พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,459 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 922/2512 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องละเมิดรุกล้ำที่ดินกับฟ้องซ้ำ: คดีเดิมพิพาทเรื่องทำเขื่อน คดีใหม่พิพาทเรื่องรั้ว
คดีหมายเลขแดงที่ 212/2504 พิพาทกันเรื่องละเมิด ขอให้ทำเขื่อนกั้นที่ดิน คดีเสร็จเด็ดขาดกันไปแล้ว คดีนี้ โจทก์กล่าวหาว่าจำเลยทำรั้วเขตที่รุกล้ำเข้ามาในที่ของโจทก์ เป็นคนละเรื่อง จึงไม่เป็นฟ้องซ้ำ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 922/2512
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องรุกล้ำที่ดินไม่ใช่ฟ้องซ้ำ หากเป็นคนละเรื่องกับคดีเดิมที่พิพาทเรื่องละเมิดและทำเขื่อน
คดีหมายเลขแดงที่ 212/2504 พิพาทกันเรื่องละเมิด ขอให้ทำเขื่อนกั้นที่ดิน คดีเสร็จเด็ดขาดกันไปแล้ว. คดีนี้ โจทก์กล่าวหาว่าจำเลยทำรั้วเขตที่รุกล้ำเข้ามาในที่ของโจทก์ เป็นคนละเรื่อง จึงไม่เป็นฟ้องซ้ำ.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 82/2512 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องซ้ำ-บังคับคดีตามยอม: ศาลยกฟ้องกรณีฟ้องเรียกค่าเสียหายซ้ำกับคดีเดิมที่ศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้ว
ตามฟ้องโจทก์กล่าวหาว่าจำเลยบุกรุกเข้าไปขุดดินทำไร่ไถนาในที่ดินของโจทก์ภายในเขตเสาหินที่เจ้าพนักงานปักไว้ ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย จำเลยให้การต่อสู้ว่าจำเลยไม่รู้แนวเขตที่ของโจทก์จำเลยแน่ชัด จำเลยเข้าใจว่าเป็นเขตที่ดินของตนเอง ไม่มีเจตนาบุกรุกที่ดินโจทก์ ดังนี้ จำเลยจะมายกข้อต่อสู้ในชั้นฎีกาว่าโจทก์ไม่มีสิทธิเรียกค่าเสียหาย เพราะโจทก์ยังไม่ได้เข้าครอบครองที่ดินส่วนของโจทก์ เนื่องจากยังมิได้มีการทำสัญญาแบ่งแยกนั้นหาได้ไม่ เพราะเป็นข้อที่มิได้กล่าวอ้างมาแล้วในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ และทั้งมิใช่ปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยแต่อย่างใด
โจทก์เคยเป็นความกับจำเลยมาก่อนในคดีแดงที่ 211/2505 ของศาลจังหวัดนครปฐม ซึ่งผลที่สุดได้ตกลงทำสัญญายอมความแบ่งที่พิพาทกัน และศาลได้พิพากษาตามสัญญายอมอันถึงที่สุดแล้วเช่นนี้ เมื่อปรากฏว่าจำเลยขัดขืนไม่ยอมไปทำสัญญาแบ่งแยกที่ดินซึ่งเจ้าพนักงานที่ดินได้ไปดำเนินการรังวัดแบ่งแยกต่อสำนักงานทะเบียนที่ดิน ก็ชอบที่โจทก์จะดำเนินการบังคับคดีให้มีการปฏิบัติตามข้อตกลงในคดีเดิมนั้นเอง การที่โจทก์มาฟ้องจำเลยให้ไปทำสัญญาแบ่งแยกที่ดินอันเป็นประเด็นเกี่ยวกับกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทรายเดียวกันนี้อีก จึงเป็นฟ้องซ้ำกับคดีเดิมดังกล่าวตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148
โจทก์เคยเป็นความกับจำเลยมาก่อนในคดีแดงที่ 211/2505 ของศาลจังหวัดนครปฐม ซึ่งผลที่สุดได้ตกลงทำสัญญายอมความแบ่งที่พิพาทกัน และศาลได้พิพากษาตามสัญญายอมอันถึงที่สุดแล้วเช่นนี้ เมื่อปรากฏว่าจำเลยขัดขืนไม่ยอมไปทำสัญญาแบ่งแยกที่ดินซึ่งเจ้าพนักงานที่ดินได้ไปดำเนินการรังวัดแบ่งแยกต่อสำนักงานทะเบียนที่ดิน ก็ชอบที่โจทก์จะดำเนินการบังคับคดีให้มีการปฏิบัติตามข้อตกลงในคดีเดิมนั้นเอง การที่โจทก์มาฟ้องจำเลยให้ไปทำสัญญาแบ่งแยกที่ดินอันเป็นประเด็นเกี่ยวกับกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทรายเดียวกันนี้อีก จึงเป็นฟ้องซ้ำกับคดีเดิมดังกล่าวตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 82/2512 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องซ้ำและบังคับตามคำพิพากษาตามยอม การฟ้องร้องประเด็นกรรมสิทธิ์ที่ดินซ้ำกับคดีเดิมที่ศาลตัดสินแล้วเป็นฟ้องซ้ำ
