พบผลลัพธ์ทั้งหมด 3,361 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3821/2538 เวอร์ชัน 4 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
หนังสือมอบอำนาจฟ้องคดี, อำนาจฟ้อง, นิติบุคคล, การทำสัญญา, การพิสูจน์สถานะทางกฎหมาย
หนังสือมอบอำนาจที่โจทก์แต่ฝ่ายเดียวลงลายมือชื่อเป็นผู้มอบอำนาจให้ ก. กระทำกิจการติดตามทวงถามหนี้สินตลอดจนดำเนินคดีแก่จำเลยทั้งสามแทนโจทก์นั้น แม้ ก. ไม่ได้ลงชื่อเป็นผู้รับมอบอำนาจด้วย เพียงแต่มาเบิกความยืนยันว่าได้รับมอบอำนาจจากโจทก์ตามหนังสือมอบอำนาจก็ตาม หนังสือมอบอำนาจย่อมสมบูรณ์และมีผลใช้บังคับได้ตามกฎหมาย ก. จึงมีอำนาจฟ้องคดีแทนโจทก์ หนังสือมอบอำนาจทำขึ้นในต่างประเทศ มีการรับรองโดยโนตารีปับลิกและหัวหน้าฝ่ายกงสุลเมืองจากาตาร์ประเทศอินโดนีเซีย รับรองอีกชั้นหนึ่งว่า ได้มีการจัดทำเอกสารขึ้นอย่างแท้จริง หนังสือมอบอำนาจดังกล่าวถือว่าถูกต้องตามกฎหมายประเทศดังกล่าวแล้ว ไม่อยู่ในบังคับที่ต้องปิดอากรแสตมป์ตามประมวลรัษฎากร จึงเป็นหนังสือมอบอำนาจที่ชอบด้วยกฎหมาย โจทก์บรรยายฟ้องว่าโจทก์เป็นนิติบุคคลโดยจดทะเบียนในประเทศอินโดนีเซีย มีวัตถุประสงค์ประกอบกิจการด้านประมงจำเลยทั้งสามให้การต่อสู้คดีว่า โจทก์เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด จดทะเบียนในประเทศอินโดนีเซียและมีวัตถุประสงค์ประกอบกิจการขอออกใบอนุญาตในการทำการประมงภายในขอบข่ายงานการดำเนินการของบริษัทโจทก์กับเรือประมงต่างด้าวเพื่อการประมงในเขตน่านน้ำของประเทศอินโดนีเซีย(อีซีแซด) ตามกฎหมายหรือไม่จำเลยทั้งสามไม่ทราบและไม่ยอมรับว่าโจทก์สามารถที่จะทำได้คำให้การของจำเลยทั้งสามดังกล่าวจึงเป็นคำให้การที่ไม่ชัดแจ้งเพราะมิได้แสดงเหตุแห่งการปฏิเสธไว้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 วรรคสอง ไม่ก่อให้เกิดประเด็นข้อพิพาทข้อเท็จจริงจึงต้องฟังตามที่โจทก์กล่าวอ้างในฟ้องว่าโจทก์เป็นนิติบุคคลตามกฎหมายโดยโจทก์ไม่ต้องนำสืบถึงหนังสือรับรองการเป็นนิติบุคคลของโจทก์อีก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3773/2538 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิพระภิกษุให้กู้ยืมเงิน และการพิจารณาคดีสัญญาที่ถูกกล่าวอ้างว่าเกิดจากข่มขู่
การที่โจทก์ซึ่งเป็นพระภิกษุนำเงินส่วนตัวออกให้บุคคลกู้ยืมโดยคิดดอกเบี้ยนั้น ไม่ปรากฏว่ามีกฎหมายใดห้ามไว้ พระภิกษุก็เป็นบุคคลย่อมมีสิทธิและหน้าที่ตามกฎหมาย การให้กู้ยืมเงินก็เป็นการสงเคราะห์ผู้ที่เดือดร้อนได้ทางหนึ่งอีกทั้ง ป.พ.พ. มาตรา 224 บัญญัติว่า หนี้เงินนั้นให้คิดดอกเบี้ยระหว่างเวลาผิดนัดร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี การที่โจทก์ให้จำเลยที่ 1 กู้ยืมเงินโดยคิดดอกเบี้ยไม่เกินอัตราที่กฎหมายกำหนด จึงไม่ขัดต่อกฎหมายหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน โจทก์มีสิทธินำสัญญากู้ยืมเงินมาฟ้องเรียกต้นเงินและดอกเบี้ยจากจำเลยที่ 1 ได้
