วส่วนจำเลยและโจทก์ร่วมประเวณีกันเมื่อใดที่ไหนที่เป็นเหตุให้โจทก์ตั้งครรภ์และจำเลยยอมรับเด็กหญิง บ. เป็นบุตรอย่างไรเป็นรายละเอียดที่จะนำสืบในชั้นพิจารณา ฟ้องโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม โจทก์คลอดเด็กหญิง บ. เมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน 2531 จำเลยได้ร่วมประเวณีกับโจทก์หลายครั้งในระหว่างวันที่ 20 ตุลาคม 2530ถึงวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2531 และจัดการให้โจทก์ไปอยู่กับเพื่อนของจำเลยที่กรุงเทพมหานคร จากนั้นจำเลยไปเยี่ยมโจทก์หลายครั้งพาโจทก์ไปหาแพทย์และเขียนจดหมายถึงโจทก์หลายฉบับมีข้อความที่แสดงว่าเด็กหญิง บ. เป็นบุตรของจำเลย ทั้งข้อเท็จจริงไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้ร่วมประเวณีกับชายอื่น ย่อมมีเหตุอันสมควรเชื่อได้ว่าเด็กหญิง บ. มิได้เป็นบุตรของชายอื่น โจทก์จึงฟ้องให้จำเลยรับเด็กหญิง บ. เป็นบุตรของจำเลยได้ การเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายในกรณีที่ศาลพิพากษาว่าเป็นบุตรมีผลนับแต่วันมีคำพิพากษาถึงที่สุดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1557(3) ดังนั้นค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรจะต้องกำหนดให้นับแต่วันดังกล่าวมิใช่นับแต่วันฟ้อง จำเลยมิได้นำสืบให้เห็นว่าควรกำหนดค่าอุปการะเลี้ยงดูเท่าไร ศาลฎีกาเห็นสมควรให้ชำระตามที่ศาลล่างกำหนดคือเดือนละ 1,000 บาท นับแต่วันที่มีคำพิพากษาถึงที่สุดจนกว่าบุตรจะมีอายุครบ 10 ปีบริบูรณ์ หลังจากนั้นให้ชำระเดือนละ 1,500 บาท จนกว่าบุตรจะบรรลุนิติภาวะ โดยให้จำเลยชำระเป็นเงินก้อนครั้งเดียว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3047/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
พยานหลักฐานไม่เพียงพอในการพิสูจน์ตัวผู้กระทำผิดฐานพยายามฆ่าและมีวัตถุระเบิด ศาลฎีกายกประโยชน์แห่งความสงสัย
ก่อนเกิดเหตุจำเลยเคยทำท่าฮึดฮัดจะชักอาวุธปืนยิงผู้เสียหายซึ่งแสดงว่าผู้เสียหายกับจำเลยมีสาเหตุโกรธเคืองกัน คำเบิกความของผู้เสียหายที่ยืนยันว่าจำเลยเป็นคนร้ายจึงมีเหตุทำให้ระแวงสงสัยส่วนที่โจทก์อ้างส่งคำให้การชั้นสอบสวนของ ย. ที่ระบุว่าในวันเกิดเหตุ ย. ได้ยินจำเลยพูดกับเพื่อนของจำเลยว่า อย่างผู้เสียหายไม่ต้องยิงให้เสียเวลาหรอกแค่ขว้างก็ช็อกตายแล้วนั้นคำให้การในชั้นสอบสวนดังกล่าวเป็นเพียงพยานบอกเล่า ไม่มีน้ำหนักให้รับฟัง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 284/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับฟังพยานหลักฐานจากการติดตามทรัพย์ของกลางและการเชื่อมโยงจากคำรับสารภาพของผู้ต้องหาเพื่อพิสูจน์ความผิดฐานลักทรัพย์และรับของโจร
จสต.สัมพันธ์ พยานโจทก์ แม้จะไม่ได้รู้เห็นในขณะเกิดเหตุแต่ก็ได้มีการสืบสวนและติดตามทรัพย์ของกลางตลอดมา เบื้องต้นเมื่อทราบว่าจำเลยที่ 2 ลักรถจักรยานยนต์ก็ได้ติดตามตัวจำเลยที่ 2 และทราบว่าจำเลยที่ 2 ได้ลักรถจักรยานยนต์แล้วไปขายให้แก่จำเลยที่ 3จึงติดตามไปพบจำเลยที่ 3 ได้ทราบว่าได้ขายให้จำเลยที่ 1 จึงได้ติดตามไปที่ร้านจำเลยที่ 1 ได้พบรถจักรยานยนต์ที่จำเลยที่ 2ลักมาโดยจำเลยที่ 1 ได้เปลี่ยนแปลงสภาพให้ผิดไปจากเดิมแล้วการติดตามทรัพย์ของกลางรายนี้ของ จ.ส.ต.สัมพันธ์มาจากเหตุคำรับของจำเลยแต่ละคน แต่ผลสุดท้ายก็สามารถติดตามทรัพย์ของกลางได้แสดงให้เห็นว่าจำเลยแต่ละคนได้เกี่ยวข้องกับทรัพย์ของกลาง จนเจ้าพนักงานตำรวจติดตามยึดคืนมาได้ พฤติการณ์ดังกล่าวแม้จะไม่มีประจักษ์พยานรู้เห็นขณะเกิดเหตุ ก็ยังถือไม่ได้ว่าพยานโจทก์มีแต่คำรับสารภาพชั้นจับกุมหรือชั้นสอบสวนแต่อย่างเดียว เพราะยังมีคำเบิกความของ จ.ส.ต.สัมพันธ์มาประกอบคำรับสารภาพของจำเลยแต่ละคนอีกด้วย จึงเป็นพยานหลักฐานเพียงพอให้รับฟังได้ว่าจำเลยที่ 1และที่ 3 รับของโจร จำเลยที่ 2 ลักทรัพย์