คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
ละเมิด

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 2,780 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3050/2535 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิการได้รับเงินค่าปรับจากคดีละเมิดลิขสิทธิ์ แม้มิได้ขอในคำฟ้อง
พระราชบัญญัติ ญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2521 มาตรา 49 เป็นบทบัญญัติให้สิทธิแก่ผู้เป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ในเงินค่าปรับที่จำเลยได้ชำระตามคำพิพากษาจำนวนกึ่งหนึ่งเพื่อบรรเทาความเสียหายและให้ถือเป็นการชดใช้ในทางแพ่งส่วนหนึ่ง ถือได้ว่าเป็นบทบัญญัติพิเศษซึ่งไม่เกี่ยวกับคำฟ้องในคดีอาญา และไม่มีกฎหมายใดบังคับให้โจทก์ต้องระบุขอเงินค่าปรับดังกล่าวมาในคำขอท้ายฟ้องคดีอาญาโจทก์ผู้เป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ย่อมมีสิทธิขอรับเงินค่าปรับที่จำเลยชำระตามคำพิพากษากึ่งหนึ่งได้ แม้จะมิได้ขอไว้ในคำขอท้ายฟ้องและศาลมิได้พิพากษาให้จ่ายก็ตาม

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2779/2535

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความรับผิดของนายจ้างและหุ้นส่วนทางธุรกิจต่อความเสียหายจากอุบัติเหตุทางละเมิดของลูกจ้าง
จำเลยที่ 1 เป็นลูกจ้างของ ท. สามีจำเลยที่ 2 ได้ขับรถคันเกิดเหตุไปในทางการที่จ้างของ ท. เมื่อรายได้จากกิจการเดินรถคันดังกล่าวท. ได้นำมาใช้จ่ายในครอบครัว แม้ค่าเช่าซื้อรถก็ใช้เงินที่มีอยู่ในครอบครัวที่สะสมไว้ จึงเป็นการดำเนินกิจการร่วมกัน จำเลยที่ 2 ย่อมเป็นนายจ้างของจำเลยที่ 1 และเป็นหุ้นส่วนของ ท. ผู้เป็นสามีด้วย จำเลยที่ 2 จึงต้องร่วมรับผิดชำระค่าเสียหายในการกระทำละเมิดของจำเลยที่ 1 ให้แก่โจทก์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2776/2535 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ละเมิดจากคำสั่งอายัดทรัพย์ที่ไม่ถูกต้อง แม้ตรวจสอบแล้ว แต่ยังประมาทเลินเล่อ
โจทก์เป็นคนละนิติบุคคลกับบริษัท ต. กรมสรรพากร จำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2ออกคำสั่งอายัดเงินค่าจ้างก่อสร้างทางหลวงที่โจทก์พึงจะได้รับจากกรมทางหลวง โดยอ้างว่าโจทก์คือบริษัท ต.ซึ่งค้างชำระค่าภาษีอากรแก่จำเลยที่ 1 โดยอาศัยอำนาจตามประมวลรัษฎากร มาตรา 12เป็นเรื่องที่จำเลยทั้งสองกระทำผิดพลาดไปโดยไม่ตรวจสอบให้รอบคอบเสียก่อนออกคำสั่งอายัดเป็นการกระทำโดยประมาทเลินเล่อโดยผิดกฎหมายทำให้โจทก์เสียหาย ไม่ได้รับเงินดังกล่าวจากกรมทางหลวง เป็นการทำละเมิดต่อโจทก์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2776/2535

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ละเมิดจากคำสั่งอายัดทรัพย์ที่ไม่ถูกต้อง แม้ตรวจสอบแล้ว แต่ยังประมาทเลินเล่อ
บริษัทโจทก์เป็นคนละนิติบุคคลกับบริษัท ต.กรมสรรพกรจำเลยที่ 1 โดย จำเลยที่ 2 ออกคำสั่งอายัดเงินค่าจ้างก่อสร้างทางหลวงที่โจทก์พึงจะได้รับจากกรมทางหลวงอ้างว่าโจทก์คือบริษัทต. ซึ่งค้างชำระค่าภาษีอากรแก่จำเลยที่ 1 โดย อาศัยอำนาจตามประมวลรัษฎากร มาตรา 12 เป็นเรื่องที่จำเลยทั้งสองกระทำผิดพลาดไปโดย ไม่ตรวจสอบให้รอบคอบก่อนออกคำสั่งอายัด เป็นการประมาทเลินเล่อโดย ผิดกฎหมาย ทำให้โจทก์เสียหายไม่ได้รับเงินจากกรมทางหลวงเป็นการทำละเมิดต่อโจทก์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 272/2535 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องเคลือบคลุม จำเลยไม่สามารถต่อสู้คดีได้ ขาดรายละเอียดการกระทำละเมิด
โจทก์กล่าวหาว่าจำเลยที่ 1 ที่ 2 กระทำละเมิดโดยเบียดบัง ยักยอกเงินของสมาชิกโจทก์ซึ่งประสงค์จะซื้อหุ้นเพิ่มเติม และเงินที่ สมาชิกโจทก์นำมาชำระหนี้ให้แก่โจทก์ แต่โจทก์ไม่ได้บรรยายข้ออ้าง ที่ อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาในฟ้องหรือในเอกสารท้ายฟ้องอันเป็น ส่วนหนึ่งของคำฟ้องว่า สมาชิกดังกล่าวเป็นผู้ใดประสงค์ซื้อหุ้นเพิ่ม หรือชำระหนี้รายละเท่าใด อันชัดเจนเพียงพอที่จะให้เห็นว่าจำเลยที่ 1 และที่ 2ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบอย่างไร ทั้งเพียงพอที่จำเลยที่ 1 ที่ 3 เข้าใจและให้การต่อสู้คดีได้ ฟ้องโจทก์จึงขาดสาระสำคัญตาม ป.วิ.พ. มาตรา 172เป็นฟ้องเคลือบคลุม.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 272/2535

