พบผลลัพธ์ทั้งหมด 3,483 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7256/2540 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การอนุญาตอุทธรณ์โดยตรงต่อศาลฎีกาที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมาย
โจทก์ยื่นคำร้องขออุทธรณ์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายโดยตรงต่อศาลฎีกา แต่จำเลยคัดค้านคำร้องขออนุญาตยื่นอุทธรณ์โดยตรงต่อศาลฎีกาของโจทก์ กรณีจึงไม่ต้องด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 223 ทวิ ที่ศาลชั้นต้นจะมีคำสั่งอนุญาตให้ยื่นอุทธรณ์โดยตรงต่อศาลฎีกาได้ การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตให้โจทก์อุทธรณ์โดยตรงต่อศาลฎีกาได้และรับอุทธรณ์โจทก์ส่งไปให้ศาลฎีกาจึงเป็นการขัดต่อบทกฎหมายดังกล่าว ศาลฎีกาไม่อาจจะวินิจฉัยอุทธรณ์ของโจทก์ได้และให้ศาลชั้นต้นสั่งอุทธรณ์ของโจทก์ใหม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 718-723/2540
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความฟ้องคดีเวนคืน: กำหนดเวลาฟ้องหลังรัฐมนตรีไม่วินิจฉัยอุทธรณ์หรือมีคำวินิจฉัย
ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์พ.ศ.2530มาตรา25วรรคสองและมาตรา26วรรคหนึ่งในกรณีที่รัฐมนตรีวินิจฉัยอุทธรณ์เสร็จสิ้นภายในกำหนดหกสิบวันนับแต่วันที่่ได้รับคำอุทธรณ์ผู้อุทธรณ์มีสิทธิฟ้องคดีต่อศาลได้ภายในหนึ่งปีนับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำวินิจฉัยของรัฐมนตรีหรือในกรณีที่รัฐมนตรีมิได้วินิจฉัยอุทธรณ์ให้เสร็จสิ้นภายในกำหนดหกสิบแต่วันที่ได้รับคำอุทธรณ์หรือวินิจฉัยอุทธรณ์เมื่อพ้นกำหนดเวลาดังกล่าวผู้อุทธรณ์มีสิทธิฟ้องคดีต่อศาลได้ภายในหนึ่งปีนับแต่วันทีพ้นกำหนดหกสืบวันนับแต่วันที่ได้รับคำอุทธรณ์ดังนั้นกรณีคดีนี้เมื่อจำเลยที่2ซึ่งเป็นรัฐมนตรีฯมิได้วินิจฉัยอุทธรณ์ของโจทก์ให้เสร็จสิ้นภายในหกสิบวันนับแต่วันที่ได้รับคำอุทธรณ์โจทก์ต้องฟ้องคดีต่อศาลภายในหนึ่งปีนับแต่วันที่พ้นกำหนดหกสิบวันนับแต่วันที่ได้รับคำอุทธรณ์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7127/2540 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแก้ไขเพิ่มเติมอุทธรณ์หลังหมดอายุความและการตีความเจตนาของผู้ฟ้องอุทธรณ์
ตามอุทธรณ์ที่ยื่นต่อศาลชั้นต้น ทนายจำเลยผู้อุทธรณ์ได้ระบุไว้ชัดแจ้งว่าเป็นอุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 และที่ 3 โดยระบุชื่อจำเลยที่ 1 และที่ 3ไว้ด้วย แสดงให้เห็นว่าทนายจำเลยผู้อุทธรณ์ประสงค์อุทธรณ์เฉพาะจำเลยที่ 1และที่ 3 เท่านั้น เมื่อไม่ใช่เป็นกรณีที่พิมพ์ผิดพลาด การที่ทนายจำเลยทั้งห้าได้ยื่นคำร้องขอแก้ไขเพิ่มเติมอุทธรณ์เมื่อล่วงเลยเวลากำหนดอายุอุทธรณ์จากจำเลยที่ 1และที่ 3 อุทธรณ์ เป็นว่าจำเลยทั้งห้าอุทธรณ์ จึงเป็นการเพิ่มเติมตัวผู้อุทธรณ์จากจำเลยที่ 1 และที่ 3 มาเป็นจำเลยทั้งห้า จึงชอบที่ศาลอุทธรณ์จะสั่งยกคำร้องดังกล่าวเสีย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7127/2540 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเพิ่มเติมตัวผู้อุทธรณ์หลังพ้นกำหนดเวลาอุทธรณ์ ศาลมีสิทธิยกคำร้อง
