พบผลลัพธ์ทั้งหมด 2,226 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4046/2532 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อตกลงสภาพการจ้างโดยปริยาย การแก้ไขข้อบังคับบริษัท และผลผูกพันต่อลูกจ้าง
ข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างอันเป็นส่วนหนึ่งของของสัญญาจ้างแรงงานนั้นนอกจากจะเกิดขึ้นได้โดยการตกลงกันโดยชัดแจ้งจากการแจ้งข้อเรียกร้องตามพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518 มาตรา 13 แล้ว ยังอาจเกิดขึ้นได้โดยปริยายอีกด้วย เมื่อธนาคารนายจ้างออกข้อบังคับเกี่ยวกับเงินเดือนและการแต่งตั้งพนักงานใช้บังคับอยู่แล้วและภายหลังลูกจ้างผู้นั้นเข้ามาเป็นพนักงานก็ได้มีคำสั่งแก้ไขข้อบังคับนั้นในเวลาต่อมา โดยแก้บัญชีอัตราเงินเดือนให้มีขั้นเงินเดือนครึ่งขั้นและแก้ไขให้ผู้จัดการมีอำนาจแต่งตั้งพนักงานไปดำรงตำแหน่งอื่นในระดับที่ต่ำกว่าเดิมได้ พนักงานทุกคนก็ไม่ได้โต้แย้งคัดค้านและยอมรับเอาผลจากการแก้ไขข้อบังคับด้วยดีตลอดมา ทั้งสัญญาจ้างแรงงานก็เป็นสัญญาที่ไม่มีแบบ ข้อบังคับที่แก้ไขแล้วดังกล่าวจึงเป็นข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างที่ใช้บังคับแก่ลูกจ้างผู้นั้นด้วย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4035/2532
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การสนับสนุนการกระทำผิดฐานมีไม้หวงห้าม การกระทำของลูกจ้างที่ขนไม้ผิดกฎหมายเข้าข่ายเป็นผู้สนับสนุน
จำเลยนำรถยนต์บรรทุกของนายจ้างขนไม้หวงห้ามให้แก่นายจ้าง เป็นการช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกแก่นายจ้างของจำเลย ในการกระทำความผิดฐานมีไม้ยางแปรรูปของกลางไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ จำเลยจึงมีความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 86
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3763/2532 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องเรียกเงินคืนจากลูกจ้างที่ยักยอกทรัพย์สิน การประมาทเลินเล่อ และขอบเขตความรับผิด
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นหัวหน้าแผนกการเงินของโจทก์ร่วมกับจำเลยอื่นรับเงินไว้แทนโจทก์แล้วไม่ส่งให้โจทก์ ขอให้จำเลยที่ 1 ร่วมกับจำเลยอื่นใช้เงินคืนโจทก์ เป็นการฟ้องเพื่อติดตามเอาทรัพย์สินของโจทก์คืนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1336 ซึ่งไม่มีอายุความ มิใช่การฟ้องเรียกค่าเสียหายอันเกิดจากมูลละเมิดอันจะอยู่ในอายุความ 1 ปี ตามมาตรา 448 ข้อเท็จจริงในทางพิจารณาได้ความว่า จำเลยที่ 1 ไม่ได้ร่วมกับจำเลยอื่นรับเงินไว้แล้วไม่ส่งให้โจทก์ดังโจทก์ฟ้อง เพียงแต่จำเลยที่ 1 ประมาทเลินเล่อปล่อยให้จำเลยอื่นเอาเงินของโจทก์ไป ซึ่งโจทก์มิได้ฟ้องให้จำเลยที่ 1 รับผิดต่อโจทก์เพราะเหตุละเมิดดังนี้ ศาลจะพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ร่วมรับผิดกับจำเลยอื่นไม่ได้เพราะเป็นเรื่องนอกฟ้องนอกประเด็น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 372/2532 เวอร์ชัน 4 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดของนายจ้างและลูกจ้างต่อความเสียหายจากทุจริต และการหักกลบลบหนี้ค่าเสียหายกับค่าจ้าง
