พบผลลัพธ์ทั้งหมด 4,515 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5633/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำเตือนเจ้าพนักงานตรวจแรงงานไม่ใช่คำสั่งทางกฎหมาย โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเพิกถอน
จำเลยที่ 2 และที่ 3 เป็นเจ้าพนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดนครราชสีมา อยู่ในบังคับบัญชาของกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2 และที่ 3 ได้สอบสวนตามที่ ป. ร้องเรียนว่าโจทก์ซึ่งเป็นนายจ้างไม่ยอมจ่ายค่าจ้างตามข้อตกลง ผลการสอบสวนของจำเลยที่ 2 และที่ 3ปรากฏว่าโจทก์ฝ่าฝืนประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงานฉบับลงวันที่ 16 เมษายน 2515 ข้อ 29 จึงออกคำเตือนแก่โจทก์โดยอาศัยอำนาจตามข้อ 77 แห่งประกาศดังกล่าวให้โจทก์จ่ายค่าจ้างแก่ ป. ภายในระยะเวลาที่กำหนดไว้ในคำเตือนนั้น คำเตือนดังกล่าวมีผลเพียงเป็นการชี้แนะของเจ้าหน้าที่เพื่อระงับข้อพิพาทระหว่างนายจ้างลูกจ้าง มิใช่เป็นคำสั่งหรือคำวินิจฉัยชี้ขาดที่กฎหมายบัญญัติให้โจทก์ต้องปฏิบัติตาม ถ้าโจทก์เห็นว่าคำเตือนนั้นไม่ถูกต้องจะไม่ปฏิบัติตามก็ได้ คำเตือนดังกล่าวจึงไม่เป็นการกระทบกระเทือนต่อสิทธิหน้าที่ของโจทก์ดังนั้น การที่จำเลยที่ 2 และที่ 3 ออกคำเตือนแก่โจทก์จึงไม่เป็นการโต้แย้งเกี่ยวกับสิทธิหรือหน้าที่ของโจทก์ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 55 ประกอบด้วย พ.ร.บ. จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 31 โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องขอให้เพิกถอนคำเตือนของพนักงานตรวจแรงงาน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5633/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำเตือนพนักงานตรวจแรงงานมีผลเพียงชี้แนะ ไม่ใช่คำสั่ง โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องขอเพิกถอน
คำเตือนของพนักงานตรวจแรงงานที่ออกตามประกาศกระทรวงมหาดไทยเรื่องการคุ้มครองแรงงานข้อ77มีผลเพียงเป็นการชี้แนะของเจ้าหน้าที่เพื่อระงับข้อพิพาทระหว่างนายจ้างลูกจ้างมิใช่คำสั่งหรือคำวินิจฉัยชี้ขาดที่กฎหมายบัญญัติให้โจทก์ต้องปฏิบัติตามถ้าโจทก์เห็นว่าคำเตือนนั้นไม่ถูกต้องจะไม่ปฏิบัติตามก็ได้การที่จำเลยที่2และที่3ในฐานะพนักงานตรวจแรงงานออกคำเตือนแก่โจทก์ย่อมไม่เป็นการโต้แย้งเกี่ยวกับสิทธิหรือหน้าที่ของโจทก์โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องขอให้เพิกถอนคำเตือนนั้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5609/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การโอนที่ดินโดยมิได้เป็นเจ้าของจริง: ตัวแทนบิดา & ไม่มีอำนาจฟ้อง