ตามฟ้องโจทก์กล่าวหาว่าจำเลยบุกรุกเข้าไปขุดดินทำไร่ไถนาในที่ดินของโจทก์ภายในเขตเสาหินที่เจ้าพนักงานปักไว้ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย จำเลยให้การต่อสู้ว่าจำเลยไม่รู้แนวเขตที่ของโจทก์จำเลยแน่ชัด จำเลยเข้าใจว่าเป็นเขตที่ดินของตนเอง ไม่มีเจตนาบุกรุกที่ดินโจทก์ดังนี้ จำเลยจะมายกข้อต่อสู้ในชั้นฎีกาว่าโจทก์ไม่มีสิทธิเรียกค่าเสียหายเพราะโจทก์ยังไม่ได้เข้าครอบครองที่ดินส่วนของโจทก์เนื่องจากยังมิได้มีการทำสัญญาแบ่งแยกนั้นหาได้ไม่เพราะเป็นข้อที่มิได้กล่าวอ้างมาแล้วในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ และทั้งมิใช่ปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยแต่อย่างใด
โจทก์เคยเป็นความกับจำเลยมาก่อนในคดีแดงที่ 211/2505 ของศาลจังหวัดนครปฐม ซึ่งผลที่สุดได้ตกลงทำสัญญายอมความแบ่งที่พิพาทกันและศาลได้พิพากษาตามสัญญายอมอันถึงที่สุดแล้วเช่นนี้เมื่อปรากฏว่าจำเลยขัดขืนไม่ยอมไปทำสัญญาแบ่งแยกที่ดินซึ่งเจ้าพนักงานที่ดินได้ไปดำเนินการรังวัดแบ่งแยกต่อสำนักงานทะเบียนที่ดินก็ชอบที่โจทก์จะดำเนินการบังคับคดีให้มีการปฏิบัติตามข้อตกลงในคดีเดิมนั้นเองการที่โจทก์มาฟ้องจำเลยให้ไปทำสัญญาแบ่งแยกที่ดินอันเป็นประเด็นเกี่ยวกับกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทรายเดียวกันนี้อีก จึงเป็นฟ้องซ้ำกับคดีเดิมดังกล่าวตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148
โจทก์เคยเป็นความกับจำเลยมาก่อนในคดีแดงที่ 211/2505 ของศาลจังหวัดนครปฐม ซึ่งผลที่สุดได้ตกลงทำสัญญายอมความแบ่งที่พิพาทกันและศาลได้พิพากษาตามสัญญายอมอันถึงที่สุดแล้วเช่นนี้เมื่อปรากฏว่าจำเลยขัดขืนไม่ยอมไปทำสัญญาแบ่งแยกที่ดินซึ่งเจ้าพนักงานที่ดินได้ไปดำเนินการรังวัดแบ่งแยกต่อสำนักงานทะเบียนที่ดินก็ชอบที่โจทก์จะดำเนินการบังคับคดีให้มีการปฏิบัติตามข้อตกลงในคดีเดิมนั้นเองการที่โจทก์มาฟ้องจำเลยให้ไปทำสัญญาแบ่งแยกที่ดินอันเป็นประเด็นเกี่ยวกับกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทรายเดียวกันนี้อีก จึงเป็นฟ้องซ้ำกับคดีเดิมดังกล่าวตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 82/2512
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องซ้ำและผลของสัญญายอมความ: ศาลยกฟ้องในส่วนที่เกี่ยวข้องกับสัญญาเดิม แต่เปิดทางบังคับคดี
ตามฟ้องโจทก์กล่าวหาว่าจำเลยบุกรุกเข้าไปขุดดินทำไร่ไถนาในที่ดินของโจทก์ภายในเขตเสาหินที่เจ้าพนักงานปักไว้. ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย. จำเลยให้การต่อสู้ว่าจำเลยไม่รู้แนวเขตที่ของโจทก์จำเลยแน่ชัด. จำเลยเข้าใจว่าเป็นเขตที่ดินของตนเอง ไม่มีเจตนาบุกรุกที่ดินโจทก์.ดังนี้ จำเลยจะมายกข้อต่อสู้ในชั้นฎีกาว่าโจทก์ไม่มีสิทธิเรียกค่าเสียหาย. เพราะโจทก์ยังไม่ได้เข้าครอบครองที่ดินส่วนของโจทก์. เนื่องจากยังมิได้มีการทำสัญญาแบ่งแยกนั้นหาได้ไม่. เพราะเป็นข้อที่มิได้กล่าวอ้างมาแล้วในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์. และทั้งมิใช่ปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยแต่อย่างใด.