โจทก์มีหน้าที่ควบคุมดูแล การปฏิบัติงานของพนักงานเงินพนักงานบัญชี ในการปิดบัญชีแต่ละวัน โจทก์มีหน้าที่ตรวจ นับเงินสดตรา ไปรษณียากร อากรแสตมป์ ตั๋วแลกเงินและวิมัยบัตร ให้ตรงกับยอดเงินคงเหลือในบัญชีเงินสดแต่ในช่วงวันที่ ๔ กรกฎาคม ๒๕๒๙ถึง วันที่ ๗ พฤศจิกายน ๒๕๒๙ โจทก์ตรวจ เฉพาะ บัญชีเงินสด ไม่ได้ตรวจ ตราไปรษณียากรคงเหลือแต่ละวัน ทะเบียนคุมเงินตราไปรษณียากรสมุด แรกรับตราไปรษณียากรและวิมัยบัตร เป็นเหตุให้ ส.พนักงานเงินทุจริตไปรษณียากรกับเงินฝากส่งไปรษณีย์ภัณฑ์และพัสดุ ไปรษณีย์รายเดือน นำไปเป็นประโยชน์ส่วนตัว โจทก์จึงต้อง รับผิดต่อ จำเลยโดยตรงฐาน ผิดสัญญาจ้างแรงงานและฐาน กระทำ ละเมิดต่อ จำเลยโดย ร่วมรับผิดกับ ส. และ อ. พนักงานบัญชีอย่างลูกหนี้ร่วม
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเลิกจ้างโจทก์เนื่องจากอายุเกิน ๖๐ปีบริบูรณ์ ขอให้จำเลยจ่ายเงินบำเหน็จ ค่าชดเชย และเงินโบนัสจำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า โจทก์ละเลยไม่ ปฏิบัติตาม ระเบียบของจำเลยเป็นเหตุให้พนักงานเงินของจำเลยทุจริต ทำให้จำเลยได้รับความเสียหาย จำเลยจึงขอใช้ สิทธิหักกลบลบหนี้กับเงินที่โจทก์มีสิทธิได้รับจากจำเลย เมื่อหักแล้วโจทก์ยังเป็นหนี้จำเลยอยู่อีกจำนวนหนึ่งจำเลยจึงฟ้องแย้งเรียกค่าเสียหายในจำนวนเงินดังกล่าว ฟ้องแย้งของจำเลยเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับสัญญาจ้างแรงงานระหว่างโจทก์กับจำเลย ซึ่ง เกิดขึ้นเนื่องจากโจทก์กระทำผิดสัญญาจ้างและกระทำละเมิดต่อ จำเลยจนเป็นเหตุให้จำเลยได้รับความเสียหายจึงเกี่ยวข้องกับฟ้องเดิม ทั้งจำเลยได้ บรรยายฟ้องแย้งว่า โจทก์ไม่ได้ปฏิบัติตาม ระเบียบข้อบังคับของจำเลยอย่างไร จำเลยได้รับความเสียหายอย่างไรเป็นฟ้องที่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๗๒ วรรคสองแล้วส่วนข้อที่ว่าโจทก์ละเลยไม่ปฏิบัติตาม ระเบียบข้อบังคับอย่างไรฉบับที่เท่าใด เป็นเรื่องที่จำเลยจะนำสืบในชั้นพิจารณาได้ฟ้องแย้งของจำเลยจึงไม่เคลือบคลุม
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า โจทก์ไม่ต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่จำเลย และในชั้นพิจารณาโจทก์เบิกความว่าโจทก์ไม่ต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่จำเลยด้วย หนี้ค่าสินไหมทดแทนที่จำเลยเรียกจากโจทก์จึงยังมีข้อต่อสู้ ดังนั้นจำเลยจะขอหักกลบลบหนี้กับโจทก์ไม่ได้ อย่างไรก็ตาม จำเลยก็ได้ฟ้องแย้งเรียกค่าสินไหมทดแทนจากโจทก์ และศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงยุติว่าการที่โจทก์ไม่ปฏิบัติตาม ระเบียบของจำเลยเป็นเหตุให้ ส. พนักงานเงินทุจริต นำเงินของจำเลยไปใช้ เป็นประโยชน์ส่วนตัวจำนวน ๓๙๗,๐๙๐.๕๐ บาท และโจทก์ต้อง ร่วมรับผิดชดใช้ให้แก่จำเลย แม้ในฟ้องแย้งของจำเลยจะมีคำขอให้โจทก์ใช้ เงินเพียง ๓๖,๑๓๐.๑๕ บาท ก็เพราะจำเลยเข้าใจว่าสามารถนำสิทธิเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนทั้งหมดดังกล่าวมาหักกับสิทธิเรียกร้องในเงินตามฟ้องของโจทก์ได้ จึงต้อง ถือว่าจำเลยฟ้องแย้งให้โจทก์รับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนจำนวนทั้งหมดเมื่อโจทก์มีสิทธิเรียกร้องให้จำเลยชำระเงินตามฟ้องเป็นเงินรวม ๓๗๕,๒๕๗.๑๔ บาท กับดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีของต้นเงิน ๓๖๐,๙๖๐.๓๕ บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ในขณะเดียวกันโจทก์ต้อง ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่จำเลยเป็นเงิน ๓๙๗,๐๙๐.๕๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องแย้งจนกว่าจะชำระเสร็จดังนั้น เพื่อความสะดวกในการบังคับตาม คำพิพากษาจึงเห็นสมควรให้หักหนี้กันเสียโดย ให้มีผลนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไป ปรากฏว่าเมื่อหักหนี้แล้วโจทก์ต้อง ชำระเงินให้จำเลยอีก ๒๑,๘๓๓.๓๖ บาทพร้อมดอกเบี้ย ดังกล่าวแต่ เนื่องจากจำเลยไม่ได้อุทธรณ์ จึงให้เริ่มคิดดอกเบี้ยตาม คำพิพากษาศาลแรงงานกลาง.
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเลิกจ้างโจทก์เนื่องจากอายุเกิน ๖๐ปีบริบูรณ์ ขอให้จำเลยจ่ายเงินบำเหน็จ ค่าชดเชย และเงินโบนัสจำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า โจทก์ละเลยไม่ ปฏิบัติตาม ระเบียบของจำเลยเป็นเหตุให้พนักงานเงินของจำเลยทุจริต ทำให้จำเลยได้รับความเสียหาย จำเลยจึงขอใช้ สิทธิหักกลบลบหนี้กับเงินที่โจทก์มีสิทธิได้รับจากจำเลย เมื่อหักแล้วโจทก์ยังเป็นหนี้จำเลยอยู่อีกจำนวนหนึ่งจำเลยจึงฟ้องแย้งเรียกค่าเสียหายในจำนวนเงินดังกล่าว ฟ้องแย้งของจำเลยเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับสัญญาจ้างแรงงานระหว่างโจทก์กับจำเลย ซึ่ง เกิดขึ้นเนื่องจากโจทก์กระทำผิดสัญญาจ้างและกระทำละเมิดต่อ จำเลยจนเป็นเหตุให้จำเลยได้รับความเสียหายจึงเกี่ยวข้องกับฟ้องเดิม ทั้งจำเลยได้ บรรยายฟ้องแย้งว่า โจทก์ไม่ได้ปฏิบัติตาม ระเบียบข้อบังคับของจำเลยอย่างไร จำเลยได้รับความเสียหายอย่างไรเป็นฟ้องที่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๗๒ วรรคสองแล้วส่วนข้อที่ว่าโจทก์ละเลยไม่ปฏิบัติตาม ระเบียบข้อบังคับอย่างไรฉบับที่เท่าใด เป็นเรื่องที่จำเลยจะนำสืบในชั้นพิจารณาได้ฟ้องแย้งของจำเลยจึงไม่เคลือบคลุม
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า โจทก์ไม่ต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่จำเลย และในชั้นพิจารณาโจทก์เบิกความว่าโจทก์ไม่ต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่จำเลยด้วย หนี้ค่าสินไหมทดแทนที่จำเลยเรียกจากโจทก์จึงยังมีข้อต่อสู้ ดังนั้นจำเลยจะขอหักกลบลบหนี้กับโจทก์ไม่ได้ อย่างไรก็ตาม จำเลยก็ได้ฟ้องแย้งเรียกค่าสินไหมทดแทนจากโจทก์ และศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงยุติว่าการที่โจทก์ไม่ปฏิบัติตาม ระเบียบของจำเลยเป็นเหตุให้ ส. พนักงานเงินทุจริต นำเงินของจำเลยไปใช้ เป็นประโยชน์ส่วนตัวจำนวน ๓๙๗,๐๙๐.๕๐ บาท และโจทก์ต้อง ร่วมรับผิดชดใช้ให้แก่จำเลย แม้ในฟ้องแย้งของจำเลยจะมีคำขอให้โจทก์ใช้ เงินเพียง ๓๖,๑๓๐.๑๕ บาท ก็เพราะจำเลยเข้าใจว่าสามารถนำสิทธิเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนทั้งหมดดังกล่าวมาหักกับสิทธิเรียกร้องในเงินตามฟ้องของโจทก์ได้ จึงต้อง ถือว่าจำเลยฟ้องแย้งให้โจทก์รับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนจำนวนทั้งหมดเมื่อโจทก์มีสิทธิเรียกร้องให้จำเลยชำระเงินตามฟ้องเป็นเงินรวม ๓๗๕,๒๕๗.๑๔ บาท กับดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีของต้นเงิน ๓๖๐,๙๖๐.๓๕ บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ในขณะเดียวกันโจทก์ต้อง ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่จำเลยเป็นเงิน ๓๙๗,๐๙๐.๕๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องแย้งจนกว่าจะชำระเสร็จดังนั้น เพื่อความสะดวกในการบังคับตาม คำพิพากษาจึงเห็นสมควรให้หักหนี้กันเสียโดย ให้มีผลนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไป ปรากฏว่าเมื่อหักหนี้แล้วโจทก์ต้อง ชำระเงินให้จำเลยอีก ๒๑,๘๓๓.๓๖ บาทพร้อมดอกเบี้ย ดังกล่าวแต่ เนื่องจากจำเลยไม่ได้อุทธรณ์ จึงให้เริ่มคิดดอกเบี้ยตาม คำพิพากษาศาลแรงงานกลาง.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 372/2532 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดของลูกจ้างต่อความเสียหายจากทุจริตของพนักงานอื่น และการหักกลบลบหนี้กับนายจ้าง