ตามอุทธรณ์ที่ยื่นต่อศาลชั้นต้น ทนายจำเลยผู้อุทธรณ์ได้ระบุไว้ชัดแจ้งว่าเป็นอุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 และที่ 3 โดยระบุชื่อจำเลยที่ 1 และที่ 3 ไว้ด้วย แสดงให้เห็นว่าทนายจำเลยผู้อุทธรณ์ประสงค์อุทธรณ์เฉพาะจำเลยที่ 1 และที่ 3 เท่านั้น เมื่อไม่ใช่เป็นกรณีที่พิมพ์ผิดพลาด การที่ทนายจำเลยทั้งห้าได้ยื่นคำร้องขอแก้ไขเพิ่มเติมอุทธรณ์เมื่อล่วงเลยเวลากำหนดอายุอุทธรณ์จากจำเลยที่ 1 และที่ 3 อุทธรณ์ เป็นว่าจำเลยทั้งห้าอุทธรณ์ จึงเป็นการเพิ่มเติมตัวผู้อุทธรณ์จากจำเลยที่ 1 และที่ 3 มาเป็นจำเลยทั้งห้า จึงชอบที่ศาลอุทธรณ์จะสั่งยกคำร้องดังกล่าวเสีย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7127/2540
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเพิ่มเติมตัวผู้อุทธรณ์หลังพ้นกำหนดอายุความอุทธรณ์ ศาลยกคำร้อง
ตามอุทธรณ์ที่ยื่นต่อศาลชั้นต้น ทนายจำเลยผู้อุทธรณ์ได้ระบุไว้ชัดแจ้งว่าเป็นอุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 และที่ 3 โดยระบุชื่อจำเลยที่ 1 และที่ 3 ไว้ด้วย แสดงให้เห็นว่าทนายจำเลยผู้อุทธรณ์ประสงค์อุทธรณ์เฉพาะจำเลยที่ 1 และที่ 3 เท่านั้น เมื่อไม่ใช่เป็นกรณีที่พิมพ์ผิดพลาด การที่ทนายจำเลยทั้งห้าได้ยื่นคำร้องขอแก้ไขเพิ่มเติมอุทธรณ์เมื่อล่วงเลยเวลากำหนดอายุอุทธรณ์จากจำเลยที่ 1 และที่ 3 อุทธรณ์ เป็นว่าจำเลยทั้งห้าอุทธรณ์ จึงเป็นการเพิ่มเติมตัวผู้อุทธรณ์จากจำเลยที่ 1 และที่ 3 มาเป็นจำเลยทั้งห้า จึงชอบที่ศาลอุทธรณ์จะสั่งยกคำร้องดังกล่าวเสีย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7117/2540
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การอุทธรณ์และการฎีกาที่ขัดต่อข้อจำกัดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา และการบังคับให้จำเลยจ่ายเงินสินบนนำจับที่ไม่ถูกต้อง
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484 มาตรา 29 ทวิ,71 ทวิ ซึ่งมีอัตราโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 10,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลย 6 เดือน และปรับ 5,000 บาทโทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้ 1 ปี จึงต้องห้ามมิให้โจทก์อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 193 ทวิ ที่โจทก์อุทธรณ์ขอให้ลงโทษจำคุกโดยไม่รอการลงโทษนั้นเป็นการอุทธรณ์โต้เถียงดุลพินิจในการลงโทษอันเป็นปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามบทกฎหมายดังกล่าว ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 รับวินิจฉัยอุทธรณ์ของโจทก์จึงเป็นการไม่ชอบ และไม่ก่อให้เกิดสิทธิแก่จำเลยที่จะฎีกาขอให้รอการลงโทษ เพราะแม้ศาลอุทธรณ์ภาค 1 จะรับวินิจฉัยให้ก็ถือไม่ได้ว่าเป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาโดยชอบในศาลอุทธรณ์ภาค 1 ฎีกาจำเลยจึงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่ง ประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
การที่ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยเป็นผู้จ่ายเงินสินบนนำจับกึ่งหนึ่งของค่าปรับเป็นการไม่ชอบด้วยพระราชบัญญัติป่าไม้ฯ มาตรา 74 จัตวา ซึ่งเป็นบทบัญญัติให้จ่ายเงินสินบนนำจับจากค่าปรับหรือจ่ายเงินค่าขายของกลางที่ศาลสั่งริบ หาได้บังคับให้จำเลยต้องจ่ายเงินสินบนนำจับด้วยไม่ ปัญหาดังกล่าวเป็นข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกาศาลฎีกาก็มีอำนาจแก้ไขให้ถูกต้อง