โจทก์เคยเป็นความกับจำเลยมาก่อนในคดีแดงที่ 211/2505ของศาลจังหวัดนครปฐม. ซึ่งผลที่สุดได้ตกลงทำสัญญายอมความแบ่งที่พิพาทกัน. และศาลได้พิพากษาตามสัญญายอมอันถึงที่สุดแล้วเช่นนี้. เมื่อปรากฏว่าจำเลยขัดขืนไม่ยอมไปทำสัญญาแบ่งแยกที่ดินซึ่งเจ้าพนักงานที่ดินได้ไปดำเนินการรังวัดแบ่งแยกต่อสำนักงานทะเบียนที่ดิน. ก็ชอบที่โจทก์จะดำเนินการบังคับคดีให้มีการปฏิบัติตามข้อตกลงในคดีเดิมนั้นเอง. การที่โจทก์มาฟ้องจำเลยให้ไปทำสัญญาแบ่งแยกที่ดินอันเป็นประเด็นเกี่ยวกับกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทรายเดียวกันนี้อีก. จึงเป็นฟ้องซ้ำกับคดีเดิมดังกล่าวตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148.
โจทก์เคยเป็นความกับจำเลยมาก่อนในคดีแดงที่ 211/2505ของศาลจังหวัดนครปฐม. ซึ่งผลที่สุดได้ตกลงทำสัญญายอมความแบ่งที่พิพาทกัน. และศาลได้พิพากษาตามสัญญายอมอันถึงที่สุดแล้วเช่นนี้. เมื่อปรากฏว่าจำเลยขัดขืนไม่ยอมไปทำสัญญาแบ่งแยกที่ดินซึ่งเจ้าพนักงานที่ดินได้ไปดำเนินการรังวัดแบ่งแยกต่อสำนักงานทะเบียนที่ดิน. ก็ชอบที่โจทก์จะดำเนินการบังคับคดีให้มีการปฏิบัติตามข้อตกลงในคดีเดิมนั้นเอง. การที่โจทก์มาฟ้องจำเลยให้ไปทำสัญญาแบ่งแยกที่ดินอันเป็นประเด็นเกี่ยวกับกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทรายเดียวกันนี้อีก. จึงเป็นฟ้องซ้ำกับคดีเดิมดังกล่าวตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 688/2512 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องซ้ำ-อายุความลาภมิควรได้: สิทธิเกิดเมื่อคดีถึงที่สุด, นับอายุความจากวันที่ทราบผล
คดีก่อน จำเลยฟ้อง ม. ให้ชำระหนี้เงินกู้ ซึ่ง ม. ได้กู้จากจำเลยไปแทนโจทก์ ซึ่งศาลได้พิพากษาถึงที่สุดให้ ม. แพ้คดี โดยเหตุที่ไม่สามารถพิสูจน์หลักฐานการชำระเงินได้ แต่คดีนี้โจทก์ฟ้องจำเลยเรียกเงินที่จำเลยได้หักเงินรายได้โรงเรียนของโจทก์ตามหนี้เงินกู้รายเดียวกันนี้ไว้คืนฐานลาภมิควรได้ โดยเหตุที่จำเลยกลับนำสัญญากู้รายเดียวกันนี้ไปฟ้อง ม. จนศาลพิพากษาถึงที่สุดให้ชำระหนี้เงินกู้รายเดียวกันนี้แก่จำเลย ดังนี้ ประเด็นในคดีนี้จึงเป็นคนละประเด็นกับคดีก่อน ไม่เป็นฟ้องซ้ำ