เมื่อคดียังมีประเด็นข้อพิพาทว่า จำเลยที่ 1 ได้ทำสัญญากู้ยืมเงินและจำเลยที่ 2 ได้ทำสัญญาค้ำประกันเพราะถูกข่มขู่เป็นโมฆียะหรือไม่ แต่ศาลชั้นต้นงดสืบพยานจำเลยทั้งสองและพิพากษาคดีในวันเดียวกัน ข้อเท็จจริงในคำฟ้องคำให้การและเอกสารที่ศาลชั้นต้นรับไว้จึงไม่เพียงพอแก่การวินิจฉัยประเด็นข้อพิพาทเป็นกรณีที่ศาลชั้นต้นมิได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติว่าด้วยการพิจารณาพิพากษา ต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษาใหม่ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 243 (2) และมาตรา 247
เมื่อคดียังมีประเด็นข้อพิพาทว่า จำเลยที่ 1 ได้ทำสัญญากู้ยืมเงินและจำเลยที่ 2 ได้ทำสัญญาค้ำประกันเพราะถูกข่มขู่เป็นโมฆียะหรือไม่ แต่ศาลชั้นต้นงดสืบพยานจำเลยทั้งสองและพิพากษาคดีในวันเดียวกัน ข้อเท็จจริงในคำฟ้องคำให้การและเอกสารที่ศาลชั้นต้นรับไว้จึงไม่เพียงพอแก่การวินิจฉัยประเด็นข้อพิพาทเป็นกรณีที่ศาลชั้นต้นมิได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติว่าด้วยการพิจารณาพิพากษา ต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษาใหม่ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 243 (2) และมาตรา 247
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3773/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การกู้ยืมเงินโดยพระภิกษุ: สิทธิในการทำสัญญา, ดอกเบี้ย, และการพิจารณาคดีที่ถูกต้อง
โจทก์ซึ่งเป็นพระภิกษุนำเงินส่วนตัวออกให้กู้ยืมโดยคิดดอกเบี้ยซึ่งไม่มีกฎหมายใดห้ามไว้และไม่มีการเรียกดอกเบี้ยเกินอัตราที่กฎหมายห้ามจึงไม่ขัดต่อกฎหมายหรือศีลธรรมอันดีของประชาชนโจทก์มีสิทธินำสัญญากู้ยืมเงินมาฟ้องเรียกต้นเงินและดอกเบี้ยจากจำเลยได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3716/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบังคับคดีตามสัญญาประนีประนอมยอมความ ต้องดำเนินการในคดีเดิม
ข้อโต้แย้งเกี่ยวกับการบังคับคดีตามสัญญาประนีประนอมยอมความในคดีเดิม ต้องขอให้ดำเนินกระบวนพิจารณาในคดีเดิมตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 7(2),302 วรรคแรก จะนำมาฟ้องเป็นคดีใหม่ไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 360/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
หนังสือรับสภาพหนี้ใช้บังคับได้แม้ไม่มีผู้มอบอำนาจ และอายุความเริ่มนับใหม่เมื่อมีหนังสือรับสภาพหนี้
หนังสือรับสภาพหนี้เป็นหนังสือที่ลูกหนี้ทำขึ้นโดยยอมรับว่าตนเป็นหนี้เจ้าหนี้จริงเจ้าหนี้หาจำต้องมาเป็นคู่สัญญาหรือมอบอำนาจให้บุคคลใดมาเป็นคู่สัญญาแทนไม่ โจทก์ฟ้องจำเลยให้รับผิดตามสัญญาค้ำประกันและสัญญาจำนองเป็นประกันหนี้ของบริษัท ส. ที่ได้ทำหนังสือรับสภาพหนี้ให้ไว้แก่โจทก์มิได้ฟ้องเรียกหนี้ตามเล็ตเตอร์ออฟเครดิตและจำเลยมิได้ปฏิเสธว่าบริษัท