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องเคลือบคลุม จำเลยไม่เข้าใจข้อกล่าวหา – ละเมิดเบียดบังเงินสหกรณ์
โจทก์ฟ้องกล่าวหาว่าจำเลยที่ 1 ที่ 2 เป็นผู้จัดการและเป็นพนักงานของสหกรณ์ออมทรัพย์ครูจำกัดโจทก์ตามลำดับโดยจำเลยที่ 2 อยู่ในความควบคุมของจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 3 เป็นผู้ค้ำประกันการทำงานของจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 1 ที่ 2 กระทำละเมิดโดยเบียดบังยักยอกเงินของสมาชิกโจทก์ซึ่งประสงค์จะซื้อหุ้นเพิ่มเติมและเงินที่สมาชิกโจทก์นำมาชำระหนี้ให้แก่โจทก์ แต่โจทก์ไม่บรรยายข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาในฟ้องหรือในเอกสารท้ายฟ้องอันเป็นส่วนหนึ่งของคำฟ้องว่าสมาชิกดังกล่าวเป็นผู้ใดประสงค์ซื้อหุ้นเพิ่ม หรือชำระหนี้รายละเอียดเท่าใด อันชัดเจนเพียงพอที่จะให้เห็นว่าจำเลยที่ 1 ที่ 2 ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบอย่างไร ทั้งเพียงพอที่จำเลยที่ 1 ที่ 3 เข้าใจและให้การต่อสู้คดีได้ ฟ้องโจทก์เกี่ยวกับจำเลยที่ 1 ที่ 3 จึงขาดสารสำคัญตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 เป็นฟ้องเคลือบคลุม

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2438/2535 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความรับผิดของเจ้าของรถที่ให้เช่าซื้อและอนุญาตใช้ประกอบการขนส่งต่อละเมิดที่เกิดจากการกระทำของลูกจ้างผู้เช่า
จำเลยที่ 4 ซึ่งได้รับอนุญาตให้ประกอบการขนส่งส่วนบุคคลด้วยรถบรรทุก ให้จำเลยที่ 3 ซึ่งไม่ได้รับอนุญาตให้ประกอบการขนส่งเช่าซื้อรถบรรทุกคันเกิดเหตุ เพื่อให้นำไปประกอบกิจการขนส่งในนามของจำเลยที่ 4 โดยจำเลยที่ 4 เป็นผู้นำรถไปตรวจสภาพ ต่อทะเบียนรถและต่อใบอนุญาตประกอบการขนส่งทุกปี จำเลยที่ 3 จึงเป็นตัวแทนของจำเลยที่ 4 ในกิจการขนส่งดังกล่าว เมื่อจำเลยที่ 1 ลูกจ้างของจำเลยที่ 3 ขับรถบรรทุกคันดังกล่าวไปกระทำละเมิดต่อโจทก์ในทางการที่จ้างจำเลยที่ 4 ซึ่งเป็นตัวการจึงต้องร่วมรับผิดด้วย.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2438/2535