โจทก์จำเลยตกลงกู้ยืมเงินกัน โดยโจทก์ให้ ม. ทำสัญญากู้ไว้แทนโจทก์ โดยมีข้อตกลงให้จำเลยหักเงินรายได้โรงเรียนของโจทก์ชำระหนี้เงินกู้นี้ แต่จำเลยได้นำสัญญากู้รายเดียวกันนี้ไปฟ้อง ม. จนศาลพิพากษาถึงที่สุดให้ ม. ชำระหนี้เงินกู้แก่จำเลย โจทก์จึงฟ้องเรียกเงินของโจทก์ที่จำเลยได้หักชำระหนี้รายเดียวกันนี้คืนฐานลาภมิควรได้ ดังนี้ ต้องถือว่าสิทธิของโจทก์ที่ฟ้องเรียกลาภมิควรได้นี้เกิดขึ้นต่อเมื่อคดีที่จำเลยฟ้อง ม. ถึงที่สุดเสียก่อน และก่อนคดีดังกล่าวถึงที่สุด จะถือว่าโจทก์ได้รู้ถึงสิทธิที่จะเรียกเงินคืนตามมูลฐานดังกล่าวมิได้ เมื่อนับจากวันที่โจทก์ได้ทราบเรื่องซึ่งเป็นเวลาภายหลังได้อ่านคำพิพากษาศาลฎีกาคดีดังกล่าวมาจนถึงวันที่โจทก์ฟ้อง ยังอยู่ภายในระยะเวลา 1 ปี คดีโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ
โจทก์จำเลยตกลงกู้ยืมเงินกัน โดยโจทก์ให้ ม. ทำสัญญากู้ไว้แทนโจทก์ โดยมีข้อตกลงให้จำเลยหักเงินรายได้โรงเรียนของโจทก์ชำระหนี้เงินกู้นี้ แต่จำเลยได้นำสัญญากู้รายเดียวกันนี้ไปฟ้อง ม. จนศาลพิพากษาถึงที่สุดให้ ม. ชำระหนี้เงินกู้แก่จำเลย โจทก์จึงฟ้องเรียกเงินของโจทก์ที่จำเลยได้หักชำระหนี้รายเดียวกันนี้คืนฐานลาภมิควรได้ ดังนี้ ต้องถือว่าสิทธิของโจทก์ที่ฟ้องเรียกลาภมิควรได้นี้เกิดขึ้นต่อเมื่อคดีที่จำเลยฟ้อง ม. ถึงที่สุดเสียก่อน และก่อนคดีดังกล่าวถึงที่สุด จะถือว่าโจทก์ได้รู้ถึงสิทธิที่จะเรียกเงินคืนตามมูลฐานดังกล่าวมิได้ เมื่อนับจากวันที่โจทก์ได้ทราบเรื่องซึ่งเป็นเวลาภายหลังได้อ่านคำพิพากษาศาลฎีกาคดีดังกล่าวมาจนถึงวันที่โจทก์ฟ้อง ยังอยู่ภายในระยะเวลา 1 ปี คดีโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 688/2512 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องซ้ำ-อายุความ: สิทธิเรียกคืนเงินจากการชำระหนี้ซ้ำจากการฟ้องเรียกหนี้ซ้อน
คดีก่อน จำเลยฟ้อง ม. ให้ชำระหนี้เงินกู้ ซึ่ง ม. ได้กู้จากจำเลยไปแทนโจทก์ซึ่งศาลได้พิพากษาถึงที่สุดให้ ม. แพ้คดีโดยเหตุที่ไม่สามารถพิสูจน์หลักฐานการชำระเงินได้แต่คดีนี้โจทก์ฟ้องจำเลยเรียกเงินที่จำเลยได้หักเงินรายได้โรงเรียนของโจทก์ตามหนี้เงินกู้รายเดียวกันนี้ไว้คืนฐานลาภมิควรได้โดยเหตุที่จำเลยกลับนำสัญญากู้รายเดียวกันนี้ไปฟ้อง ม. จนศาลพิพากษาถึงที่สุดให้ชำระหนี้เงินกู้รายเดียวกันนี้แก่จำเลย ดังนี้ประเด็นในคดีนี้จึงเป็นคนละประเด็นกับคดีก่อน ไม่เป็นฟ้องซ้ำ
