พบผลลัพธ์ทั้งหมด 3,111 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5660/2533 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องคดีอาญาจากการเลือกตั้ง: การคุ้มครองประโยชน์สาธารณะ vs. ผู้เสียหายเฉพาะ
บทบัญญัติมาตรา 35 แห่งพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2522 เป็นบทบัญญัติที่บัญญัติขึ้นเพื่อคุ้มครองประโยชน์ของประชาชนที่อาจได้รับความเสียหาจากการถูกจูงใจให้ลงคะแนนเลือกตั้งแก่ผู้ที่จูงใจหรือผู้อื่นโดยไม่สมัครใจ เป็นการคุ้มครองประโยชน์ของประชาชนเป็นส่วนรวมไม่ได้คุ้มครองบุคคลหนึ่งบุคคลใดโดยเฉพาะ ดังนั้น ถึงแม้จะฟังข้อเท็จจริงได้ว่าจำเลยกระทำความผิดต่อบทกฎหมายดังกล่าวก็ถือว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิดต่อรัฐ ไม่ใช่กระทำความผิดต่อโจทก์แม้โจทก์จะเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรด้วยผู้หนึ่ง โจทก์ก็ไม่ใช่ผู้เสียหาย ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยในข้อหาฐานนี้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5622/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความเกี่ยวเนื่องคดีแพ่ง-อาญา: ศาลไม่ต้องผูกพันตามข้อเท็จจริงคดีอาญา แต่ต้องใช้เมื่อพิพากษาคดีแพ่ง
ฟ้องโจทก์คดีนี้เป็นคดีแพ่งและคดีอาญาเกี่ยวเนื่องกัน ในการวินิจฉัยคดีส่วนอาญาด้วยกันนั้น หาได้มีบทกฎหมายใดบังคับว่า ในการพิจารณาคดีหลังที่กล่าวหากันด้วยข้อเท็จจริงเกี่ยวกับคดีก่อน ศาลจะต้องถือเอาข้อเท็จจริงที่ได้วินิจฉัยชี้ขาดไว้แล้วในคดีก่อนไม่ดังนั้น ในการวินิจฉัยคดีส่วนอาญา ศาลจึงฟังข้อเท็จจริงจากพยานหลักฐานที่ปรากฏในสำนวนได้ หาจำต้องไปฟังข้อเท็จจริงจากคดีก่อนไม่ ส่วนในการวินิจฉัยคดีส่วนแพ่งนั้น หากเป็นการฟ้องคดีแพ่งและคดีอาญาเกี่ยวเนื่องกันมาศาลจำต้องถือเอาข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญา
ในคดีส่วนแพ่ง แม้ศาลอุทธรณ์จะมิได้วินิจฉัยคดีและพิพากษาให้แก่โจทก์ การที่จะส่งสำนวนคืนให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาพิพากษาคดีส่วนแพ่งเสียใหม่หาได้เกิดผลดีแก่คดีโจทก์ไม่ ศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยไปเลยโดยไม่ต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์พิพากษาใหม่.