การที่ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยเป็นผู้จ่ายเงินสินบนนำจับกึ่งหนึ่งของค่าปรับเป็นการไม่ชอบด้วยพระราชบัญญัติป่าไม้ฯ มาตรา 74 จัตวา ซึ่งเป็นบทบัญญัติให้จ่ายเงินสินบนนำจับจากค่าปรับหรือจ่ายเงินค่าขายของกลางที่ศาลสั่งริบ หาได้บังคับให้จำเลยต้องจ่ายเงินสินบนนำจับด้วยไม่ ปัญหาดังกล่าวเป็นข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกาศาลฎีกาก็มีอำนาจแก้ไขให้ถูกต้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7061/2540 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเลิกจ้าง, ค่าชดเชย, สิทธิลูกจ้าง, การพิพากษาเกินคำขอ, อุทธรณ์ข้อเท็จจริง
ศาลแรงงานฟังข้อเท็จจริงแล้ววินิจฉัยว่า การที่จำเลยที่ 2ยื่นหนังสือเลิกจ้างให้โจทก์ย่อมเป็นการแสดงเจตนาของจำเลยทั้งสองซึ่งเป็นนายจ้างที่ไม่ประสงค์จะจ้างโจทก์ให้ทำงานต่อไป จึงเป็นการเลิกจ้างและมีผลสมบูรณ์นับแต่ยื่นหนังสือเลิกจ้างดังกล่าว แม้ภายหลังโจทก์รับหนังสือเลิกจ้างแล้วโจทก์ยื่นหนังสือลาออกให้จำเลยที่ 2 ก็มิใช่เป็นการตกลงกันใหม่ให้ถือเป็นการลาออกดังที่จำเลยที่ 1 อ้าง ดังนี้ศาลแรงงานฟังข้อเท็จจริงแล้วว่า จำเลยที่ 1 เลิกจ้างโจทก์ การที่จำเลยที่ 1 อุทธรณ์ว่า ศาลแรงงานปรับข้อกฎหมายคลาดเคลื่อนจึงเป็นอุทธรณ์โต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลแรงงานเป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงต้องห้ามอุทธรณ์ตาม พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522 มาตรา 54 วรรคหนึ่ง
รายได้พิเศษอื่น ๆ ตามที่ระบุไว้ในหนังสือผ่านสิทธิและรับรองเงินเดือนเป็นเงินค่าภาษีเงินได้ซึ่งต้องเสียภาษีเงินได้ต่อกรมสรรพากร จำเลยที่ 1ผู้เป็นนายจ้างจึงออกภาษีเงินได้ให้แก่กรมสรรพากรแทนโจทก์ โดยมิได้หักจากเงินเดือนของโจทก์ ดังนี้ภาษีเงินได้ดังกล่าวเป็นเพียงสวัสดิการ และเมื่อเงินดังกล่าวมิใช่เงินที่จำเลยที่ 1 ผู้เป็นนายจ้างจ่ายให้แก่โจทก์ผู้เป็นลูกจ้างเพื่อตอบแทนการทำงาน จึงมิใช่ค่าจ้างตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่องการคุ้มครองแรงงาน ข้อ 2
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์มีสิทธิได้รับเท่ากับค่าจ้างอัตราสุดท้าย180 วัน หรือ 6 เดือน จำเลยทั้งสองจ่ายให้โจทก์เพียง 3 เดือน ยังคงค้างค่าชดเชยอีก 3 เดือน แต่ศาลแรงงานพิพากษาให้จำเลยที่ 1 จ่ายค่าชดเชยให้โจทก์เท่ากับค่าจ้างอัตราสุดท้าย 180 วัน หรือ 6 เดือน โดยมิได้ยกเหตุใด ๆขึ้นอ้างเพื่อความเป็นธรรมแก่คู่ความ จึงเป็นการพิพากษาเกินคำขอ ย่อมไม่ชอบตาม พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522 มาตรา 52ปัญหาข้อนี้เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้จำเลยที่ 1 มิได้อุทธรณ์ ศาลฎีกาก็มีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยได้ ตาม ป.วิ.พ.มาตรา 142 (5) ประกอบ พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงานพ.ศ.2522 มาตรา 31
รายได้พิเศษอื่น ๆ ตามที่ระบุไว้ในหนังสือผ่านสิทธิและรับรองเงินเดือนเป็นเงินค่าภาษีเงินได้ซึ่งต้องเสียภาษีเงินได้ต่อกรมสรรพากร จำเลยที่ 1ผู้เป็นนายจ้างจึงออกภาษีเงินได้ให้แก่กรมสรรพากรแทนโจทก์ โดยมิได้หักจากเงินเดือนของโจทก์ ดังนี้ภาษีเงินได้ดังกล่าวเป็นเพียงสวัสดิการ และเมื่อเงินดังกล่าวมิใช่เงินที่จำเลยที่ 1 ผู้เป็นนายจ้างจ่ายให้แก่โจทก์ผู้เป็นลูกจ้างเพื่อตอบแทนการทำงาน จึงมิใช่ค่าจ้างตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่องการคุ้มครองแรงงาน ข้อ 2
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์มีสิทธิได้รับเท่ากับค่าจ้างอัตราสุดท้าย180 วัน หรือ 6 เดือน จำเลยทั้งสองจ่ายให้โจทก์เพียง 3 เดือน ยังคงค้างค่าชดเชยอีก 3 เดือน แต่ศาลแรงงานพิพากษาให้จำเลยที่ 1 จ่ายค่าชดเชยให้โจทก์เท่ากับค่าจ้างอัตราสุดท้าย 180 วัน หรือ 6 เดือน โดยมิได้ยกเหตุใด ๆขึ้นอ้างเพื่อความเป็นธรรมแก่คู่ความ จึงเป็นการพิพากษาเกินคำขอ ย่อมไม่ชอบตาม พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522 มาตรา 52ปัญหาข้อนี้เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้จำเลยที่ 1 มิได้อุทธรณ์ ศาลฎีกาก็มีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยได้ ตาม ป.วิ.พ.มาตรา 142 (5) ประกอบ พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงานพ.ศ.2522 มาตรา 31
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6969/2540 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ค่าขึ้นศาลอุทธรณ์: การชำระค่าขึ้นศาลตามทุนทรัพย์ในคดีพิพาทเรื่องทรัพย์สิน
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 2 ร่วมกับจำเลยที่ 1 รับผิดต่อโจทก์เป็นเงิน 1,117,525.10 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 18 ต่อปี ของต้นเงิน 816,020 บาท และดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 416 บาทจำเลยที่ 2 อุทธรณ์ว่า จำเลยที่ 2 รับผิดต่อโจทก์ไม่เกิน 780,000 บาท ขอให้ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับหรือแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้น โดยย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษาใหม่ตามรูปคดีหรือตามที่ศาลอุทธรณ์จะเห็นสมควร ดังนี้เป็นกรณีที่จำเลยที่ 2 อุทธรณ์คัดค้านจำนวนเงินที่จำเลยที่ 2 จะต้องรับผิดร่วมกับจำเลยที่ 1ต่อโจทก์ เป็นการพิพาทกันในเรื่องทรัพย์สิน จึงเป็นคดีที่มีทุนทรัพย์ จำเลยที่ 2 จะต้องเสียค่าขึ้นศาลตามทุนทรัพย์ในชั้นอุทธรณ์ตาม ป.วิ.พ.มาตรา 150 วรรคสอง
จำเลยอุทธรณ์คำพิพากษาศาลชั้นต้น ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้จำเลยนำค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์มาชำระให้ครบถ้วนตามจำนวนทุนทรัพย์ภายในเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนด มิฉะนั้นถือว่าไม่ติดใจอุทธรณ์ จำเลยจึงอุทธรณ์ฎีกาคำสั่งศาลชั้นต้นดังกล่าวต่อมา แต่เนื่องจากระยะเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนดให้จำเลยนำค่าขึ้นศาลที่พิพาทในชั้นอุทธรณ์มาชำระสิ้นสุดแล้ว ศาลฎีกาจึงเห็นสมควรให้จำเลยนำค่าขึ้นศาลตามจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทในชั้นอุทธรณ์มาชำระภายในเวลาที่ศาลชั้นต้นเห็นสมควรกำหนด
จำเลยอุทธรณ์คำพิพากษาศาลชั้นต้น ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้จำเลยนำค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์มาชำระให้ครบถ้วนตามจำนวนทุนทรัพย์ภายในเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนด มิฉะนั้นถือว่าไม่ติดใจอุทธรณ์ จำเลยจึงอุทธรณ์ฎีกาคำสั่งศาลชั้นต้นดังกล่าวต่อมา แต่เนื่องจากระยะเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนดให้จำเลยนำค่าขึ้นศาลที่พิพาทในชั้นอุทธรณ์มาชำระสิ้นสุดแล้ว ศาลฎีกาจึงเห็นสมควรให้จำเลยนำค่าขึ้นศาลตามจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทในชั้นอุทธรณ์มาชำระภายในเวลาที่ศาลชั้นต้นเห็นสมควรกำหนด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6969/2540
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ค่าขึ้นศาลในชั้นอุทธรณ์: คดีพิพาททรัพย์สิน การกำหนดระยะเวลาชำระค่าขึ้นศาล