ส. มิได้เปิดเล็ตเตอร์ออฟเครดิตกับโจทก์ถือได้ว่าจำเลยทั้งสองรับข้อเท็จจริงนั้นแล้วคดีไม่จำต้องอาศัยพยานหลักฐานอื่นอีกเล็ตเตอร์ออฟเครดิตจะปิดอากรแสตมป์หรือไม่ไม่ทำให้ผลการวินิจฉัยคดีเปลี่ยนแปลงจึงไม่ต้องวินิจฉัยว่ารับฟังเล็ตเตอร์ออฟเครดิตเป็นพยานหลักฐานได้หรือไม่หนี้ตามสัญญาเล็ตเตอร์ออฟเครดิตไม่มีกฎหมายบัญญัติอายุความไว้โดยเฉพาะจึงมีอายุความ10ปีตามมาตรา164เดิม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3598/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดจากสัญญาและการแสดงเจตนาของตัวแทน กรณีจำเลยต่างชาติมีสาขาในไทย
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยทั้งสามร่วมกันรับผิดชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ตามข้อตกลงในคำร้องขอนำเรือเข้าท่าภายในอาณาบริเวณของโจทก์ที่จำเลยที่ 3 ในฐานะตัวแทนจำเลยที่ 1 ทำไว้กับโจทก์ โดยคำร้องดังกล่าวมีข้อความว่า ข้าพเจ้ายอมรับผิดในผลแห่งละเมิดซึ่งเรือที่นำเข้าได้ก่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์เพื่อนำเรือเข้ามาจอด ซึ่งข้อความดังกล่าวเป็นการแสดงเจตนาของจำเลยที่ 1 ที่จะยอมรับผิดในผลแห่งการละเมิดที่เรือซัมเมอร์เบย์ได้ก่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ อันเป็นนิติกรรมอย่างหนึ่ง การแสดงเจตนาดังกล่าวย่อมมีผลผูกพันจำเลยที่ 1 และกรณีนี้ไม่มีกฎหมายบัญญัติอายุความไว้ จึงมีอายุความ10 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 164
จำเลยที่ 1 เป็นนิติบุคคลต่างประเทศ มีสำนักงานสาขาอยู่ในประเทศไทย ถือได้ว่าจำเลยที่ 1 มีภูมิลำเนาในประเทศไทย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 71 การที่จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นผู้จัดการสาขาของจำเลยที่ 1ในประเทศไทย และจำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นผู้รับมอบอำนาจจากจำเลยที่ 2 ให้ติดต่อกับโจทก์แทนจำเลยที่ 1 ทำสัญญากับโจทก์แทนจำเลยที่ 1 จึงไม่ใช่กรณีทำแทนตัวการซึ่งอยู่ต่างประเทศและมีภูมิลำเนาในต่างประเทศ อันจะอยู่ภายใต้บังคับบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 824 จำเลยที่ 2 ที่ 3 จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์เป็นส่วนตัว และการที่จำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 3 เข้าทำการเกี่ยวข้องกับโจทก์เป็นการทำในฐานะที่เป็นตัวแทนของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 3 จึงไม่ต้องร่วมกับจำเลยที่ 1 รับผิดต่อโจทก์
จำเลยที่ 1 เป็นนิติบุคคลต่างประเทศ มีสำนักงานสาขาอยู่ในประเทศไทย ถือได้ว่าจำเลยที่ 1 มีภูมิลำเนาในประเทศไทย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 71 การที่จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นผู้จัดการสาขาของจำเลยที่ 1ในประเทศไทย และจำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นผู้รับมอบอำนาจจากจำเลยที่ 2 ให้ติดต่อกับโจทก์แทนจำเลยที่ 1 ทำสัญญากับโจทก์แทนจำเลยที่ 1 