ในการปิดบัญชีเงินสดของแต่ละวัน โจทก์ตรวจแต่บัญชีเงินสดมิได้ตรวจตราไปรษณียากรคงเหลือ ทะเบียนคุมเงินตราไปรษณียากรสมุดแรกรับตราไปรษณียากรและวิมัยบัตรตามหน้าที่ เป็นเหตุให้ส. พนักงานเงินทุจริตไปรษณียากรและเงินฝากส่งไปรษณีย์ภัณฑ์และพัสดุไปรษณีย์รายเดือนนำไปเป็นประโยชน์ส่วนตัว โจทก์จึงต้องรับผิดต่อจำเลยผู้เป็นนายจ้างโดยตรงฐานผิดสัญญาจ้างและฐานกระทำละเมิดต่อจำเลยจำเลยจึงมีสิทธิเรียกร้องให้โจทก์ชำระเงินดังกล่าวแก่จำเลยได้โดยสิ้นเชิงในฐานลูกหนี้ร่วม
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยเลิกจ้างโจทก์เนื่องจากเกษียณอายุ ถือเป็นการเลิกจ้างโดยโจทก์ไม่มีความผิด ขอให้จำเลยชำระเงินบำเหน็จค่าชดเชย และเงินโบนัสแก่โจทก์จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่าโจทก์ละเลยไม่ปฏิบัติตามระเบียบของจำเลยเป็นเหตุให้พนักงานเงินของจำเลยทุจริต ทำให้จำเลยได้รับความเสียหายจำเลยจึงขอใช้สิทธิหักกลบลบหนี้กับเงินที่โจทก์มีสิทธิได้รับจากจำเลย แล้วโจทก์ยังเป็นหนี้จำเลยอยู่อีกจำนวนหนึ่ง จำเลยจึงฟ้องแย้งเรียกค่าเสียหายในจำนวนเงินดังกล่าวเช่นนี้ ฟ้องแย้งของจำเลยเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับสัญญาจ้างแรงงาน ระหว่างโจทก์กับจำเลยซึ่งเกิดขึ้น เนื่องจากโจทก์กระทำผิดสัญญาจ้างและกระทำละเมิดต่อจำเลยจนเป็นเหตุให้จำเลยได้รับความเสียหายฟ้องแย้งของจำเลยจึงถือได้ว่าเกี่ยวข้องกับฟ้องเดิมแล้ว
จำเลยได้บรรยายฟ้องแย้งว่า โจทก์มิได้ปฏิบัติตามระเบียบข้อบังคับของจำเลยอย่างไร จำเลยได้รับความเสียหายอย่างไรเป็นฟ้องที่ชอบด้วย ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172วรรคสองแล้ว ส่วนข้อที่ว่าโจทก์ละเลยไม่ปฏิบัติตามระเบียบข้อบังคับอย่างไร ฉบับที่ เท่าใด นั้น เป็นเรื่องที่จำเลยจะนำสืบในชั้นพิจารณาได้ ฟ้องแย้งของจำเลยจึงไม่เคลือบคลุม
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งและเบิกความในชั้นพิจารณาว่า โจทก์ไม่ต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่จำเลย หนี้ค่าสินไหมทดแทนที่จำเลยเรียกจากโจทก์จึงมีข้อต่อสู้ ดังนั้น จำเลยจะขอหักกลบลบหนี้กับโจทก์ไม่ได้ แต่ปรากฏว่าศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงยุติว่า การที่โจทก์ไม่ปฏิบัติตามระเบียบของจำเลยเป็นเหตุให้ ส. พนักงานเงินทุจริตนำเงินของจำเลยไปใช้เป็นประโยชน์ส่วนตัวจำนวน 397,090.50 บาท และโจทก์ต้องร่วมรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนคืนให้แก่จำเลยด้วย แม้ในฟ้องแย้งจำเลยจะมีคำขอให้โจทก์ใช้เพียง 36,130.15 บาท ก็เพราะจำเลยเข้าใจว่าสามารถนำสิทธิเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนทั้งหมดดังกล่าวมาหักกับสิทธิเรียกร้องในเงินตามฟ้องของโจทก์ได้จึงต้องถือว่าจำเลยฟ้องแย้งให้โจทก์รับผิดใช้เงินค่าสินไหมทดแทนจำนวนทั้งหมดอยู่เช่นเดิม เมื่อปรากฏว่าโจทก์มีสิทธิเรียกร้องให้จำเลยชำระเงินตามฟ้องรวาม 375,257.14 บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ยเพื่อความสะดวกในการบังคับคดีตามคำพิพากษาจึงให้หักหนี้กันเสียโดยให้มีผลนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปเมื่อหักหนี้แล้วโจทก์ต้องชำระเงินให้จำเลยอีก 21,833.36บาท พร้อมดอกเบี้ย.(ที่มา-ส่งเสริม)