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 2 ร่วมกับจำเลยที่ 1 รับผิดต่อโจทก์เป็นเงิน1,117,525.10 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 18 ต่อปี ของต้นเงิน 816,020 บาทและดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 416 บาท จำเลยที่ 2 อุทธรณ์ว่าจำเลยที่ 2 รับผิดต่อโจทก์ไม่เกิน 780,000 บาท ขอให้ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับหรือแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้น โดยย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษาใหม่ตามรูปคดีหรือตามที่ศาลอุทธรณ์จะเห็นสมควร ดังนี้เป็นกรณีที่จำเลยที่ 2 อุทธรณ์คัดค้านจำนวนเงินที่จำเลยที่ 2 จะต้องรับผิดร่วมกับจำเลยที่ 1 ต่อโจทก์ เป็นการพิพาทกันในเรื่องทรัพย์สิน จึงเป็นคดีที่มีทุนทรัพย์ จำเลยที่ 2 จะต้องเสียค่าขึ้นศาลตามทุนทรัพย์ในชั้นอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 150 วรรคสอง
จำเลยอุทธรณ์คำพิพากษาศาลชั้นต้น ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้จำเลยนำค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์มาชำระให้ครบถ้วนตามจำนวนทุนทรัพย์ภายในเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนดมิฉะนั้นถือว่าไม่ติดใจอุทธรณ์ จำเลยจึงอุทธรณ์ฎีกาคำสั่งศาลชั้นต้นดังกล่าวต่อมาแต่เนื่องจากระยะเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนดให้จำเลยนำค่าขึ้นศาลที่พิพาทในชั้นอุทธรณ์มาชำระสิ้นสุดแล้ว ศาลฎีกาจึงเห็นสมควรให้จำเลยนำค่าขึ้นศาลตามจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทในชั้นอุทธรณ์มาชำระภายในเวลาที่ศาลชั้นต้นเห็นสมควรกำหนด
จำเลยอุทธรณ์คำพิพากษาศาลชั้นต้น ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้จำเลยนำค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์มาชำระให้ครบถ้วนตามจำนวนทุนทรัพย์ภายในเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนดมิฉะนั้นถือว่าไม่ติดใจอุทธรณ์ จำเลยจึงอุทธรณ์ฎีกาคำสั่งศาลชั้นต้นดังกล่าวต่อมาแต่เนื่องจากระยะเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนดให้จำเลยนำค่าขึ้นศาลที่พิพาทในชั้นอุทธรณ์มาชำระสิ้นสุดแล้ว ศาลฎีกาจึงเห็นสมควรให้จำเลยนำค่าขึ้นศาลตามจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทในชั้นอุทธรณ์มาชำระภายในเวลาที่ศาลชั้นต้นเห็นสมควรกำหนด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6968/2540 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นเรื่องค่าขึ้นศาล จำเลยมีสิทธิอุทธรณ์ได้ทันทีโดยไม่ต้องรอคำสั่งไม่รับอุทธรณ์
จำเลยอุทธรณ์ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้จำเลยนำค่าขึ้นศาลตามจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทในชั้นอุทธรณ์มาชำระ แต่จำเลยไม่ชำระภายในกำหนดแม้ต่อมาจะพ้นระยะเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนดแล้วก็ตาม แต่เมื่อคำสั่งของศาลชั้นต้นดังกล่าว จำเลยยังโต้แย้งอยู่โดยการอุทธรณ์ว่าเป็นคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายซึ่งจำเลยย่อมมีสิทธิอุทธรณ์คำสั่งนั้นได้โดยไม่จำต้องรอให้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์อีกครั้งหนึ่งก่อน ดังนี้ เมื่อยังไม่มีข้อวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์หรือศาลฎีกาเป็นที่สุดประการใด ศาลชั้นต้นก็ยังไม่อาจจะมีคำสั่งรับหรือไม่รับอุทธรณ์ของจำเลยได้