โจทก์จำเลยตกลงกู้ยืมเงินกันโดยโจทก์ให้ ม. ทำสัญญากู้ไว้แทนโจทก์ โดยมีข้อตกลงให้จำเลยหักเงินรายได้โรงเรียนของโจทก์ชำระหนี้เงินกู้นี้แต่จำเลยได้นำสัญญากู้รายเดียวกันนี้ไปฟ้อง ม. จนศาลพิพากษาถึงที่สุดให้ม. ชำระหนี้เงินกู้แก่จำเลยโจทก์จึงฟ้องเรียกเงินของโจทก์ที่จำเลยได้หักชำระหนี้รายเดียวกันนี้คืนฐานลาภมิควรได้ดังนี้ ต้องถือว่าสิทธิของโจทก์ที่ฟ้องเรียกลาภมิควรได้นี้เกิดขึ้นต่อเมื่อคดีที่จำเลยฟ้อง ม. ถึงที่สุดเสียก่อนและก่อนคดีดังกล่าวถึงที่สุดจะถือว่าโจทก์ได้รู้ถึงสิทธิที่จะเรียกเงินคืนตามมูลฐานดังกล่าวมิได้ เมื่อนับจากวันที่โจทก์ได้ทราบเรื่องซึ่งเป็นเวลาภายหลังได้อ่านคำพิพากษาศาลฎีกาคดีดังกล่าวมาจนถึงวันที่โจทก์ฟ้องยังอยู่ภายในระยะเวลา 1 ปี คดีโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ
โจทก์จำเลยตกลงกู้ยืมเงินกันโดยโจทก์ให้ ม. ทำสัญญากู้ไว้แทนโจทก์ โดยมีข้อตกลงให้จำเลยหักเงินรายได้โรงเรียนของโจทก์ชำระหนี้เงินกู้นี้แต่จำเลยได้นำสัญญากู้รายเดียวกันนี้ไปฟ้อง ม. จนศาลพิพากษาถึงที่สุดให้ม. ชำระหนี้เงินกู้แก่จำเลยโจทก์จึงฟ้องเรียกเงินของโจทก์ที่จำเลยได้หักชำระหนี้รายเดียวกันนี้คืนฐานลาภมิควรได้ดังนี้ ต้องถือว่าสิทธิของโจทก์ที่ฟ้องเรียกลาภมิควรได้นี้เกิดขึ้นต่อเมื่อคดีที่จำเลยฟ้อง ม. ถึงที่สุดเสียก่อนและก่อนคดีดังกล่าวถึงที่สุดจะถือว่าโจทก์ได้รู้ถึงสิทธิที่จะเรียกเงินคืนตามมูลฐานดังกล่าวมิได้ เมื่อนับจากวันที่โจทก์ได้ทราบเรื่องซึ่งเป็นเวลาภายหลังได้อ่านคำพิพากษาศาลฎีกาคดีดังกล่าวมาจนถึงวันที่โจทก์ฟ้องยังอยู่ภายในระยะเวลา 1 ปี คดีโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 688/2512
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องซ้ำและอายุความ: สิทธิเรียกคืนเงินที่ชำระหนี้ซ้ำจากการฟ้องเรียกหนี้ก่อนหน้า
คดีก่อน จำเลยฟ้อง ม.ให้ชำระหนี้เงินกู้ ซึ่ง ม.ได้กู้จากจำเลยไปแทนโจทก์. ซึ่งศาลได้พิพากษาถึงที่สุดให้ ม. แพ้คดี. โดยเหตุที่ไม่สามารถพิสูจน์หลักฐานการชำระเงินได้. แต่คดีนี้โจทก์ฟ้องจำเลยเรียกเงินที่จำเลยได้หักเงินรายได้โรงเรียนของโจทก์ตามหนี้เงินกู้รายเดียวกันนี้ไว้คืนฐานลาภมิควรได้. โดยเหตุที่จำเลยกลับนำสัญญากู้รายเดียวกันนี้ไปฟ้อง ม. จนศาลพิพากษาถึงที่สุดให้ชำระหนี้เงินกู้รายเดียวกันนี้แก่จำเลย. ดังนี้ประเด็นในคดีนี้จึงเป็นคนละประเด็นกับคดีก่อน. ไม่เป็นฟ้องซ้ำ.