จำเลยไม่ได้เป็นเจ้าของที่ดินพิพาทเพียงลงชื่อเป็นเจ้าของที่ดินพิพาทแทนบิดาเท่านั้น การที่โจทก์รับโอนที่ดินพิพาทจากจำเลย เป็นการกระทำตามคำสั่งของบิดาที่ต้องการให้โจทก์นำที่ดินพิพาทไปขายนำเงินมาเป็นค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลเนื่องจากบิดาไม่ไว้ใจจำเลย ถือว่าการที่โจทก์มีชื่อเป็นเจ้าของที่ดินพิพาทเป็นเพียงตัวแทนบิดาโจทก์ โจทก์ไม่ใช่เจ้าของที่ดินพิพาทแม้จำเลยจะคัดค้านการขายที่ดินพิพาท โจทก์ก็ไม่ได้รับความเสียหายจึงไม่มีอำนาจฟ้องเรียกค่าเสียหายจากจำเลย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5609/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การโอนที่ดินโดยตัวแทน และการไม่มีอำนาจฟ้องเรียกค่าเสียหายจากการคัดค้านการขาย
จำเลยไม่ได้เป็นเจ้าของที่ดินพิพาทเพียงลงชื่อเป็นเจ้าของที่ดินพิพาทแทนบิดาเท่านั้นการที่โจทก์รับโอนที่ดินพิพาทจากจำเลยเป็นการกระทำตามคำสั่งของบิดาที่ต้องการให้โจทก์นำที่ดินพิพาทไปขายนำเงินมาเป็นค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลเนื่องจากบิดาไม่ไว้ใจจำเลยถือว่าการที่โจทก์มีชื่อเป็นเจ้าของที่ดินพิพาทเป็นเพียงตัวแทนบิดาโจทก์โจทก์ไม่ใช่เจ้าของที่ดินพิพาทแม้จำเลยจะคัดค้านการขายที่ดินพิพาทโจทก์ก็ไม่ได้รับความเสียหายจึงไม่มีอำนาจฟ้องเรียกค่าเสียหายจากจำเลย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5505/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องมูลนิธิ: การจัดการทรัพย์สินเพื่อสร้างศูนย์การค้าไม่ขัดต่อวัตถุประสงค์และกฎหมาย
แม้โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากห้องเช่าของโจทก์โดยต้องการนำที่ดินซึ่งเป็นที่ตั้งห้องเช่าไปสร้างศูนย์การค้าก็ถือว่าเป็นการจัดการทรัพย์สินของมูลนิธิโจทก์ทั้งไม่ปรากฎว่าเป็นการกระทำเพื่อหาผลประโยชน์เพื่อบุคคลหนึ่งบุคคลใดหรือเพื่อหาประโยชน์มาแบ่งปันกันจึงไม่ขัดต่อประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา110หรือกฎหมายหรือความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชนโจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5209/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การชำระหนี้แทนกัน และอำนาจฟ้องตามสัญญา การแปลงหนี้ การผิดนัดชำระหนี้
บันทึกข้อตกลงซึ่งได้ทำขึ้นระหว่างบริษัทล.โดยน.กรรมการบริษัทกับอ.กรรมการคนหนึ่งของโจทก์และจำเลยโดยอ.ลงชื่อเพียงผู้เดียวและไม่ได้ประทับตราสำคัญของโจทก์ตามข้อบังคับแต่บันทึกข้อตกลงดังกล่าวได้ระบุไว้ชัดแจ้งว่าบริษัทล.เป็นหนี้โจทก์จำเลยขอชำระหนี้แทนบริษัทล.ข้อความเช่นนี้แสดงให้เห็นว่าอ.ทำบันทึกข้อตกลงในนามของโจทก์นั่นเองหาได้กระทำเป็นการส่วนตัวไม่เมื่อโจทก์ยอมรับเอาประโยชน์จากบันทึกข้อตกลงดังกล่าวโดยฟ้องจำเลยให้ชำระหนี้ตามข้อตกลงนั้นย่อมถือได้ว่าโจทก์ได้ให้สัตยาบันแก่การกระทำของอ.กรรมการแล้วตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา823วรรคสองโจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง การแปลงหนี้ใหม่ย่อมทำให้หนี้เดิมระงับสิ้นไปตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา349และ350แต่เมื่อโจทก์ยังติดใจเรียกร้องหนี้จากบริษัทล.อยู่ทั้งข้อตกลงตามบันทึกก็ไม่มีข้อความใดๆที่แสดงให้เห็นว่ามูลหนี้เดิมตามบันทึกข้อตกลงดังกล่าวให้เป็นอันระงับสิ้นไปบันทึกข้อตกลงเช่นนี้ยังถือไม่ได้ว่าเป็นการแปลงหนี้ใหม่โดยการเปลี่ยนตัวลูกหนี้จากบริษัทล.