ในคดีส่วนแพ่ง แม้ศาลอุทธรณ์จะมิได้วินิจฉัยคดีและพิพากษาให้แก่โจทก์ การที่จะส่งสำนวนคืนให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาพิพากษาคดีส่วนแพ่งเสียใหม่หาได้เกิดผลดีแก่คดีโจทก์ไม่ ศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยไปเลยโดยไม่ต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์พิพากษาใหม่.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5622/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คดีแพ่ง-อาญาเกี่ยวเนื่องกัน ศาลฎีกาชี้ว่าคดีอาญาฟังข้อเท็จจริงจากสำนวนได้ ส่วนคดีแพ่งต้องใช้ข้อเท็จจริงจากคำพิพากษาคดีอาญา
ฟ้องโจทก์คดีนี้เป็นคดีแพ่งและคดีอาญาเกี่ยวเนื่องกัน ในการวินิจฉัยคดีส่วนอาญาด้วยกันนั้น หาได้มีบทกฎหมายใดบังคับว่า ในการพิจารณาคดีหลังที่กล่าวหากันด้วยข้อเท็จจริงเกี่ยวกับคดีก่อน ศาลจะต้องถือเอาข้อเท็จจริงที่ได้วินิจฉัยชี้ขาดไว้แล้วในคดีก่อนไม่ดังนั้น ในการวินิจฉัยคดีส่วนอาญา ศาลจึงฟังข้อเท็จจริงจากพยานหลักฐานที่ปรากฏในสำนวนได้ หาจำต้องไปฟังข้อเท็จจริงจากคดีก่อนไม่ ส่วนในการวินิจฉัยคดีส่วนแพ่งนั้น หากเป็นการฟ้องคดีแพ่งและคดีอาญาเกี่ยวเนื่องกันมาศาลจำต้องถือเอาข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญา ในคดีส่วนแพ่ง แม้ศาลอุทธรณ์จะมิได้วินิจฉัยคดีและพิพากษาให้แก่โจทก์ การที่จะส่งสำนวนคืนให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาพิพากษาคดีส่วนแพ่งเสียใหม่หาได้เกิดผลดีแก่คดีโจทก์ไม่ ศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยไปเลยโดยไม่ต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์พิพากษาใหม่.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5018-5019/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา: ศาลแพ่งใช้ดุลพินิจตามผลคดีอาญาที่ยังไม่ชี้ขาดตัวผู้กระทำละเมิด
ศาลทหารกรุงเทพวินิจฉัยคดีส่วนอาญาที่จำเลยถูกฟ้องว่าพยานหลักฐานของโจทก์เท่าที่นำสืบมานั้นทำให้เกิดความสงสัยว่าจำเลยเป็นคนขับรถยนต์โดยสารคันเกิดเหตุหรือไม่ เห็นควรยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้แก่จำเลย จึงพิพากษายกฟ้องโดยไม่ได้ชี้ขาดว่าจำเลยเป็นคนขับรถยนต์โดยสารคันเกิดเหตุหรือไม่ ถ้าหากฟังได้ว่าจำเลยเป็นคนขับ ก็จะต้องชี้ขาดอีกด้วยว่าจำเลยได้กระทำโดยประมาทหรือไม่ เมื่อโจทก์ซึ่งเป็นผู้เสียหายฟ้องทางแพ่งเรียกค่าเสียหายฐานละเมิดจากจำเลย จึงมีสิทธินำพยานหลักฐานเข้าสืบให้ฟังได้ว่าจำเลยเป็นคนขับรถยนต์โดยสารคันเกิดเหตุได้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4891/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิจารณาโทษจำเลยในคดีอาญา โดยคำนึงถึงการล้างมลทิน และพฤติการณ์แห่งการกระทำความผิด
จำเลยกระทำผิดและเคยต้องโทษ ก่อนวันที่ 5 ธันวาคม 2530 และพ้นโทษไปก่อนแล้ว จำเลยย่อมได้รับประโยชน์จาก พ.ร.บ.ล้างมลทินในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทรงมีพระชนมพรรษา 60 พรรษา พ.ศ. 2530 มาตรา 4 ถือว่าจำเลยไม่เคยถูกลงโทษในความผิดดังกล่าวจึงเพิ่มโทษจำเลยไม่ได้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4824/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การสั่งไม่ประทับฟ้องและการยกฟ้องในคดีอาญา มาตรา 220 เป็นเหตุต้องห้ามฎีกา