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยเลิกจ้างโจทก์เนื่องจากเกษียณอายุ ถือเป็นการเลิกจ้างโดยโจทก์ไม่มีความผิด ขอให้จำเลยชำระเงินบำเหน็จค่าชดเชย และเงินโบนัสแก่โจทก์จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่าโจทก์ละเลยไม่ปฏิบัติตามระเบียบของจำเลยเป็นเหตุให้พนักงานเงินของจำเลยทุจริต ทำให้จำเลยได้รับความเสียหายจำเลยจึงขอใช้สิทธิหักกลบลบหนี้กับเงินที่โจทก์มีสิทธิได้รับจากจำเลย แล้วโจทก์ยังเป็นหนี้จำเลยอยู่อีกจำนวนหนึ่ง จำเลยจึงฟ้องแย้งเรียกค่าเสียหายในจำนวนเงินดังกล่าวเช่นนี้ ฟ้องแย้งของจำเลยเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับสัญญาจ้างแรงงาน ระหว่างโจทก์กับจำเลยซึ่งเกิดขึ้น เนื่องจากโจทก์กระทำผิดสัญญาจ้างและกระทำละเมิดต่อจำเลยจนเป็นเหตุให้จำเลยได้รับความเสียหายฟ้องแย้งของจำเลยจึงถือได้ว่าเกี่ยวข้องกับฟ้องเดิมแล้ว
จำเลยได้บรรยายฟ้องแย้งว่า โจทก์มิได้ปฏิบัติตามระเบียบข้อบังคับของจำเลยอย่างไร จำเลยได้รับความเสียหายอย่างไรเป็นฟ้องที่ชอบด้วย ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172วรรคสองแล้ว ส่วนข้อที่ว่าโจทก์ละเลยไม่ปฏิบัติตามระเบียบข้อบังคับอย่างไร ฉบับที่ เท่าใด นั้น เป็นเรื่องที่จำเลยจะนำสืบในชั้นพิจารณาได้ ฟ้องแย้งของจำเลยจึงไม่เคลือบคลุม
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งและเบิกความในชั้นพิจารณาว่า โจทก์ไม่ต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่จำเลย หนี้ค่าสินไหมทดแทนที่จำเลยเรียกจากโจทก์จึงมีข้อต่อสู้ ดังนั้น จำเลยจะขอหักกลบลบหนี้กับโจทก์ไม่ได้ แต่ปรากฏว่าศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงยุติว่า การที่โจทก์ไม่ปฏิบัติตามระเบียบของจำเลยเป็นเหตุให้ ส. พนักงานเงินทุจริตนำเงินของจำเลยไปใช้เป็นประโยชน์ส่วนตัวจำนวน 397,090.50 บาท และโจทก์ต้องร่วมรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนคืนให้แก่จำเลยด้วย แม้ในฟ้องแย้งจำเลยจะมีคำขอให้โจทก์ใช้เพียง 36,130.15 บาท ก็เพราะจำเลยเข้าใจว่าสามารถนำสิทธิเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนทั้งหมดดังกล่าวมาหักกับสิทธิเรียกร้องในเงินตามฟ้องของโจทก์ได้จึงต้องถือว่าจำเลยฟ้องแย้งให้โจทก์รับผิดใช้เงินค่าสินไหมทดแทนจำนวนทั้งหมดอยู่เช่นเดิม เมื่อปรากฏว่าโจทก์มีสิทธิเรียกร้องให้จำเลยชำระเงินตามฟ้องรวาม 375,257.14 บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ยเพื่อความสะดวกในการบังคับคดีตามคำพิพากษาจึงให้หักหนี้กันเสียโดยให้มีผลนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปเมื่อหักหนี้แล้วโจทก์ต้องชำระเงินให้จำเลยอีก 21,833.36บาท พร้อมดอกเบี้ย.(ที่มา-ส่งเสริม)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 372/2532 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดของลูกจ้างต่อความเสียหายจากทุจริตของพนักงานอื่น และการหักกลบลบหนี้ในคดีแรงงาน
ในการปิดบัญชีเงินสดของแต่ละวัน โจทก์ตรวจแต่บัญชีเงินสดมิได้ตรวจตราไปรษณียากรคงเหลือ ทะเบียน กับสมุดแรกรับตราไปรษณียากรและวิมัยบัตรตามหน้าที่ เป็นเหตุให้พนักงานเงินทุจริตนำไปรษณียากรและเงินฝากส่งไปรษณีย์ภัณฑ์และพัสดุไปรษณีย์รายเดือนไปเป็นประโยชน์ส่วนตัว โจทก์จึงต้องรับผิดต่อจำเลยผู้เป็นนายจ้างโดยตรงฐานผิดสัญญาจ้างและฐานกระทำละเมิดต่อจำเลยในฐานลูกหนี้ร่วมกับพนักงานเงิน โจทก์ฟ้องว่าจำเลยเลิกจ้างโจทก์เนื่องจากเกษียณอายุ โดยโจทก์ไม่มีความผิด ขอให้จำเลยชำระเงินบำเหน็จ ค่าชดเชย และเงินโบนัสแก่โจทก์ จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า โจทก์ละเลยไม่ปฏิบัติตามระเบียบของจำเลยเป็นเหตุให้พนักงานเงินของจำเลยทุจริตทำให้จำเลยได้รับความเสียหาย จำเลยจึงขอใช้สิทธิหักกลบลบหนี้กับเงินที่โจทก์มีสิทธิได้รับจากจำเลย ซึ่งเมื่อหักแล้วโจทก์ยังเป็นหนี้จำเลยอยู่อีกจำนวนหนึ่ง จำเลยจึงฟ้องแย้งเรียกค่าเสียหายในจำนวนเงินดังกล่าว เช่นนี้ ฟ้องแย้งของจำเลยเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับสัญญาจ้างแรงงานระหว่างโจทก์กับจำเลยซึ่งเกิดขึ้นเนื่องจากโจทก์กระทำผิดสัญญาจ้างและกระทำละเมิดต่อจำเลย จึงเป็นฟ้องแย้งที่เกี่ยวข้องกับฟ้องเดิมแล้ว ทั้งจำเลยได้บรรยายฟ้องแย้งว่า โจทก์มิได้ปฏิบัติตามระเบียบข้อบังคับของจำเลยอย่างไร จำเลยได้รับความเสียหายอย่างไร เป็นฟ้องที่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 วรรคสองแล้วส่วนข้อที่ว่าโจทก์ละเลยไม่ปฏิบัติตามระเบียบข้อบังคับอย่างไรฉบับที่เท่าใดนั้น เป็นเรื่องที่จะนำสืบในชั้นพิจารณา ฟ้องแย้งของจำเลยจึงไม่เคลือบคลุม เมื่อศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงยุติว่า การที่โจทก์ไม่ปฏิบัติตามระเบียบของจำเลยเป็นเหตุให้พนักงานเงินทุจริตนำเงินของจำเลยไปใช้เป็นประโยชน์ส่วนตัวจำนวน 397,090.50 บาท และโจทก์ต้องร่วมรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนคืนให้แก่จำเลยด้วย แม้ในฟ้องแย้งจำเลยจะมีคำขอให้โจทก์ใช้เพียง 36,130.15 บาทก็เพราะจำเลยเข้าใจว่าสามารถนำสิทธิเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนทั้งหมดมาหักกับสิทธิเรียกร้องในเงินตามฟ้องของโจทก์ได้ จึงต้องถือว่าจำเลยฟ้องแย้งให้โจทก์รับผิดใช้เงินค่าสินไหมทดแทนจำนวนทั้งหมดอยู่เช่นเดิม เมื่อปรากฏว่าโจทก์มีสิทธิเรียกร้องให้จำเลยชำระเงินตามฟ้องรวม 375,257.14 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยเพื่อความสะดวกในการบังคับคดีตามคำพิพากษา จึงให้หักหนี้กันเสียโดยให้มีผลนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไป โจทก์จึงต้องชำระเงินให้จำเลยอีก21,833.36 บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ย แต่เนื่องจากจำเลยมิได้อุทธรณ์จึงให้คิดดอกเบี้ยนับแต่วันฟ้องแย้งตามคำพิพากษาศาลแรงงานกลาง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 372/2532
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดของลูกจ้างต่อความเสียหายจากการทุจริตของพนักงานอื่น และการหักกลบลบหนี้จากค่าจ้าง
โจทก์มีหน้าที่ควบคุมดูแล การปฏิบัติงานของพนักงานเงินพนักงานบัญชี ในการปิดบัญชีแต่ละวัน โจทก์มีหน้าที่ตรวจ นับเงินสดตรา ไปรษณียากร อากรแสตมป์ ตั๋วแลกเงินและวิมัยบัตร ให้ตรงกับยอดเงินคงเหลือในบัญชีเงินสดแต่ในช่วงวันที่ 4 กรกฎาคม 2529ถึง วันที่ 7 พฤศจิกายน 2529 โจทก์ตรวจ เฉพาะ บัญชีเงินสด ไม่ได้ตรวจ ตราไปรษณียากรคงเหลือแต่ละวัน ทะเบียนคุมเงินตราไปรษณียากรสมุด แรกรับตราไปรษณียากรและวิมัยบัตร เป็นเหตุให้ ส.