โจทก์จำเลยตกลงกู้ยืมเงินกัน. โดยโจทก์ให้ ม.ทำสัญญากู้ไว้แทนโจทก์. โดยมีข้อตกลงให้จำเลยหักเงินรายได้โรงเรียนของโจทก์ชำระหนี้เงินกู้นี้. แต่จำเลยได้นำสัญญากู้รายเดียวกันนี้ไปฟ้อง ม.จนศาลพิพากษาถึงที่สุดให้ ม.ชำระหนี้เงินกู้แก่จำเลย. โจทก์จึงฟ้องเรียกเงินของโจทก์ที่จำเลยได้หักชำระหนี้รายเดียวกันนี้คืนฐานลาภมิควรได้. ดังนี้ ต้องถือว่าสิทธิของโจทก์ที่ฟ้องเรียกลาภมิควรได้นี้เกิดขึ้นต่อเมื่อคดีที่จำเลยฟ้อง ม.ถึงที่สุดเสียก่อน. และก่อนคดีดังกล่าวถึงที่สุด. จะถือว่าโจทก์ได้รู้ถึงสิทธิที่จะเรียกเงินคืนตามมูลฐานดังกล่าวมิได้. เมื่อนับจากวันที่โจทก์ได้ทราบเรื่องซึ่งเป็นเวลาภายหลังได้อ่านคำพิพากษาศาลฎีกาคดีดังกล่าวมาจนถึงวันที่โจทก์ฟ้อง. ยังอยู่ภายในระยะเวลา 1 ปี. คดีโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ.
โจทก์จำเลยตกลงกู้ยืมเงินกัน. โดยโจทก์ให้ ม.ทำสัญญากู้ไว้แทนโจทก์. โดยมีข้อตกลงให้จำเลยหักเงินรายได้โรงเรียนของโจทก์ชำระหนี้เงินกู้นี้. แต่จำเลยได้นำสัญญากู้รายเดียวกันนี้ไปฟ้อง ม.จนศาลพิพากษาถึงที่สุดให้ ม.ชำระหนี้เงินกู้แก่จำเลย. โจทก์จึงฟ้องเรียกเงินของโจทก์ที่จำเลยได้หักชำระหนี้รายเดียวกันนี้คืนฐานลาภมิควรได้. ดังนี้ ต้องถือว่าสิทธิของโจทก์ที่ฟ้องเรียกลาภมิควรได้นี้เกิดขึ้นต่อเมื่อคดีที่จำเลยฟ้อง ม.ถึงที่สุดเสียก่อน. และก่อนคดีดังกล่าวถึงที่สุด. จะถือว่าโจทก์ได้รู้ถึงสิทธิที่จะเรียกเงินคืนตามมูลฐานดังกล่าวมิได้. เมื่อนับจากวันที่โจทก์ได้ทราบเรื่องซึ่งเป็นเวลาภายหลังได้อ่านคำพิพากษาศาลฎีกาคดีดังกล่าวมาจนถึงวันที่โจทก์ฟ้อง. ยังอยู่ภายในระยะเวลา 1 ปี. คดีโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 340/2512
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฉ้อโกงโดยการเปิดรับสมัครงานหลอกลวง และการฟ้องซ้ำที่มิได้เป็นการกระทำอันเป็นกรรมเดียวกัน
จำเลยวางแผนประกาศทางหนังสือพิมพ์รายวันเปิดรับสมัครบุคคลมาทำงานกับบริษัท. เพื่อให้ประชาชนหลงเชื่อมาสมัครทำงาน. โดยวางอัตราค่าจ้างเงินเดือนสูง ว่างระเบียบให้ต้องซื้อหุ้นอย่างน้อยหนึ่งหุ้นเป็นเงิน 900 บาท. บริษัทตั้งขึ้นแล้ว. จำเลยก็มิได้ดำเนินกิจการค้าดังวัตถุประสงค์แต่อย่างใด. สินค้าในบริษัทก็ไม่มี. ธุรกิจที่จะมอบหมายให้ผู้สมัครรับจ้างปฏิบัติก็ไม่มี. ถือได้ว่าจำเลยก่อตั้งบริษัท ดำเนินการด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จต่อประชาชนเพื่อหลอกลวงประชาชน. จึงมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 343.