จึงไม่ใช่กรณีทำแทนตัวการซึ่งอยู่ต่างประเทศและมีภูมิลำเนาในต่างประเทศ อันจะอยู่ภายใต้บังคับบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 824 จำเลยที่ 2 ที่ 3 จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์เป็นส่วนตัว และการที่จำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 3 เข้าทำการเกี่ยวข้องกับโจทก์เป็นการทำในฐานะที่เป็นตัวแทนของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 3 จึงไม่ต้องร่วมกับจำเลยที่ 1 รับผิดต่อโจทก์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3582/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การท้าคดีไม่ใช่การผูกนิติสัมพันธ์ตาม ป.พ.พ. มาตรา 112 ไม่ต้องได้รับอนุญาตตามมาตรา 1574
การท้าเป็นเรื่องเกี่ยวกับการดำเนินกระบวนพิจารณาคดีในศาลที่คู่ความตกลงกันให้ศาลวินิจฉัยชี้ขาดในประเด็นที่คู่ความท้ากันเป็นข้อแพ้ชนะ มิได้มุ่งโดยตรงต่อการผูกนิติสัมพันธ์ขึ้นระหว่างบุคคล เพื่อจะก่อ เปลี่ยนแปลง โอน สงวนหรือระงับซึ่งสิทธิตามความหมายของ ป.พ.พ. มาตรา 112 จึงไม่เป็นนิติกรรมที่อยู่ในบังคับตาม ป.พ.พ. มาตรา 1574 ที่ต้องได้รับอนุญาตจากศาลก่อน
เมื่อคู่ความท้ากันเป็นข้อแพ้ชนะโดยให้ดูผลการตรวจพิสูจน์ลายมือชื่อของโจทก์ที่ 2 ในเอกสารหนังสือยินยอมให้เช่าในอีกคดีหนึ่ง และปรากฏว่าโจทก์เป็นฝ่ายแพ้คดีตามคำท้า จำเลยที่ 1 ย่อมจะบังคับตามฟ้องแย้งแก่โจทก์ได้โดยไม่ต้องพิจารณาอีกว่าข้อเท็จจริงตามฟ้องแย้งเป็นสัญญาต่างตอบแทนยิ่งกว่าสัญญาเช่าหรือไม่ เพราะเป็นเรื่องนอกเหนือคำท้า โจทก์ทั้งสองจึงต้องไปจดทะเบียนการเช่าแก่จำเลยที่ 1 และกรณีไม่ถือว่าอยู่ในบังคับ ป.พ.พ.มาตรา 538
เมื่อคู่ความท้ากันเป็นข้อแพ้ชนะโดยให้ดูผลการตรวจพิสูจน์ลายมือชื่อของโจทก์ที่ 2 ในเอกสารหนังสือยินยอมให้เช่าในอีกคดีหนึ่ง และปรากฏว่าโจทก์เป็นฝ่ายแพ้คดีตามคำท้า จำเลยที่ 1 ย่อมจะบังคับตามฟ้องแย้งแก่โจทก์ได้โดยไม่ต้องพิจารณาอีกว่าข้อเท็จจริงตามฟ้องแย้งเป็นสัญญาต่างตอบแทนยิ่งกว่าสัญญาเช่าหรือไม่ เพราะเป็นเรื่องนอกเหนือคำท้า โจทก์ทั้งสองจึงต้องไปจดทะเบียนการเช่าแก่จำเลยที่ 1 และกรณีไม่ถือว่าอยู่ในบังคับ ป.พ.พ.มาตรา 538
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3520/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การชำระหนี้ค่าเช่า: การปฏิบัติตามสัญญาโดยชอบ แม้ไม่ตรงตามวิธีการที่ตกลงกัน
ศาลพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความโดยคู่ความตกลงกันให้จำเลยชำระค่าเช่าโดยนำเงินค่าเช่าเข้าบัญชีเงินฝากประจำของ ว. สามีโจทก์ที่ธนาคารซึ่งเป็นวิธีการชำระหนี้เพื่อความสะดวกของโจทก์และจำเลยเมื่อจำเลยนำค่าเช่าไปขอชำระให้โจทก์ที่บ้านของโจทก์โดยตรงภายในเวลาที่กำหนดไว้ ถือว่าจำเลยได้ขอปฏิบัติการชำระหนี้โดยชอบแล้ว โจทก์จะปฏิเสธไม่ยอมรับชำระหนี้หาได้ไม่ถือไม่ได้ว่าจำเลยตกเป็นผู้ผิดนัดโจทก์ไม่อาจขอบังคับคดีแก่จำเลย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3477/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาขายฝากที่ดินต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียน มิฉะนั้นเป็นโมฆะ โจทก์ฟ้องบังคับโอนไม่ได้