มาเป็นจำเลยแต่บันทึกข้อตกลงดังกล่าวมีข้อความว่าจำเลยยอมชำระหนี้แทนบริษัทล.ให้แก่โจทก์และบริษัทล.ซึ่งเป็นลูกหนี้ของโจทก์ตกลงยินยอมด้วยแล้วเช่นนี้กรณีต้องด้วยมาตรา314ดังนั้นเมื่อจำเลยแสดงเจตนาจะชำระหนี้แทนบริษัทล.และบริษัทล.ก็ยินยอมด้วยและโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตกลงยอมรับชำระหนี้ดังกล่าวแล้วจำเลยจึงมีความผูกพันที่จะต้องปฏิบัติตามข้อตกลงดังกล่าวต่อโจทก์ บันทึกข้อตกลงระบุว่าจำเลยขอชำระหนี้แทนบริษัทล.และจะผ่อนชำระให้เสร็จสิ้นภายในกำหนด4เดือนนับแต่วันทำสัญญาเมื่อจำเลยไม่ชำระหนี้ให้โจทก์ตามข้อตกลงดังกล่าวจำเลยจึงตกเป็นผู้ผิดนัดโจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยได้โดยไม่จำต้องบอกกล่าวก่อนปัญหาที่ว่าการบอกกล่าวทวงถามให้จำเลยชำระหนี้ของโจทก์ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่จึงไม่เป็นสาระแก่คดีศาลฎีกาไม่จำต้องวินิจฉัย โจทก์ฟ้องคดีตามบันทึกข้อตกลงมิได้ฟ้องจำเลยตามเช็คกรณีเช่นนี้ไม่มีกฎหมายบัญญัติเรื่องอายุความไว้โดยเฉพาะจึงต้องถืออายุความ10ปีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา164เดิม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5177-5188/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ประทานบัตรหมดอายุ สิทธิครอบครองที่ดินไม่เกิด ผู้ถือประทานบัตรไม่มีอำนาจฟ้องขับไล่
ตามพระราชบัญญัติแร่พ.ศ.2510มาตรา73(3)กำหนดถึงการได้รับประทานบัตรให้ทำเหมืองแร่นั้นไม่ทำให้ผู้นั้นได้สิทธิครอบครองที่ดินที่อยู่ในเขตประทานบัตรด้วยแต่หากมีผู้เข้าไปขัดขวางการทำแร่ในเขตประทานบัตรโดยไม่มีอำนาจโดยชอบแล้วผู้ได้รับประทานบัตรก็ย่อมมีอำนาจฟ้องผู้นั้นได้แต่เมื่อสิ้นอายุประทานบัตรแล้วมิให้ถือว่าเป็นการได้มาซึ่งสิทธิครอบครองผู้ถือประทานบัตรจึงไม่มีอำนาจฟ้องขับไล่ผู้ใดให้ออกจากที่ดินในเขตประทานบัตรได้ โจทก์ยื่นฟ้องจำเลยที่7ถึงที่12หลังจากที่ประทานบัตรสิ้นอายุอันมีผลทำให้โจทก์ไม่มีสิทธิใดๆในที่พิพาทแล้วโจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่7ถึงที่12ส่วนจำเลยที่1ถึงที่6โจทก์ยื่นฟ้องก่อนที่จะสิ้นอายุประทานบัตร3วันแต่เมื่อได้ความว่าในระหว่างพิจารณาประทานบัตรของโจทก์สิ้นอายุแล้วและโจทก์มิได้ดำเนินการขอต่ออายุประทานบัตรหรือขอประทานบัตรใหม่โจทก์จึงไม่มีสิทธิใดๆในที่ดินซึ่งอยู่ในเขตประทานบัตรอีกต่อไปการโต้แย้งสิทธิของโจทก์จึงสิ้นสุดลงโจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องขอให้ขับไล่จำเลยที่1ถึงที่6 พระราชบัญญัติแร่ฯมาตรา72กำหนดว่าแม้ประทานบัตรสิ้นอายุแล้วผู้ถือประทานบัตรก็ต้องมีหน้าที่กลบถมขุมเหมืองหรือทำที่ดินให้เป็นตามสภาพเดิมแต่ถ้าหากประทานบัตรได้กำหนดไว้เป็นประการอื่นนอกจากที่กล่าวมาแล้วหรือทรัพยากรธรณีประจำท้องที่ในเขตประทานบัตรตั้งอยู่ได้มีคำสั่งให้ดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่งแล้วก็ต้องดำเนินการไปตามนั้นเมื่อตามประทานบัตรที่พิพาทมีข้อกำหนดเกี่ยวกับการถมขุมหลุมหรือปล่องที่ไม่ได้ใช้ในการทำเหมืองไว้ว่าให้ปฏิบัติตามคำสั่งของทรัพยากรธรณีประจำท้องที่และไม่ปรากฎตามคำฟ้องว่าทรัพยากรธรณีประจำท้องที่ได้มีคำสั่งให้โจทก์ผู้ถือประทานบัตรดำเนินการเป็นประการใดแล้วโจทก์จึงยังไม่มีหน้าที่ที่จะต้องดำเนินการกลบถมขุมเหมืองแต่อย่างใดทั้งตามคำฟ้องก็ไม่ปรากฎว่าจำเลยทั้งสิบสองได้เข้าทำการขัดขวางโจทก์อันจะถือได้ว่าเป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง โจทก์ยังไม่เคยเข้าไปทำประโยชน์ในที่พิพาทและยังไม่ได้เตรียมการเพื่อเข้าไปทำเหมืองแร่ตามที่ประทานบัตรอนุญาตและกำหนดเงื่อนไขไว้ ทั้งไม่ปรากฎว่ามีคำสั่งจากทรัพยากรธรณีประจำท้องที่ให้โจทก์จัดการถมหรือทำที่ดินซึ่งอยู่ในเขตประทานบัตรให้เป็นตามเดิมความเสียหายของโจทก์จึงยังไม่เกิดขึ้นถือว่าโจทก์ไม่เสียหาย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5177-5188/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิประทานบัตรและการครอบครองที่ดิน: สิทธิสิ้นสุดเมื่อประทานบัตรหมดอายุ ผู้ถือประทานบัตรไม่มีอำนาจฟ้องขับไล่
พระราชบัญญัติแร่พ.ศ.2510มาตรา73(3)มีความหมายว่าการได้รับประทานบัตรให้ทำเหมืองแร่นั้นไม่ทำให้ผู้นั้นได้สิทธิครอบครองที่ดินที่อยู่ในเขตประทานบัตรด้วยแต่หากมีผู้เข้าไปขัดขวางการทำแร่ในเขตประทานบัตรโดยไม่มีอำนาจโดยชอบแล้วผู้ได้รับประทานบัตรก็ย่อมมีอำนาจฟ้องผู้นั้นได้และเมื่อสิ้นอายุประทานบัตรแล้วมิให้ถือว่าเป็นการได้มาซึ่งสิทธิครอบครองผู้ถือประทานบัตรจึงไม่มีอำนาจฟ้องขับไล่ผู้ใดให้ออกจากที่ดินในเขตประทานบัตรได้ โจทก์ยื่นฟ้องจำเลยที่7ถึงที่12หลังจากที่ประทานบัตรสิ้นอายุอันมีผลทำให้โจทก์ไม่มีสิทธิใดๆในที่พิพาทแล้วโจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่7ถึงที่12ส่วนจำเลยที่1ถึงที่6ซึ่งโจทก์ยื่นฟ้องก่อนที่จะสิ้นอายุประทานบัตร3วันในระหว่างพิจารณาประทานบัตรของโจทก์สิ้นอายุแล้วและโจทก์มิได้ดำเนินการขอต่ออายุประทานบัตรหรือขอประทานบัตรใหม่จึงต้องถือว่าโจทก์ไม่มีสิทธิใด ๆในที่ดินพิพาทซึ่งอยู่ในเขตประทานบัตรอีกต่อไปการโต้แย้งสิทธิของโจทก์จึงสิ้นสุดลงโจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องขอให้ขับไล่จำเลยที่1ถึงที่6ได้เช่นกัน พระราชบัญญัติแร่พ.ศ.2510มาตรา72มีความหมายว่าแม้ประทานบัตรสิ้นอายุแล้วผู้ถือประทานบัตรก็ต้องมีหน้าที่กลบถมขุมเหมืองหรือทำที่ดินให้เป็นตามสภาพเดิมแต่ถ้าหากประทานบัตรได้กำหนดไว้เป็นประการอื่นนอกจากที่กล่าวมาแล้วหรือทรัพยากรธรณีประจำท้องที่ในเขตประทานบัตรตั้งอยู่ได้มีคำสั่งให้ดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่งแล้วก็ต้องดำเนินการไปตามนั้นเมื่อตามประทานบัตรที่พิพาทข้อ6ข้อกำหนดเกี่ยวกับการถมขุมหลุมหรือปล่องที่ไม่ได้ใช้ในการทำเหมืองไว้ว่าให้ปฏิบัติตามคำสั่งของทรัพยากรธรณีประจำท้องที่ตามความในมาตรา72และไม่ปรากฏตามคำฟ้องว่าทรัพยากรธรณีประจำท้องที่ได้มีคำสั่งให้โจทก์ผู้ถือประทานบัตรดำเนินการเป็นประการใดแล้วโจทก์จึงยังไม่มีหน้าที่ที่จะต้องดำเนินการกลบถมขุมเหมือง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5134/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องผิดคนและอำนาจฟ้อง: ศาลฎีกายกฟ้องจำเลยที่ 4 เนื่องจากโจทก์ฟ้องผิดบุคคล