เมื่อผู้เสียหายคนหนึ่งฟ้องคดีเกี่ยวกับการฉ้อโกงของจำเลยดังกล่าวแล้ว. โจทก์ฟ้องจำเลยฐานฉ้อโกงผู้เสียหายคนอื่นในกรณีนี้อีกได้. เพราะผู้เสียหายเป็นคนละคนต่างถูกหลอกลวงคนละวันคนละเวลา. จำนวนเงินที่ถูกหลอกแตกต่างกัน. ตำแหน่งงานที่จะจ้างผู้เสียหายไม่เหมือนกัน. จึงเป็นการกระทำต่างกรรมต่างวาระ. มิใช่เป็นการกระทำอันเป็นกรรมเดียวกัน. (ประชุมใหญ่ครั้งที่ 4-5-6/2512).
เมื่อผู้เสียหายคนหนึ่งฟ้องคดีเกี่ยวกับการฉ้อโกงของจำเลยดังกล่าวแล้ว. โจทก์ฟ้องจำเลยฐานฉ้อโกงผู้เสียหายคนอื่นในกรณีนี้อีกได้. เพราะผู้เสียหายเป็นคนละคนต่างถูกหลอกลวงคนละวันคนละเวลา. จำนวนเงินที่ถูกหลอกแตกต่างกัน. ตำแหน่งงานที่จะจ้างผู้เสียหายไม่เหมือนกัน. จึงเป็นการกระทำต่างกรรมต่างวาระ. มิใช่เป็นการกระทำอันเป็นกรรมเดียวกัน. (ประชุมใหญ่ครั้งที่ 4-5-6/2512).
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 333/2512 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องซ้ำและการไม่รบกวนสิทธิ: การฟ้องขับไล่ซ้ำโดยอาศัยเหตุเดิมหลังทำสัญญาประนีประนอมยอมความ
โจทก์เป็นผู้เช่าที่ดินซึ่งมีบ้านของจำเลยปลูกอยู่โดยอาศัยสิทธิโจทก์ โจทก์เคยฟ้องขับไล่จำเลยมาแล้วครั้งหนึ่งให้รื้อบ้านออกไป อ้างเหตุว่าจำเลยก่อความรำคาญ แต่โจทก์จำเลยได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันโดยโจทก์ยอมรับว่าบ้านเป็นของจำเลยโจทก์จะไม่รบกวนสิทธิของจำเลยเกี่ยวกับบ้านต่อไป ซึ่งศาลได้พิพากษาตามยอม คดีถึงที่สุดแล้ว บัดนี้โจทก์กลับมาฟ้องขับไล่ให้จำเลยรื้อบ้านออกไปจากที่ดินอีก อ้างเหตุว่า จำเลยประพฤติตนไม่เหมาะสมโดยไม่ได้อ้างเหตุใหม่อะไรเลย ย่อมเป็นการรื้อร้องฟ้องคดีที่ได้มีคำพิพากษาหรือคำสั่งถึงที่สุดแล้วในประเด็นได้วินิจฉัย โดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกัน เป็นฟ้องซ้ำ
โจทก์ทำสัญญาประนีประนอมยอมความไว้ว่า โจทก์จะไม่รบกวนสิทธิของจำเลยเกี่ยวกับบ้านต่อไป หากจำเลยมิได้กระทำการใดๆ ขึ้นใหม่ จำเลยก็ย่อมมีสิทธิที่จะอยู่ในที่ดินที่โจทก์เช่าต่อไป โจทก์จะอาศัยเหตุอย่างเดียวกับที่ฟ้องจำเลยและทำสัญญาประนีประนอมยอมความไว้แล้ว มาฟ้องขับไล่จำเลยอีกมิได้
โจทก์ทำสัญญาประนีประนอมยอมความไว้ว่า โจทก์จะไม่รบกวนสิทธิของจำเลยเกี่ยวกับบ้านต่อไป หากจำเลยมิได้กระทำการใดๆ ขึ้นใหม่ จำเลยก็ย่อมมีสิทธิที่จะอยู่ในที่ดินที่โจทก์เช่าต่อไป โจทก์จะอาศัยเหตุอย่างเดียวกับที่ฟ้องจำเลยและทำสัญญาประนีประนอมยอมความไว้แล้ว มาฟ้องขับไล่จำเลยอีกมิได้