พนักงานเงินทุจริตไปรษณียากรกับเงินฝากส่งไปรษณีย์ภัณฑ์และพัสดุ ไปรษณีย์รายเดือน นำไปเป็นประโยชน์ส่วนตัว โจทก์จึงต้อง รับผิดต่อ จำเลยโดยตรงฐาน ผิดสัญญาจ้างแรงงานและฐาน กระทำ ละเมิดต่อ จำเลยโดย ร่วมรับผิดกับ ส. และ อ. พนักงานบัญชีอย่างลูกหนี้ร่วม โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเลิกจ้างโจทก์เนื่องจากอายุเกิน 60ปีบริบูรณ์ ขอให้จำเลยจ่ายเงินบำเหน็จ ค่าชดเชย และเงินโบนัสจำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า โจทก์ละเลยไม่ ปฏิบัติตาม ระเบียบของจำเลยเป็นเหตุให้พนักงานเงินของจำเลยทุจริต ทำให้จำเลยได้รับความเสียหาย จำเลยจึงขอใช้ สิทธิหักกลบลบหนี้กับเงินที่โจทก์มีสิทธิได้รับจากจำเลย เมื่อหักแล้วโจทก์ยังเป็นหนี้จำเลยอยู่อีกจำนวนหนึ่งจำเลยจึงฟ้องแย้งเรียกค่าเสียหายในจำนวนเงินดังกล่าว ฟ้องแย้งของจำเลยเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับสัญญาจ้างแรงงานระหว่างโจทก์กับจำเลย ซึ่ง เกิดขึ้นเนื่องจากโจทก์กระทำผิดสัญญาจ้างและกระทำละเมิดต่อ จำเลยจนเป็นเหตุให้จำเลยได้รับความเสียหายจึงเกี่ยวข้องกับฟ้องเดิม ทั้งจำเลยได้ บรรยายฟ้องแย้งว่า โจทก์ไม่ได้ปฏิบัติตาม ระเบียบข้อบังคับของจำเลยอย่างไร จำเลยได้รับความเสียหายอย่างไรเป็นฟ้องที่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 วรรคสองแล้วส่วนข้อที่ว่าโจทก์ละเลยไม่ปฏิบัติตาม ระเบียบข้อบังคับอย่างไรฉบับที่เท่าใด เป็นเรื่องที่จำเลยจะนำสืบในชั้นพิจารณาได้ฟ้องแย้งของจำเลยจึงไม่เคลือบคลุม โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า โจทก์ไม่ต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่จำเลย และในชั้นพิจารณาโจทก์เบิกความว่าโจทก์ไม่ต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่จำเลยด้วย หนี้ค่าสินไหมทดแทนที่จำเลยเรียกจากโจทก์จึงยังมีข้อต่อสู้ ดังนั้นจำเลยจะขอหักกลบลบหนี้กับโจทก์ไม่ได้ อย่างไรก็ตาม จำเลยก็ได้ฟ้องแย้งเรียกค่าสินไหมทดแทนจากโจทก์ และศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงยุติว่าการที่โจทก์ไม่ปฏิบัติตาม ระเบียบของจำเลยเป็นเหตุให้ ส. พนักงานเงินทุจริต นำเงินของจำเลยไปใช้ เป็นประโยชน์ส่วนตัวจำนวน 397,090.50 บาท และโจทก์ต้อง ร่วมรับผิดชดใช้ให้แก่จำเลย แม้ในฟ้องแย้งของจำเลยจะมีคำขอให้โจทก์ใช้ เงินเพียง 36,130.15 บาท ก็เพราะจำเลยเข้าใจว่าสามารถนำสิทธิเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนทั้งหมดดังกล่าวมาหักกับสิทธิเรียกร้องในเงินตามฟ้องของโจทก์ได้ จึงต้อง ถือว่าจำเลยฟ้องแย้งให้โจทก์รับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนจำนวนทั้งหมดเมื่อโจทก์มีสิทธิเรียกร้องให้จำเลยชำระเงินตามฟ้องเป็นเงินรวม 375,257.14 บาท กับดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีของต้นเงิน 360,960.35 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ในขณะเดียวกันโจทก์ต้อง ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่จำเลยเป็นเงิน 397,090.50 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องแย้งจนกว่าจะชำระเสร็จดังนั้น เพื่อความสะดวกในการบังคับตาม คำพิพากษาจึงเห็นสมควรให้หักหนี้กันเสียโดย ให้มีผลนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไป ปรากฏว่าเมื่อหักหนี้แล้วโจทก์ต้อง ชำระเงินให้จำเลยอีก 21,833.36 บาทพร้อมดอกเบี้ย ดังกล่าวแต่ เนื่องจากจำเลยไม่ได้อุทธรณ์ จึงให้เริ่มคิดดอกเบี้ยตาม คำพิพากษาศาลแรงงานกลาง.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3670/2532 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเลิกจ้างลูกจ้างนักการภารโรงฐานประพฤติตนไม่เหมาะสมและแสวงหาผลประโยชน์โดยมิชอบ