ข้อเท็จจริงปรากฏในชั้นฎีกาตามคำร้องของโจทก์ว่าโจทก์ฟ้องจำเลยที่ 4 ผิดคน จำเลยที่ 4 จึงมิใช่ผู้ค้ำประกันที่จะต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ซึ่งเป็นลูกหนี้โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 4 ศาลฎีกายกปัญหาเรื่องอำนาจฟ้องซึ่งเป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชนขึ้นวินิจฉัยให้ยกฟ้องจำเลยที่ 4 แม้คู่ความมิได้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142(5)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5078/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องสัญญากู้-ค้ำประกัน, การตีความดอกเบี้ย, ขอบเขตความรับผิดของผู้ค้ำประกัน, เงินกู้จากกลุ่มสวัสดิการ
จำเลยที่1ได้กู้ยืมเงินไปจากโจทก์โดยมีจำเลยที่2เป็นผู้ค้ำประกันโจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยทั้งสองให้รับผิดตามสัญญากู้และสัญญาค้ำประกันดังกล่าวได้ในฐานะส่วนตัวของโจทก์เองส่วนปัญหาที่ว่าเงินดังกล่าวเป็นเงินของสมาชิกกลุ่มสวัสดิการซึ่งสมาชิกของกลุ่มต่างเป็นเจ้าของร่วมกันนั้นแม้จะรับฟังว่าเป็นความจริงก็เป็นกรณีที่สมาชิกของกลุ่มดังกล่าวจะว่ากล่าวเอาแก่โจทก์เป็นอีกส่วนหนึ่งเมื่อเกิดกรณีพิพาทกันเกี่ยวกับปัญหาดังกล่าว ปัญหาที่จำเลยทั้งสองฎีกาว่าการดำเนินการของกลุ่มสวัสดิการเป็นการฝ่าฝืนต่อพระราชบัญญัติธนาคารพาณิชย์พ.ศ.2505นั้นจำเลยทั้งสองไม่ได้ให้การต่อสู้ไว้และไม่มีประเด็นที่จะต้องนำมาพิจารณาในชั้นนี้เพราะโจทก์ไม่ได้ฟ้องคดีในฐานะเป็นตัวแทนของกลุ่มสวัสดิการแต่โจทก์ฟ้องเรียกเงินกู้ตามสัญญากู้ที่จำเลยที่1กู้ยืมไปจากโจทก์โดยมีจำเลยที่2ค้ำประกันไม่เกี่ยวกับการดำเนินการของกลุ่มแต่อย่างใดศาลฎีกาจึงไม่วินิจฉัยให้ สำหรับจำเลยที่1นั้นปรากฏตามสัญญากู้เอกสารหมายจ.17.2และจ.3ว่าจำเลยที่1กู้ยืมเงินไปจากโจทก์ได้ระบุอัตราดอกเบี้ยไว้จำนวนแน่นอนเฉพาะสัญญากู้เอกสารหมายจ.1เท่านั้นคืออัตราชั่งละ1บาทต่อเดือนหรือร้อยละ15ต่อปีส่วนสัญญากู้ตามเอกสารหมายจ.2และจ.3ระบุเพียงว่ายอมให้ดอกเบี้ยทุกเดือนจนกว่าจะชำระต้นเงินเสร็จไม่ชัดแจ้งแน่นอนว่าเป็นดอกเบี้ยอัตราเท่าใดต้องตีความในทางที่เป็นคุณแก่ผู้กู้ผู้ให้กู้จึงมีสิทธิเรียกเอาดอกเบี้ยได้เพียงอัตราร้อยละ7.5ต่อปีสำหรับเงินกู้ตามเอกสารหมายจ.2และจ.3ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา7เท่านั้น ส่วนจำเลยที่2ได้ทำสัญญาค้ำประกันเงินกู้ของจำเลยที่1เฉพาะตามสัญญากู้เอกสารหมายจ.1และจ.2เท่านั้นส่วนสัญญากู้ตามเอกสารหมายจ.3จำเลยที่2ไม่ได้ทำสัญญาค้ำประกันแต่อย่างใดการที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยที่2รับผิดต่อโจทก์ตามสัญญากู้เอกสารหมายจ.3ด้วยจึงไม่ถูกต้องทั้งปรากฏด้วยว่าสัญญาค้ำประกันตามเอกสารหมายจ.4และจ.5มีข้อความเพียงว่าถ้าจำเลยที่1ไม่ชำระหนี้จำเลยที่2จะเป็นผู้ชำระแทนจำเลยที่2ไม่ได้ยอมรับผิดต่อโจทก์อย่างลูกหนี้ร่วมที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยที่2ร่วมรับผิดกับจำเลยที่1ด้วยจึงไม่ถูกต้องเช่นเดียวกัน