ที่ดินพิพาทเป็นอสังหาริมทรัพย์การขายฝากที่ดินพิพาทจะต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่มิฉะนั้นตกเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา456วรรคหนึ่งประกอบมาตรา491เมื่อสัญญาขายฝากที่ดินพิพาทระหว่างโจทก์กับจำเลยตกเป็นโมฆะโจทก์จะฟ้องบังคับให้จำเลยโอนที่ดินเฉพาะส่วนของจำเลยให้แก่โจทก์โดยทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่หาได้ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3455/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาเช่าซื้อโมฆะหากไม่ทำเป็นหนังสือ สิทธิและหน้าที่โอนไปยังผู้รับโอนกรรมสิทธิ์
เอกสารที่โจทก์ที่2และจำเลยกระทำไว้ต่อกันระบุไว้ชัดเจนว่าเป็นหนังสือสัญญาเช่าบ้านระบุเงื่อนไขในการเช่าบ้านไว้รวม12ข้อแล้วลงลายมือชื่อของโจทก์ที่2ในฐานะผู้ให้เช่าส่วนจำเลยลงลายมือชื่อในฐานะผู้เช่าสัญญาดังกล่าวหาได้มีข้อความอันแสดงว่าโจทก์ที่2เอาทรัพย์สินออกให้จำเลยเช่าและให้คำมั่นว่าจะขายทรัพย์สินนั้นหรือว่าจะให้ทรัพย์สินนั้นตกเป็นสิทธิแก่จำเลยโดยเงื่อนไขที่จำเลยได้ใช้เงินเป็นจำนวนเท่านั้นเท่านี้คราวอันจะถือว่าเป็นสัญญาเช่าซื้อไม่แม้ทางด้านหลังของเอกสารดังกล่าวจะมีข้อความหมายเหตุซึ่งสามีโจทก์ที่2เขียนไว้ว่า"เมื่อผู้เช่าชำระเงินครบจำนวน300,000บาท(สามแสนบาทถ้วน)ผู้ให้เช่าจะโอนบ้านพร้อมที่ดินให้ผู้เช่าเป็นกรรมสิทธิ์ครอบครองแต่ค่าโอนผู้เช่าต้องเป็นผู้ออกถ้าผู้เช่า-ผู้ให้เช่าฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดถึงแก่กรรมลงทายาทมีสิทธิดำเนินการต่อตามกฎหมาย"ก็ตามแต่ข้อความตามหมายเหตุนี้เป็นอีกส่วนหนึ่งต่างหากจากหนังสือสัญญาเช่าบ้านแม้จะเป็นสัญญาเช่าซื้อดังที่จำเลยอ้างเมื่อโจทก์ที่2มิได้ลงลายมือชื่อไว้จึงถือไม่ได้ว่าได้มีการทำสัญญาเช่าซื้อกันเป็นหนังสือการเช่าซื้อจึงเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา572วรรคสองจำเลยไม่อาจบังคับให้โจทก์ที่2ปฏิบัติตามข้อตกลงดังกล่าวได้เมื่อวินิจฉัยดังนั้นแล้วปัญหาว่าโจทก์ที่1รับโอนกรรมสิทธิ์บ้านและที่ดินพิพาทโดยสุจริตหรือไม่จึงไม่จำต้องวินิจฉัยเพราะไม่ทำให้ผลแห่งคดีเปลี่ยนแปลงกรณีเกี่ยวด้วยการชำระหนี้อันไม่อาจแบ่งแยกได้แม้โจทก์ที่1ไม่ฎีกาศาลฎีกาก็พิพากษาให้มีผลถึงโจทก์ที่1ด้วยได้ จำเลยค้างชำระค่าเช่าตั้งแต่เดือนพฤษภาคม2532จนปัจจุบันแต่โจทก์ที่2ได้โอนขายบ้านและที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ที่1ไปก่อนแล้วตั้งแต่เมื่อวันที่27เมษายน2530สิทธิและหน้าที่ของโจทก์ที่2ซึ่งมีต่อจำเลยผู้เช่าย่อมโอนไปเป็นของโจทก์ที่1ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา569วรรคสองโจทก์ที่2จึงไม่มีสิทธิเรียกค่าเช่าที่ค้างชำระดังกล่าวจากจำเลย