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความรับผิดของตัวการต่อละเมิดของตัวแทนในกิจการขนส่งที่ใช้ชื่อตัวการ
จำเลยที่ 4 ให้จำเลยที่ 3 เช่าซื้อรถยนต์บรรทุกไปแล้ว แต่เป็นการให้เช่าซื้อไปเพื่อให้จำเลยที่ 3 นำไปประกอบกิจการขนส่งในนามของจำเลยที่ 4 โดยจำเลยที่ 4 เป็นผู้นำรถไปตรวจสภาพต่อทะเบียนรถและต่อใบอนุญาตประกอบการขนส่งทุกปี จำเลยที่ 3ไม่ได้เช่าซื้อรถไปเพื่อประกอบการขนส่งในนามของจำเลยที่ 3 เองเพราะจำเลยที่ 3 มิได้รับอนุญาตให้ประกอบการขนส่งส่วนบุคคลจึงต้องใช้ชื่อของจำเลยที่ 4 ในการประกอบกิจการดังกล่าว เมื่อจำเลยที่ 4 ให้เช่าซื้อรถยนต์บรรทุกไปแล้วเป็นผู้ขออนุญาตประกอบการขนส่งส่วนบุคคลให้จำเลยที่ 3 นำไปประกอบการขนส่งในชื่อของจำเลยที่ 4 ต้องถือว่าจำเลยที่ 3 เป็นตัวแทนของจำเลยที่ 4 ในกิจการขนส่งดังกล่าว เมื่อจำเลยที่ 1 ลูกจ้างของจำเลยที่ 3ขับรถคันดังกล่าวไปกระทำละเมิดต่อโจทก์ในทางการที่จ้าง จำเลยที่ 4 ซึ่งเป็นตัวการจึงต้องร่วมรับผิดในผลแห่งละเมิดที่ลูกจ้างของตัวแทนได้กระทำไปนั้นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 425,427,820 ด้วย.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2263/2535 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ จำกัดสิทธิฎีกาในคดีละเมิด: จำนวนทุนทรัพย์ที่โจทก์เรียกร้องเกิน 50,000 บาท จึงมีสิทธิฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงได้
โจทก์ทั้งสิบเอ็ดมิได้ร่วมกันเรียกร้องให้จำเลยรับผิดอย่างเจ้าหนี้ร่วม แต่แต่ละคนต่างเรียกร้องให้จำเลยรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายที่ตนได้รับเท่านั้น แม้จะอาศัยมูลละเมิดเดียวกัน คดีสำหรับโจทก์คนใดจะอุทธรณ์ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงได้หรือไม่นั้น ต้องแยกพิจารณาจำนวนทุนทรัพย์ที่โจทก์คนนั้นเรียกร้อง โจทก์ที่ 2 ที่ 3 ที่ 4 และที่ 9 เรียกร้องให้จำเลยร่วมกันชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายให้แก่ตนเป็นจำนวนคนละไม่เกิน 50,000 บาท ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นคดีสำหรับโจทก์ที่ 2 ที่ 3 ที่ 4 และที่ 9 จึงต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.พ. มาตรา 248.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2243/2535

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อายุความฟ้องค่าเสียหายจากละเมิด: เริ่มนับเมื่อใดเมื่อทราบตัวผู้ต้องรับผิด
เรือของกองทัพเรือโจทก์จมลง ต่อมาโจทก์กู้เรือขึ้นมาซ่อมพร้อมทั้งตั้งคณะกรรมการสอบสวนหาผู้รับผิดทางแพ่ง คณะกรรมการสอบสวนได้รายงานผู้บัญชาการทหารเรือตามบันทึกลงวันที่ 25พฤษภาคม 2524 โจทก์ได้รับบันทึกเมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 2524เจ้ากรมสารบัญทหารเรือได้บันทึกเสนอต่อโจทก์ว่าการสอบสวนยังไม่สมบูรณ์ โจทก์ได้สั่งสอบสวนเพิ่มเติม เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม2524 จึงฟังได้ว่ากองทัพเรือได้ทราบถึงผู้ที่ต้องรับผิดทางแพ่งแล้วคือจำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 6 และที่ 7 สำหรับจำเลยที่ 3 ที่ 4 และที่ 5 แม้คณะกรรมการจะได้มีความเห็นว่าไม่ต้องรับผิดในทางแพ่งแต่การที่จะวินิจฉัยความรับผิดของผู้ใดนั้นเป็นเรื่องที่ศาลจะเป็นผู้วินิจฉัยชี้ขาดในที่สุด รายงานของคณะกรรมการสอบสวนที่โจทก์ตั้งขึ้นครั้งแรกจึงได้แสดงให้รู้ตัวผู้จะพึงใช้ค่าสินไหมทดแทนตามความหมายของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 448 วรรคหนึ่งแล้วว่าคือผู้ใดบ้าง คณะกรรมการสอบสวนหาผู้รับผิดทางแพ่งได้สอบสวนเพิ่มเติมเมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2524 จึงฟังได้ว่าโจทก์ทราบถึงตัวผู้ต้องรับผิดทางแพ่งแล้วก่อนวันที่ 15 ธันวาคม 2524อายุความก็ต้องเริ่มนับแต่วันนั้นเป็นต้นไป โจทก์ยื่นฟ้องจำเลยทั้งเจ็ดเมื่อวันที่ 7 มิถุนายน 2527 คดีโจทก์จึงขาดอายุความ
of 278