การที่โจทก์ซึ่งเป็นลูกจ้างจำเลยตำแหน่งนักการภารโรงเรียกและรับเงินจากบริษัท อ. เป็นค่าจัดการโอนย้ายและติดตั้งโทรศัพท์ตามหมายเลขของ ป. ให้แก่บริษัทดังกล่าว แล้วไม่นำเงินไปชำระแก่ ป. เป็นเหตุให้ ป. ไม่ดำเนินการโอนโทรศัพท์ให้การกระทำของโจทก์เป็นการแสวงหาผลประโยชน์จากผู้ที่จะขอใช้บริการของจำเลยโดยมิชอบและเป็นการกระทำในเรื่องที่นอกเหนือจากตำแหน่งหน้าที่ เป็นที่เสื่อมเสียและอาจเกิดความเสียหายแก่จำเลย ถือได้ว่าโจทก์ฝ่าฝืนระเบียบปฏิบัติงานของจำเลยที่กำหนดว่าประพฤติตนไม่เหมาะสมซึ่งจำเลยมีอำนาจเลิกจ้างโจทก์ได้ และการกระทำของโจทก์ดังกล่าวเป็นการฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานเป็นกรณีร้ายแรงตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงานข้อ 47(3) อีกด้วย จำเลยจึงเลิกจ้างโจทก์ได้โดยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยและค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปี
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3670/2532
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเลิกจ้างลูกจ้างฐานประพฤติตนไม่เหมาะสมและฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับ จำเลยมีสิทธิเลิกจ้างโดยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชย
การที่โจทก์ซึ่งเป็นลูกจ้างจำเลยตำแหน่งนักการภารโรงเรียกและรับเงินจากบริษัท อ. เป็นค่าจัดการโอนย้ายและติดตั้งโทรศัพท์ตามหมายเลขของ ป. ให้แก่บริษัทดังกล่าว แล้วไม่นำเงินไปชำระแก่ ป. เป็นเหตุให้ ป. ไม่ดำเนินการโอนโทรศัพท์ให้การกระทำของโจทก์เป็นการแสวงหาผลประโยชน์จากผู้ที่จะขอใช้บริการของจำเลยโดยมิชอบและเป็นการกระทำในเรื่องที่นอกเหนือจากตำแหน่งหน้าที่ เป็นที่เสื่อมเสียและอาจเกิดความเสียหายแก่จำเลย ถือได้ว่าโจทก์ฝ่าฝืนระเบียบปฏิบัติงานของจำเลยที่กำหนดว่าประพฤติตนไม่เหมาะสมซึ่งจำเลยมีอำนาจเลิกจ้างโจทก์ได้ และการกระทำของโจทก์ดังกล่าวเป็นการฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานเป็นกรณีร้ายแรงตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงานข้อ 47(3) อีกด้วย จำเลยจึงเลิกจ้างโจทก์ได้โดยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยและค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปี.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3551/2532 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเลิกจ้างลูกจ้างเนื่องจากกระทำผิดร้ายแรงกระทบต่อการทำงาน แม้ไม่มีระเบียบข้อบังคับก็มีผลให้ลูกจ้างไม่มีสิทธิได้รับสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า
เมื่อจำเลยเลิกจ้างโจทก์แล้วจะต้องรับผิดจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าให้แก่โจทก์หรือไม่ แม้ไม่มีระเบียบข้อบังคับของจำเลยกำหนดไว้ก็สามารถพิจารณาได้จากการกระทำของโจทก์ว่า เป็นการกระทำความผิดตามที่ระบุไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 583 หรือไม่ โจทก์ซึ่งมีอาการมึนเมาสุราได้ขอให้ ป.ผู้ร่วมงานช่วยตามหาภรรยาซึ่งหนีไป เมื่อ ป. ไปกับโจทก์ โจทก์ถือโอกาสพา ป. เข้าโรงแรมแล้วปลุกปล้ำแต่ ป. หนีมาได้ การกระทำของโจทก์นอกจากจะเป็นความผิดอาญา เป็นการประพฤติผิดศีลธรรมอันดี เป็นการประพฤติชั่วแล้ว ยังก่อให้เกิดการแตกความสามัคคีระหว่างเพื่อนร่วมงาน อันเป็นผลเสียกระทบกระเทือนถึงการงานของจำเลยด้วย ถือได้ว่าเป็นการกระทำผิดอย่างร้ายแรงตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 583 โจทก์ไม่มีสิทธิได้รับสินจ้าง แทนการบอกกล่าวล่วงหน้า