ศาลชั้นต้นตรวจคำฟ้องของโจทก์แล้วสั่งไม่ประทับฟ้อง ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนผลเท่ากับศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์โจทก์ฎีกาไม่ได้ทั้งในปัญหาข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย เพราะต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4766/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การอุทธรณ์คดีอาญาและข้อจำกัดในการฎีกาเมื่อศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษาตรงกัน รวมถึงข้อยกเว้นเรื่องอัตราโทษ
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ยกฟ้องในข้อหาความผิดตาม ป.อ. มาตรา 177 และมาตรา 180 ข้อหาดังกล่าวจึงต้องห้ามฎีกาตาม ป.วิ.อ. มาตรา 220 แม้ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องความผิดฐานนำสืบหรือแสดงพยานหลักฐานเท็จตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 180 ซึ่งมีอัตราโทษจำคุกไม่เกินสามปี ปรับไม่เกินหกพันบาท อันจะต้องห้ามอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 193 ทวิ ก็ตาม แต่ความผิดดังกล่าวเป็นกรรมเดียวกันกับความผิดฐานเบิกความเท็จตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 177 ซึ่งมีอัตราโทษอันเป็นบทหนัก จำคุกไม่เกินห้าปีหรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ซึ่งไม่ต้องห้ามอุทธรณ์ ดังนั้นความผิดฐานนำสืบหรือแสดงพยานหลักฐานเท็จจึงไม่ต้องห้ามอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4700/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาต้องห้าม: การแก้ไขโทษเล็กน้อยในคดีอาญา ไม่รับพิจารณาข้อเท็จจริง
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษฐานทำร้ายร่างกาย จำคุกจำเลยที่ 1 ะที่ 3 ที่ 6 และที่ 7 คนละ 1 ปี ฐานลักทรัพย์จำคุกจำเลยที่ 1 ที่ 6 และที่ 7 คนละ 3 ปี ส่วนจำเลยที่ 3 เพิ่มโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 93(13) กึ่งหนึ่ง จำคุก 4 ปี 6 เดือน ฐานทำให้เสียทรัพย์จำคุกจำเลยที่ 1 ที่ 3 ที่ 6 และที่ 7 คนละ 6 เดือน ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เฉพาะจำเลยที่ 3 ให้เพิ่มโทษฐานทำร้ายร่างกายหนึ่งในสาม ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 92 เป็น จำคุกจำเลยที่ 3 มีกำหนด 1 ปี 4 เดือน และเพิ่มโทษฐานทำให้เสียทรัพย์กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 93(13) เป็นจำคุกจำเลยที่ 3 มีกำหนด 9 เดือน มีผลเท่ากับว่าเฉพาะจำเลยที่ 1 ที่ 6 และที่ 7 ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ส่วนจำเลยที่ 3 ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ไขเกี่ยวกับโทษ เป็นการแก้ไขเล็กน้อยและโทษจำคุกจำเลยที่ 1 ที่ 3 ที่ 6 และที่ 7 แต่ละฐานไม่เกิน 5 ปี คดีจึงต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคแรก
จำเลยที่ 1 ที่ 3 ที่ 6 และที่ 7 ฎีกาว่า ข้อเท็จจริงในคดีหากฟังตามฎีกาจำเลย การกระทำผิดฐานทำร้ายร่างกายกับทำให้เสียทรัพย์เป็นการกระทำกรรมเดียวกัน ทั้งจำเลยไม่เห็นด้วยกับการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์และไม่เห็นด้วยกับการเพิ่มโทษจำเลยที่ 3 โดยอ้างพฤติการณ์แห่งคดี เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงทั้งสิ้น ต้องห้ามตามบทกฎหมายข้างต้น ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
จำเลยที่ 1 ที่ 3 ที่ 6 และที่ 7 ฎีกาว่า ข้อเท็จจริงในคดีหากฟังตามฎีกาจำเลย การกระทำผิดฐานทำร้ายร่างกายกับทำให้เสียทรัพย์เป็นการกระทำกรรมเดียวกัน ทั้งจำเลยไม่เห็นด้วยกับการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์และไม่เห็นด้วยกับการเพิ่มโทษจำเลยที่ 3 โดยอ้างพฤติการณ์แห่งคดี เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงทั้งสิ้น ต้องห้ามตามบทกฎหมายข้างต้น ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4209/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ประเด็นข้อเท็จจริงที่วินิจฉัยในคดีอาญาผูกพันคดีแพ่ง หลักการ estoppel โดยปริยาย
คดีนี้โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทำสัญญาเช่าซื้อแหวนเพชรกับสร้อยคอทองคำจากโจทก์แล้วผิดสัญญาไม่ชำระค่าเช่าซื้อ และได้จำหน่ายทรัพย์ดังกล่าวให้บุคคลอื่น จึงขอให้จำเลยใช้ราคาทรัพย์ที่เช่าซื้อ แต่โจทก์เคยฟ้องจำเลยเป็นคดีอาญาข้อหายักยอกทรัพย์ดังกล่าว ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องคดีถึงที่สุด โดยได้วินิจฉัยพยานหลักฐานของโจทก์ตลอดจนข้อเท็จจริงและพฤติการณ์แห่งคดีแล้วว่าฟังไม่ได้ว่าจำเลยทำสัญญาเช่าซื้อแหวนเพชรกับสร้อยคอทองคำจากโจทก์ แม้ศาลชั้นต้นจะใช้คำว่าพยานโจทก์ยังมีเหตุสงสัยว่าจำเลยอาจจะไม่ได้ทำสัญญาเช่าซื้อตามฟ้อง ก็หาใช่เหตุสงสัยดังถ้อยคำที่ปรากฏไม่ ถือได้ว่าศาลได้วินิจฉัยข้อเท็จจริงในประเด็นที่ว่า จำเลยได้ทำสัญญาเช่าซื้อตามฟ้องหรือไม่ไว้แล้ว ทั้งเป็นประเด็นเดียวกับประเด็นในคดีนี้ที่ได้กำหนดไว้ในชั้นชี้สองสถาน และคดีนี้ซึ่งคู่ความนำสืบทำนองเดียวกับที่สืบในคดีอาญาดังกล่าว ก็ฟังไม่ได้ว่าจำเลยได้ทำสัญญาเช่าซื้อทรัพย์ตามฟ้อง จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 417/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อเท็จจริงจากคดีอาญาไม่ผูกพันคดีแพ่ง หากโจทก์ไม่ใช่คู่ความ/ผู้เสียหายในคดีอาญา
การที่จะถือ เอาข้อเท็จจริงในคำพิพากษาคดีส่วนอาญามาพิพากษาในคดีส่วนแพ่งได้ นั้น จะต้อง เป็นคดีที่มีมูลกรณีเดียว กันและเป็นคู่ความเดียว กัน ซึ่ง ในคดีอาญาที่พนักงานอัยการเป็นโจทก์คู่ความในคดีส่วนแพ่งก็จะต้อง เป็นผู้เสียหายในคดีนั้นด้วย จำเลยที่ 1 เคยถูก พนักงานอัยการฟ้องเป็นคดีอาญาในความผิดขับรถยนต์ โดย ประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้ รับอันตรายสาหัสทรัพย์สินผู้อื่นเสียหาย และไม่หยุดรถขณะมีสัญญาณไฟแดง ตาม ป.อ. มาตรา 300390 พ.ร.บ. จราจรทางบกฯ มาตรา 2243152157ศาลแขวงธนบุรี พิพากษา ยกฟ้อง คดีถึงที่สุดคดีสำหรับความผิดต่อ พ.ร.บ.จราจรทางบกฯ รัฐเท่านั้นเป็นผู้เสียหาย โจทก์ไม่ใช่ผู้เสียหายตาม กฎหมาย ส่วนข้อหาขับรถโดย ประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้ รับอันตรายแก่กาย ตาม ป.อ. มาตรา 300390 โจทก์ไม่ใช่ผู้ได้รับบาดเจ็บก็ไม่ใช่ผู้เสียหายเมื่อโจทก์ไม่ได้เป็นผู้เสียหายหรือคู่ความในคดีอาญา ข้อเท็จจริงที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญาจึงไม่ผูกพันโจทก์ในคดีแพ่ง ดังนี้ ในการพิพากษา คดีส่วนแพ่งศาลไม่จำต้องถือ ข้อเท็จจริงตาม ที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญา.